Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 163 ปล้นทั้งกองพล! (1)
หลังจากทดสอบโดยหม่าหลงและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆจากเผ่าคน
เถื่อนหลายครั้ง พวกเขาก็พบว่าอสูรยูนิคอร์นสามารถรองรับน�าหนัก
ของนักรบเผ่าคนเถื่อนได้ และที่สําคัญกว่านั้นก็คือยังสามารถรองรับ
น�าหนักนักรบเผ่าอีกาทองได้ดีอีกด้วย แน่นอนว่าการฝึกพวกมันให้
เชื่องเพื่อเป็นม้าศึกนั้นต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก ดังนั้น
ตอนนี้นักรบจากทั้งสองเผ่าส่วนใหญ่จึงเข้ารับการฝึกฝนเป็นกองกําลัง
ทหารราบ ในขณะเดียวกัน ในการต่อสู้ที่กําลังจะมาถึงของกองพันไร้
พ่ายก็จะกําหนดเป้าหมายหลักเป็นกองทหารยูนิคอร์น โดยมี
จุดมุ่งหมายเพื่อล่าอสูรยูนิคอร์นมาให้ได้มากที่สุดและนําพวกมันเข้าสู่
คอกม้าของกองพันไร้พ่ายให้จงได้
การช่วยเหลือเมื่อวานนี้ทําให้เสียม้าศึกไปถึง 500 ตัว ซึ่งถือว่าเป็น
สัดส่วนที่มากหากเทียบกับจํานวนม้าที่มีอยู่ และจนถึงตอนนี้ เหลยซีผู้
บัญชาการกองร้อยหลักที่ 1 ก็ยังคงเจ็บปวดกับความสูญเสียที่ว่า
โจวเหว่ยชิงเชื่อว่ากองพันไร้พ่ายเดินมาถูกทางแล้ว และสิ่งที่
สําคัญที่สุดสําหรับพวกเขาในตอนนี้คือสั่งสมเวลาเพื่อพัฒนาและ
เติบโตขึ้นอย่างเหมาะสม เขาเชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อทั้งกอง
พันมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน เมื่อมีทหารฝ่ายสนับสนุนและลําเลียงอุปกรณ์ที่เหมาะสม พวกเขาก็จะกลายเป็นกองกําลังที่ไม่มีผู้ใดหยุดยั้ง
ได้ในทุกสนามรบ
ในเวลาเพียงวันเดียว โจวเหว่ยชิงก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างจน
เรียบร้อย นั่นยังรวมถึงสั่งการรายละเอียดปลีกย่อยสําหรับอนาคตอัน
ใกล้ของกองพันไร้พ่ายทั้งหมดเนื่องจากเขารู้ว่าตนเองจะไม่ได้ใช้เวลา
ร่วมกับพวกเขาไปอีกสักพัก คราวนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าตนเองกําลังจะมุ่ง
หน้าไปยังภูเขาหิมะสวรรค์ภายหลังเสร็จสิ้นการฝึก และมันก็จะเป็น
ภารกิจเสี่ยงตายของเขา เมื่อเด็กหนุ่มกลับมาที่นี่อีกครั้ง มันก็จะถึงเวลา
ที่กองพันไร้พ่ายต้องเดินทางออกจากพรมแดนทางเหนือและมุ่งหน้าไป
ยังอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสียที ที่นั่นทั้งโจวเหว่ยชิงและกองพันไร้
พ่ายของเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่แท้จริงแล้ว
…
ตกกลางคืน เมื่อลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วงทวีความรุนแรงขึ้น
อุณหภูมิที่พรมแดนทางตอนเหนือก็มักจะเย็นลง ท้องฟ้าในตอนนี้มืด
ครึ้มจนไม่สามารถมองเห็นดวงจันทร์และดวงดาวได้ ราวกับว่าหิมะจะ
สามารถตกลงมาทับพวกเขาได้ทุกเมื่อ
“เฟยเอ๋อร์” โจวเหว่ยชิงโอบเอวหญิงสาวตรงหน้า กอดเธอไว้ใน
อ้อมแขนของเขา ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ประตูทางเข้ากระโจมของโจวเหว่ย
ชิง พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เขาต้องจากไปพร้อมกับหลงซื่อหยา”อะไร?” ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยืนอยู่เงียบๆในอ้อมแขนของเขา แต่
หัวใจกลับเต้นรัวกระหน�า หญิงสาวรู้ว่าไม่ไกลนักมีพี่สาวของตนเฝ้าดู
อยู่
“เฟยเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวลเรื่องของเรา ข้าจะคุยกับปิงเอ๋อร์ด้วย
ตัวเองและอธิบายทุกอย่างให้นางฟัง ไม่ว่านางจะลงโทษข้าอย่างไร ข้า
ก็จะยอมรับมันแต่โดยดี อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ข้าจากไป เจ้าต้องคิดถึง
ข้าทุกวัน ฝันถึงข้าทุกคืนได้หรือไม่?”
“หึ! นั่นหมายความว่าข้าจะต้องฝันร้ายทุกคืนไม่ใช่หรือไง?” ซ่าง
กวนเฟยเอ๋อร์กล่าวอย่างเคืองขุ่น
โจวเหว่ยชิงรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย และเขาก็ตอบกลับไปว่า
“ฝันถึงข้าหมายถึงฝันร้ายงั้นหรือ? เช่นนั้นมาดูกันว่าข้าจะลงโทษเจ้า
ยังไง!” หลังเอ่ยวาจาจบ เขาก็ก้มศีรษะลงเพื่อประทับจูบเข้าที่ริมฝีปาก
ของเธอ
ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ราวถูกโยนลงไปในกองเพลิง พยายามดิ้นเร่า
เพื่อให้หลุดจากการเกาะกุม ถึงอย่างไรพี่สาวก็เฝ้าดูอยู่ไม่ไกล และ
แม้ว่าซ่างกวนเฟยเอ๋อร์อาจจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะปีศาจน้อยแห่งวัง
สวรรค์ไพศาล แต่เธอก็ยังเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์แสนไร้เดียงสา ซ่างกวน
เฟยเอ๋อร์จะเต็มใจสนิทสนมกับโจวเหว่ยชิงต่อหน้าพี่สาวของตนเองได้
อย่างไร?“เฟยเอ๋อร์ บาดแผลของข้ายังไม่หายสนิทดี…ถ้าเจ้าทุบตีข้าตอนนี้
มันอาจทําให้ปากแผลของข้าเปิดขึ้นอีกครั้งและทําให้การรักษาของข้า
ล่าช้าไปกว่าเดิม…” โจวเหว่ยชิงมองกลับอย่างน่าสงสารราวกับ
นักแสดงที่เคยได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ด้วยคําพูดที่ไร้ยางอายเหล่านั้น
เขาสามารถฉวยโอกาสที่ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์กําลังตกตะลึงไปชั่วขณะฉก
จูบเข้าที่ริมฝีปากฉ�าวาวของเธอ
ไม่ว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะแข็งแกร่งและทรงพลังแค่ไหน แต่ถ้า
หากถูกผู้ชายที่เธอหลงรักจูบเข้า เธอจะยังต้านทานได้อย่างไร
นอกจากนี้ซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ยังกลัวปากแผลของเขาเปิดอีกรอบด้วย
ในขณะที่ทั้งสองคนเริ่มจูบกันอย่างเร่าร้อนราวกับว่าไม่มีใครอยู่
ใกล้ๆ ณ บริเวณไม่ไกลออกไป ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์กําลังยืนอยู่ภายใต้เงา
มืดของกระโจมขนาดใหญ่ มือของเธอกําเป็นหมัดด้วยความโกรธ ยึด
เสื้อผ้าไว้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองพุ่งออกไป จากนั้นจึงพึมพําว่า
“เจ้าเด็กเหลือขอนั่น! ไร้ยางอายจริงๆ! เจ้าคนชั่วช้าสามานย์!”
ท้ายที่สุดซ่างกวนเฟยเอ๋อร์ก็สามารถดิ้นหลุดและหนีไปได้ อย่างไร
ก็ตาม ในใจของซ่างกวนเฟยเอ๋อร์รู้ดีว่าถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวกําลังเฝ้า
มองจากระยะไกล บางทีเธออาจจะยอมโจวเหว่ยชิงอย่างเต็มที่ไม่
อิดออดไปแล้ว
…เช้าวันรุ่งขึ้น โจวเหว่ยชิงและหลงซื่อหยาได้ลอบออกจากค่ายกอง
พันไร้พ่าย ในกองพันไร้พ่ายนอกจากนายทหารระดับสูงที่เข้าร่วมการ
ประชุมเมื่อวานนี้ก็ไม่มีทหารธรรมดาคนใดรู้ว่าโจวเหว่ยชิงจากไป
ชั่วคราว นั่นก็เพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อขวัญกําลังใจและจิตวิญญาณใน
การต่อสู้ของพวกเขา เพราะถึงอย่างไรโจวเหว่ยชิงก็ไม่เคยรับผิดชอบ
การรวมพลประจําวันและฝึกร่วมกับกองทหารอยู่แล้ว ดังนั้นการหาย
ตัวไปชั่วคราวของเขาจึงไม่ได้เป็นที่สังเกตเห็นง่ายๆ
แน่นอนว่าสิ่งนี้จึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตําแหน่งและสถานะของ
โจวเหว่ยชิงในกองพันไร้พ่าย อาจกล่าวได้ว่ากว่ากองพันไร้พ่ายจะก้าว
มาถึงตําแหน่งปัจจุบันได้ ทั้งหมดล้วนได้รับการสนับสนุนจากโจวเหว่ย
ชิงทั้งสิ้น
ก่อนออกเดินทาง โจวเหว่ยชิงได้เตือนหลินเทียนอ้าวเป็นพิเศษว่า
แม้นักรบเผ่าคนเถื่อนและเผ่าอีกาทองที่เข้าร่วมกองพันไร้พ่ายจะมี
เพียง 1,000 คนต่อเผ่า แต่เขาก็ยังต้องสั่งซื้ออุปกรณ์ให้ครบ 2,000 ชุด
ถึงอย่างไรนักรบ 2,000 คนจากชนเผ่าเหล่านี้ก็เป็นแรงงานที่มีอยู่อย่าง
จํากัดยิ่ง และกองพันไร้พ่ายก็ไม่สมควรตระหนี่กับพวกเขาจนเกินไป
…
คู่ศิษย์อาจารย์ควบม้าไปตามที่ราบกว้างใหญ่ทางตอนเหนือด้วย
ความเร็วสูงสุด โจวเหว่ยชิงอยู่บนม้าปีศาจผีเขาเดียวในขณะที่หลงซื่อหยาเลือกนั่งอสูรยูนิคอร์นสวรรค์ ด้วยระดับพลังปราณของเขา ยูนิคอร์
นจึงไม่จําเป็นต้องเชื่องมือเป็นพิเศษ นอกจากนี้มันยังจะเชื่อฟังคําสั่ง
ของเขาโดยไม่มีการต่อต้านอีกด้วย
“อาจารย์ เรากําลังจะมุ่งหน้าไปที่ไหนกันขอรับ?” โจวเหว่ยชิงถาม
อย่างสงสัย หลังจากออกจากค่ายทหารแล้ว หลงซื่อหยาไม่ได้พาเขา
กลับไปที่อาณาจักรจ้งเทียน แต่กลับมุ่งหน้าไปทางเหนือแทน ดูจาก
สถานการณ์แล้ว พวกเขากําลังจะมุ่งหน้าเข้าไปในอาณาจักรวั่นโซ่ว
“เจ้ารู้ไหมว่าไฟวิญญาณสวรรค์คืออะไร?” หลงซื่อหยาเหลือบ
มองเขาก่อนเอ่ยถาม
โจวเหว่ยชิงส่ายหัว
หลงซื่อหยาอธิบายว่า “ไฟวิญญาณสวรรค์เป็นไฟที่มี
ลักษณะเฉพาะ สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์หรือกําเนิดขึ้นมาจากใต้พิภพ
ในแผ่นดินใหญ่ทั้งหมดของเรา หายากมากที่จะพบพื้นที่ดังกล่าว แต่มัน
ก็ยังมีอยู่จริงๆ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทําสําเร็จก่อนคืนที่หนาวที่สุดในฤดู
หนาว เราจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่งในอาณาจักรวั่นโซ่ว…จากนั้นเจ้าจึง
จะมีเวลามากพอให้ฝึกฝน”
โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “ท่านกําลังหมายถึง…มันอยู่ในสวรรค์
หมื่นอสูรหรือ?”หลงซื่อหยาส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ใช่ แต่มันก็อยู่ใกล้กับสวรรค์
หมื่นอสูร…สถานที่ซึ่งร้อนที่สุดในอาณาจักรวั่นโซ่วทั้งหมด มันคือภูเขา
วิญญาณอัคคีของราชวงศ์อาณาจักรวั่นโซ่ว เป็นดินแดนของชนเผ่า
มนุษย์สิงโต”
“ตามตํานานกล่าวว่าไฟสวรรค์ได้โปรยปรายลงมาจากสวรรค์ ทํา
ให้เกิดการปะทุของภูเขาไฟด้านล่าง ยังให้ยอดเขาลุกโชนไปด้วยเปลว
ไฟและหมอกควันเรื่อยมา ภายในรัศมี 500 ลี้ของภูเขาไฟลูกนี้ อุณหภูมิ
จะอบอุ่นเสมอเหมือนวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน ด้วยสภาพอากาศที่
หนาวเย็นของอาณาจักรวั่นโซ่ว นั่นจึงถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่าง
แท้จริง และมีเพียงพื้นที่ดังกล่าวเท่านั้นที่จะมีอุณหภูมิอบอุ่นอยู่ตลอด
เพราะแม้แต่สวรรค์หมื่นอสูรเองก็ยังได้รับอิทธิพลจากฤดูกาลทั้ง 4 ไม่
ว่าจะอย่างไร ภูเขาวิญญาณอัคคีก็มีไฟวิญญาณสวรรค์อยู่ และเผ่า
มนุษย์สิงโตก็เป็นผู้ครอบครองมันเสมอมา องค์ชายสิงโตที่ทําให้เจ้า
บาดเจ็บนั่น… เขาก็คงเข้ารับการฝึกฝนที่นั่นมาระยะหนึ่งแล้ว ถึง
อย่างไรราชวงศ์เผ่ามนุษย์สิงโตก็เป็นสายเลือดเผ่าสิงโตวิญญาณสวรรค์
ปฐพีศักดิ์สิทธิ์ที่มาพร้อมกับธาตุไฟ ธาตุวิญญาณ และธาตุแสง สําหรับ
สหายเก่าบนภูเขาหิมะสวรรค์ สายเลือดพยัคฆ์วิญญาณสวรรค์
ศักดิ์สิทธิ์ของคนผู้นั้นมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ ธาตุแสง และธาตุน�าอยู่ แน่นอน
ว่ามีเพียงทายาทสายตรงและบริสุทธิ์ที่สุดของพวกเขาเท่านั้นที่จะมี
ความสามารถเช่นนี้ อันที่จริงเป็นเพราะพวกเขามีทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์2 ชนิดในเวลาเดียวกัน นั่นจึงทําให้ภูเขาหิมะสวรรค์สามารถครอง
ตําแหน่งสูงสุดมาเป็นเวลายาวนาน”
โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะคิดกับตัวเองว่าภูเขาวิญญาณอัคคีต้องมี
ความสําคัญเป็นลําดับสูงสุดต่อชนเผ่ามนุษย์สิงโตแน่นอน บางทีอาจ
เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาด้วยซ�า! มีเพียงยอดฝีมือเช่นอาจารย์
เท่านั้นที่จะกล้านําเขาเข้าไปยังสถานที่เช่นนี้
หลงซื่อหยากล่าวว่า “สองสามวันต่อจากนี้ข้าไม่ต้องการให้เจ้าฝึก
ปราณอีก ในขณะที่เราเดินทางไปที่นั่น ข้าอยากให้เจ้าพักผ่อนและ
ฟื้ นฟูกําลังให้เต็มที่ ทําให้สมรรถภาพร่างกายของเจ้าแตะจุดสูงสุดโดย
ปราศจากปัญหาแฝงเร้นใดๆ เมื่อไปถึงภูเขาวิญญาณอัคคี เราจะเริ่ม
การฝึกแบบปิดประตูทันที ตามการคาดการณ์ของข้า เพื่อที่จะปลุก
วิญญาณมังกรกลายสภาพของเจ้าล่วงหน้า เจ้าจะต้องอาบไฟวิญญาณ
สวรรค์เป็นเวลา 49 วันเพื่อให้ประสบความสําเร็จ .. ”
ในขณะที่เขาพูดถึงจุดนั้น ดวงตาของหลงซื่อหยาก็แสดงความ
กังวลออกมา เห็นได้ชัดว่าเขากังวลเกี่ยวกับวิธีการดังกล่าวอยู่เช่นกัน
แม้ว่าตามทฤษฎีแล้วพวกเขาจะสามารถทําได้สําเร็จจริงๆ แต่ก็ไม่ต้อง
สงสัยเลยว่ามันอาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งเนื่องจากไม่เคยมีใครทําเรื่องนี้มาก่อน หากโจวเหว่ยชิงไม่ระวัง เขาอาจถึงขั้นจิตวิญญาณแตกซ่าน แม้ว่าจะสามารถรอดชีวิตมาได้ แต่จิต
ของเขาก็จะแตกสลาย ใช้ชีวิตแบบคนฟั่ นเฟือนไปตลอดชีวิต
โจวเหว่ยชิงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วและจะไม่
แสดงให้เห็นถึงความสํานึกเสียใจในภายหลัง ไม่ว่าจะอย่างไร เด็กหนุ่ม
ก็ไม่มีทางหันหลังกลับ เพื่อเทียนเอ๋อร์… เพื่อเทียนเอ๋อร์…
ทันทีที่เขาคิดถึงเทียนเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกเต็มเปี่ ยมไปด้วยจิต
วิญญาณแห่งการต่อสู้ 49 วันแล้วอย่างไร? เขาจะต้องทนได้แน่นอน!
หากอดทนไม่ได้ถึง 49 วัน เขาจะมีสิทธิ์หรือคุณสมบัติอะไรไปปีนขึ้น
ภูเขาหิมะสวรรค์ได้?
ตอนนี้มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น และในไม่ช้าทั้งคู่ก็เข้าสู่
พรมแดนอาณาจักรวั่นโซ่ว ในระยะไกลๆ พวกเขาสามารถมองเห็นค่าย
กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วบนที่ราบขนาดกว้างใหญ่ได้อย่างชัดเจน
เมื่อเทียบกับค่ายทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรจ้ง
เทียนแล้ว ค่ายกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วนั้นเรียบง่ายและสร้างขึ้นมา
อย่างหยาบๆมากกว่า ถึงอย่างไรมันเป็นเพียงค่ายชั่วคราวและแทบจะ
ไม่สามารถใช้เพื่อดํารงชีวิตอยู่ได้จริงๆ ดินแดนรกร้างที่แห้งแล้งและ
หนาวเหน็บเช่นทางตอนเหนือมีเพียงมนุษย์สัตว์และร่างกายของพวก
เขาเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ในกระโจมแสนธรรมดาและเรียบง่าย
เช่นนี้ แน่นอนว่าข้อได้เปรียบของกระโจมที่ถูกสร้างอย่างหยาบๆเช่นนี้ก็คือมันสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกมาก หน่วยพลาธิการและกรม
ขนส่งเสบียงของกองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าใดนัก
แต่คนของพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นนักรบกันทุกคน
“อาจารย์ เราจะทําอย่างไรต่อไป? เดินอ้อมหรือ?” โจวเหว่ยชิงไม่
มีความมั่นใจว่าจะบุกผ่านกองทัพขนาดใหญ่นี้ไปได้ กองทัพขนาดเท่านี้
ย่อมต้องมียอดฝีมืออยู่หลายคน นอกจากนั้น องค์ชายสิงโตและ
องครักษ์ระดับราชาสวรรค์ทั้ง 2 คนของเขาก็น่าจะอยู่ในค่ายด้วย
เช่นกัน
“เก็บม้าของเจ้าซะ” หลงซื่อหยากล่าว
โจวเหว่ยชิงกระโดดลงจากม้าปีศาจผีและเก็บพาหนะทั้ง 2 ตัวเข้า
ไปในแหวนมิติของเขาอย่างรวดเร็ว
หลงซื่อหยามีแววตาครุ่นคิด เขาเอ่ยช้าๆ “อ้วนน้อย…ข้าควรจะไป
ทุบองค์ชายสิงโตนั่นและทําให้มันพิการก่อนที่เราจะมุ่งหน้าไปที่ภูเขา
วิญญาณอัคคีดีหรือไม่? ตราบใดที่ข้าทําให้ ‘สิ่งนั้น’ ของมันพิการ แม้ว่า
มันจะแต่งงานกับผู้หญิงของเจ้า มันก็ทําอะไรไม่ได้อยู่ดี”
เมื่อได้ยินคําพูดของอาจารย์ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้เพียงมีเม็ดเหงื่อ
เม็ดใหญ่ผุดลงมากลางหน้าผากของเขา…อาจารย์หลงคนนี้…ทําไมเขา
ถึงดูคล้ายกับอาจารย์อีกคนอย่าง…มู่เอิน…ไปเสียได้…เด็กหนุ่มตอบโดยไม่ลังเลว่า “อาจารย์ นี่คือปัญหาส่วนตัวของข้า ในการต่อสู้อื่น ข้าอาจ
ยินดีที่จะใช้ทางลัด กลยุทธ์ หรือแผนการต่างๆเพื่อช่วยให้ข้าชนะ แต่
ในกรณีนี้ข้าจะไม่เลือกเช่นนั้นเด็ดขาด อาจารย์ ข้าต้องการต่อสู้กับกู่อิ่
งปิงอย่างเปิดเผย ณ วันที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวและเอาชนะเขาด้วยมือ
ของข้าเอง” ถ้าอาจารย์ของเขาลงมือกับองค์ชายสิงโตจริงๆ เขาก็รู้ว่า
เจ้าเหนือหัวแห่งภูเขาหิมะสวรรค์จะไม่มีทางยินยอมให้เขาแต่งงานกับ
เทียนเอ๋อร์แน่นอน หากต้องการนําเทียนเอ๋อร์กลับคืนมา เขาต้องลงมือ
ด้วยความสามารถของตัวเองเท่านั้น!
“ดีมาก ดีมาก! มีความทะเยอทะยานดี! อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็ก
เหลือขอ เจ้านี่มันไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว!” หลงซื่อหยากล่าวด้วย
น�าเสียงไม่พอใจ
“ไร้ประโยชน์?” โจวเหว่ยชิงมองเขาด้วยความงงงวย
หลงซื่อหยาส่งเสียงฮึ่มๆในลําคอและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไร้
ประโยชน์จริงๆหรือ? ถ้าก่อนหน้านี้เจ้าทําให้ลูกสาวของเฒ่าปีศาจซู่มี
หลานหญิงหลานชายสักหลายๆคน หากเจ้าไปกับเจ้าเด็กอ้วนจิ๋ว
ทั้งหลายเหล่านั้นก็รอดูเถอะว่าเขาทําอย่างไร หึๆ!”
“ อาจารย์…อย่าล้อข้าเล่นเลย…แล้วตอนนี้เราจะข้ามไปยังไงกัน
เล่า?!” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยสีหน้าเคืองๆหลงซื่อหยายิ้มและพูดว่า “หึ ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้เพลิดเพลินไป
กับความสุขในการบิน” แม้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่กลับดูเหมือนจะ
มีแสงสีเขียวปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วทั้งตัวเขาและโจวเหว่ยชิง จากนั้น
พวกเขาก็บินขึ้นไปในอากาศ ทะยานขึ้นสูงในทันที
ในชั่วพริบตานั้น โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าอากาศโดยรอบ
กลายเป็นทะเลลมอันกว้างใหญ่ โอบล้อมประสาทสัมผัสของเขาจากทุก
ทิศทางขณะที่ทักษะธาตุลมพัดร่างของพวกเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า
…………………………………………..