Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 166 กองพันไร้พ่ายในสงคราม! (1)
แม้ว่าความเจ็บปวดจะค่อยๆลดลงอย่างเชื่องช้าราวกับการขยับ ตัวของหอยทาก แต่อย่างน้อยเมื่อความเจ็บปวดขนานใหญ่ค่อยๆ บรรเทาลง มันก็ได้ส่งมอบความหวังให้แก่คนผู้หนึ่ง ในที่สุดการปลุก วิญญาณมังกรกลายสภาพก็ดําเนินมาถูกทางแล้ว ในขณะเดียวกัน พลัง สายเลือดพยัคฆ์เทพอสูรมืดเศษเสี้ยวสุดท้ายก็ถูกปลุกขึ้นมาและผสาน เข้าด้วยกัน…ไข่มุกดําประหลาดที่เขาเคยกลืนเข้าไป
ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ตอนนี้โจวเหว่ยชิงก็ปลอดภัยดีแล้ว เขาไม่จําเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับ ความเจ็บปวดหรือสติพังทลายอีกต่อไป ทว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นในตอน สุดท้าย กระทั่งเขาเองก็ยังไม่อาจล่วงรู้ เด็กหนุ่มทําได้เพียงคุ้มกันแก่น วิญญาณของตนเองไว้ ทําสติแจ่มใสและปกป้องมันเท่าที่จะทําได้ ใน เวลานั้นโจวเหว่ยชิงก็สัมผัสได้เพียงความร้อนที่รายล้อมรอบตัว ทั้งยัง ไม่รู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดภายในร่างกายแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงจุดนี้ หลงซื่อหยาก็ผ่อนคลายลงได้ในที่สุด เขารู้ดีว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงร่างกายของโจวเหว่ยชิงครั้งนี้คงจะต้องใช้ เวลานาน และแม้แต่เวลา 40 วันตามที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ของเขาก็ อาจจะไม่ถูกต้อง ทว่าหลงซื่อหยาก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกต่อไป
มีเพียงความคาดหวังเท่านั้นที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ลูกศิษย์แสนล�าค่าของ เขาคนนี้…ไม่เพียงแต่ปลุกวิญญาณมังกรกลายสภาพได้เท่านั้น แต่ยัง สามารถหลอมรวมพลังสายเลือดอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งสองได้ด้วย เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในท้ายที่สุด? เจ้านั่นคงจะไม่กลายเป็น สัตว์ประหลาดตัวน้อยไปหรอกใช่ไหม?
เมื่อคิดจนถึงจุดนั้น ปากของหลงซื่อหยาก็โค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาไม่ได้จากไป แต่กลับมองหาพื้นส่วนที่ไม่มีลาวาเพื่อนั่งฝึกปราณ
…
ชายแดนเหนือ ค่ายกองทัพจ้งเทียนภาคเหนือเขตตะวันตก กอง พันไร้พ่าย
อาณาจักรวั่นโซ่วได้เริ่มลงมืออีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่การลอบ โจมตีธรรมดาๆ กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วจํานวนนับสิบกําลังรุกคืบเข้า มาใกล้ค่ายทหารภาคเหนือเขตตะวันตกของอาณาจักรจ้งเทียนใน รูปแบบขบวนแถวที่เป็นระเบียบ อนิจจา หน่วยสอดแนมของกองทัพ ตะวันตกเฉียงเหนือทั้งหมดที่ถูกส่งออกไปล้วนถูกจับตัวและสังหารทิ้ง ทั้งหมด
กองทัพอาณาจักรวั่นโซ่วไม่ได้เดินหน้าไปเร็วนัก ในช่วงสองสาม วันที่พวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว ขบวนทัพก็ขยับเพียงไม่กี่ลี้ต่อวันเท่านั้น
เป็นเวลา 8 วันนับตั้งแต่เกิดการประลองระหว่างกองพันไร้พ่าย และกรมทหารราบหนัก ณ ตอนนี้ หน่วยเฝ้าระวังของค่ายทหารจ้ง เทียนภาคเหนือเขตตะวันตกสามารถมองเห็นแนวรบของกองทัพ อาณาจักรวั่นโซ่วที่อยู่ห่างออกไปได้ใน ระยะไกลๆ พวกเขากําลัง เคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้าๆ การต่อสู้ใกล้เปิดฉากเต็มทีแล้ว
วิถีการเคลื่อนพลของอาณาจักรวั่นโซ่วเช่นนี้บ่งบอกว่าพวกเขามี แผนบางอย่างอยู่ในใจอย่างแน่นอน และในขณะที่พวกเขาดําเนินการ ตามแผนเช่นนั้น บรรยากาศภายในค่ายทหารตะวันตกเฉียงเหนือก็ยิ่ง กดดันมากขึ้นหลังวันเวลาผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่ากองทัพอาณาจักรวั่นโซ่ วจะเลือกบุกโจมตีจริงเมื่อใด ดังนั้นกองทัพจ้งเทียนภาคเหนือเขต ตะวันตกทั้งหมดจึงต้องอยู่ในภาวะเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอยู่ ตลอดเวลา ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าผู้บัญชาการ เจ้าหน้าที่ทหาร หรือพลทหารธรรมดา ทุกคนล้วนตกอยู่ในสภาพอ่อนล้าทั้งร่างกายและ จิตใจ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของอาณาจักรวั่นโซ่ว พวกเขามั่นใจว่า กองทัพจ้งเทียนภาคเหนือเขตตะวันตกของอาณาจักรจ้งเทียนจะไม่ กล้าเปิดฉากบุกก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ราบโล่งเช่นนี้ พวกเขา จึงใช้สงครามจิตวิทยากับกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อริดรอน พลังงานและขวัญกําลังใจของศัตรูได้อย่างง่ายดาย สุดท้ายเมื่อ อาณาจักรวั่นโซ่วเปิดฉากบุกขึ้นมาก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะกลายเป็น
การจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ และทําให้พวกเขาสามารถกําจัดศัตรูได้ อย่างหมดจดรวดเร็วที่สุด
เมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือในกองทัพจ้งเทียนภาคเหนือเขตตะวันตก บรรยากาศภายในกองพันไร้พ่ายนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง สําหรับ พวกเขา สิ่งที่ต้องทําก็คือร่วมฝึกประจําวันต่อไป แน่นอนว่าความ แตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือกองพันไร้พ่ายไม่ได้ฝึกตัวคนเดียวอีก ต่อไป พวกเขาต้องฝึกร่วมกับกรมทหารราบหนักเนื่องจากทั้งคู่ต้อง ทํางานร่วมกันให้เข้าขาที่สุด
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ โอนิค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลและหดหู่ใจ แม้จะ ได้เปรียบด้านตัวเลข แต่สุดท้ายกรมทหารราบหนักที่เขาภาคภูมิใจก็ได้ พ่ายแพ้ให้แก่กองพันไร้พ่ายในประเภทการต่อสู้ที่พวกเขามั่นใจที่สุด กระทั่งยังไม่นับรวมจํานวนเงินที่พวกเขาสูญเสียไปทั้งหมด แต่เพียงแค่ ความอัปยศอดสูอันเนื่องมาจากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ก็กลายเป็น ประวัติศาสตร์หน้าใหม่สําหรับทั้งกรมทหารราบหนักแล้ว หลังจากการ ต่อสู้ครั้งนั้น ทุกคนย่อมสามารถพูดได้ว่าขวัญกําลังใจของกรมทหาร ราบหนักทั้งหมดได้จมลงสู่ระดับต�าสุดเท่าที่เคยมีมา
อย่างไรก็ตาม คําสั่งก็ยังต้องเป็นไปเป็นตามคําสั่ง และพวกเขาก็ ถูกส่งไปที่กองพันไร้พ่ายทันที ยิ่งไปกว่านั้น เซินจี้ยังได้ออกคําสั่งให้โอนิ
และกรมทหารราบหนักของเขาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองพัน ไร้พ่ายอีกด้วย
ถึงกระนั้น การฝึกร่วมก็ดําเนินไปได้ด้วยดี ในด้านของกองพันไร้ พ่าย ความต้องการของพวกเขานั้นค่อนข้างเรียบง่ายมาก ทหารราบ หนัก 2 คนจะต้องคุ้มกันทหารกองพันไร้พ่าย 1 คน และเมื่อมีโล่หอคอย ของพวกเขาคอยปกป้องทั้งด้านหน้าและด้านบน มันจึงทําให้กองพันไร้ พ่ายมั่นใจได้ว่าตนเองจะไม่มีโอกาสโดนศัตรูเล่นงานโดยลูกศร
กลยุทธ์ร่วมมือกันต่อสู้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร และทหาร ราบหนักที่ทําหน้าที่ป้องกันแนวหน้าก็ได้ลงมือทํางานง่ายๆ เพียงแค่ ต้องวางโล่หอคอยในตําแหน่งที่สามารถกําบังร่างกายของพวกเขาได้ ทั้งหมด นั่นจึงไม่อาศัยใช้ความพยายามอะไรมากนัก สําหรับคนที่คุ้ม กันด้านบน เขาต้องคอยยกโล่หอคอยขึ้นอยู่ตลอดเพื่อทําเช่นนั้น และ ทหารราบหนัก 2 นายก็นี้จะผลัดเปลี่ยนหน้าที่กันเมื่อจําเป็น การฝึก เหล่าทหารราบทรงพลัง ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่งทาง กายภาพให้คอยคุ้มกันเช่นนี้จึงถือเป็นงานง่ายๆ
สําหรับทหารกองพันไร้พ่าย การฝึกของพวกเขายิ่งง่ายกว่าเดิม เนื่องจากสามารถยิงธนูภายใต้การคุ้มครองดังกล่าวได้ ด้วยการกําบัง ของทหารราบหนัก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้จะเป็นสนามรบที่กําลังฆ่า
ฟันกันอย่างดุเดือด ความปลอดภัยของทหารกองพันไร้พ่ายก็จะถูกกา รันตีไว้สูงสอดคล้องกับพลังโจมตีอันทรงอานุภาพของพวกเขา
แรกเริ่มเดิมทีโจวเหว่ยชิงได้จัดเตรียมแผนนี้ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ กองพันไร้พ่ายต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังเกินกว่าจะรับมือได้ ใน กรณีนี้ทหารกองพันไร้พ่ายจะสามารถล่าถอยได้อย่างรวดเร็ว แน่นอน ว่าในระหว่างนั้นกรมทหารราบหนักจะไม่สามารถถอยทัพได้ทันเวลา เนื่องจากเคลื่อนไหวได้ไม่เร็วและถูกบังคับให้ต้องคุ้มกันการล่าถอยของ พวกเขา โดยปกติแล้วนี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดและจะใช้เป็น ทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น
แน่นอนว่าทหารกองพันไร้พ่ายทุกคนต่างพอใจกับแผนการ ดังกล่าว แม้โจวเหว่ยชิงจะไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาบ่อยนัก แต่ผู้ บัญชาการหนุ่มแห่งกองพันไร้พ่ายก็ได้รับความเคารพนับถือไม่น้อย เพราะความคิดที่เป็นเอกลักษณ์และวิธีที่เขาแสดงความห่วงใยต่อความ ปลอดภัยของเหล่าทหาร
การฝึกนี้ดําเนินไปเป็นเวลา 5 วันก่อนที่ขวัญกําลังใจของกรม ทหารราบหนักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในที่สุด …
เหตุผลนั้นง่ายมาก … พวกเขาไม่ได้รู้สึกโกรธเกลียดกองพันไร้พ่าย อีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
แน่นอนว่าเหตุผลนั้นชัดเจนมาก เนื่องจากต้องฝึกร่วมกัน ทหารทั้ง 2 ฝ่ายจึงตั้งค่ายอยู่ด้วยกัน ทว่าเสบียงและข้าวของของพวกเขาถูกแยก ออกจากกัน …ยกตัวอย่างเช่น มื้ออาหาร
เพียงแค่อาหารไม่กี่มื้อ กรมทหารราบหนักก็แทบทนไม่ได้แล้ว
ในกองพลที่ 7 กรมทหารราบหนักถือเป็นหนึ่งในทหารชั้นสูง และ ในบรรดาพลทหารภายในกองพลทั้งหมด พวกเขาก็จะถูกปฏิบัติด้วย อย่างดีที่สุด นั่นทําให้อาหารของพวกเขามีคุณภาพสูงสุดเช่นกัน ทว่า เมื่อเปรียบเทียบกับกองพันไร้พ่ายแล้ว ทหารราบหนักก็แทบอยากจะ หลั่งน�าตาออกมา
สําหรับอาหาร 3 มื้อต่อวันของฝั่ งกรมทหารราบหนัก อย่างน้อยก็ จะมี 1 มื้อที่มีเนื้อสัตว์ นี่ถือเป็นการดูแลที่ดีที่สุดจากกองทัพแล้ว นั่นก็ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะออกรบได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
แต่ทหารกองพันไร้พ่ายกินอะไรอยู่น่ะหรือ!
สําหรับพวกเขา ทหารแต่ละคนกินอาหาร 6 มื้อทุกวัน!! ใช่แล้ว 6 มื้อ!!
ตารางเวลาของพวกเขาเป็นเช่นนี้ ยามรุ่งอรุณ พวกเขาจะตื่นและ รวมพลกันก่อนรับประทานอาหารเช้า นี่จะเป็นอาหารมื้อแรก โดยปกติ จะเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลือง โดยแต่ละคนจะได้ดื่ม 1 ชามใหญ่ มื้อ
ต่อมาแต่ละคนจะได้ไข่ 4 ฟอง ผักใบเขียว และเนื้อไม่ติดมัน บางครั้งก็ มีเนยแข็งก้อนเล็กแถมมาด้วย
หลังมื้ออาหาร พวกเขาจะพักผ่อน 1 ชั่วโมงก่อนที่การฝึกหนักจะ เริ่มขึ้นและใช้เวลาไปทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง จากนั้นพักอีก 1 ชั่วโมงก่อนจะรับ ของว่าง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงของว่างเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มักจะเป็น เนื้อสัตว์… บางครั้งก็มีเนื้ออสูรสวรรค์ราคาแพงอยู่ด้วย
เมื่อเอ่ยถึงมื้อกลางวัน ‘มื้อที่ 3’ ของวันก็มักจะเป็นมื้อที่สําคัญและ อร่อยที่สุด พวกเขาทั้งหมดได้รับอาหารอย่างน้อย 6 อย่าง มีเนื้อ ซุป เนื้อ หรืออย่างน้อยต้องได้ตุ๋นกระดูก โดยอาหารทั้ง 6 มื้อจะค่อนข้าง แตกต่างกันไปในแต่ละวัน
เมื่อกองทัพทั้ง 2 ตั้งค่ายใกล้กัน เพียงแค่กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ก็ เกือบจะแผ่ออกไปครอบคลุมไปทั่วทั้งกรมทหารราบหนักแล้ว เนื่องจากกรมทหารราบหนักได้กินอาหารที่เรียบง่ายและคล้ายๆกันใน แต่ละวัน ความรู้สึกนั้นจึงราวกับว่าพวกเขากําลังนั่งเคี้ยวไขผึ้ง
สําหรับการฝึกในช่วงบ่าย อาหารว่างมื้อที่ 4 ของทหารกองพันไร้ พ่ายส่วนใหญ่จะเป็นผักและผลไม้สด บางครั้งเพื่อความสะดวก มันจึง มาในรูปแบบน�าผลไม้สดแสนอร่อยถังแล้วถังเล่า
อาหารมื้อเย็นนั้นเรียบง่ายกว่ามื้อกลางวัน แต่ก็ยังคงมีซุปเนื้อ ส่วนใหญ่เป็นยาและสมุนไพร เต็มไปด้วยโสม เขากวาง และยาบํารุง อื่นๆที่ดีต่อร่างกาย นอกจากนี้ กลิ่นของพวกมันก็ยังน่าอร่อยยิ่งกว่าอีก ด้วย
ทุกๆคืน 1 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน กองพันไร้พ่ายจะ รับประทานอาหารมื้อที่ 6 เป็นมื้อเย็นของวัน หลังจากนั้น พวกเขาก็จะ สนทนากันสักพักก่อนจะนอนหลับเอาแรง กระโจมของพวกเขาล้วนบุ ด้วยหนังสัตว์และขนสัตว์ ภายในชุดเกราะของพวกเขาก็เป็นชุดผ้าฝ้าย ที่ใหม่และสะอาดสะอ้าน
เมื่อทหารราบหนักบางคนสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเหตุ ใดกองพันไร้พ่ายถึงได้รับอาหารที่ดีมากขนาดนี้ พวกเขาก็ได้เรียนรู้ว่า ทุกๆวันกองพันไร้พ่ายจะมีผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปซื้อเสบียงจํานวน มากจากเมืองเทียนเป่ย มีอย่างน้อย 1,000 คนถูกจ้างวานให้มาทํางาน นี้ และพวกเขาก็ไม่ได้รับเสบียงใดๆจากกองพลที่ 7 เลย
…
กระโจมบัญชาการกองพลที่ 7
“หัวหน้า…ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว…หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะไม่ เหลือทหารใต้บังคับบัญชาอีกแล้ว…. นักรบกองพันไร้พ่ายเหล่านั้นมี
ชีวิตแบบไหนกัน!? เรากินอาหารอะไร พวกเขาก็จะได้กินที่ดีกว่านั้น! ทหารธรรมดา…กินถึงวันละ 6 มื้อ! ท่านคิดว่าพี่น้องของข้าจะรู้สึก อย่างไรเมื่อได้เห็นสิ่งนั้น!”
โอนิกล่าวอย่างร้อนรนต่อหน้าเซินจี้
เซินจี้มองเขาอย่างโกรธเคืองและพูดว่า “เจ้าอยากให้ข้าทําอะไร ล่ะ? ให้เด็กๆของเจ้าได้กินอาหารแบบเดียวกับพวกเขาหรือ? เจ้ารู้ หรือไม่ว่ากองพันไร้พ่ายใช้จ่ายเงินเท่าไหร่ในแต่ละวัน? ข้าส่งทหาร ออกไปสอบสวนก่อนหน้านี้แล้ว… แค่ค่าอาหารเพียงอย่างเดียว พวก เขาก็ใช้เงินราวๆ 10,000 เหรียญทองต่อวันเข้าไปแล้ว กล่าวคือ… ใน แต่ละวันพวกเขาใช้เงินไป 2 เหรียญทองหรือมากกว่าต่อทหาร 1 คน พวกเราจะเปรียบเทียบกับกองพนไร้พ่ายได้อย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั้ง ค่าจ้างและค่าอาหารในแต่ละเดือนของเราเป็นเท่าไหร่…”
โอนิมองอีกฝ่ายอย่างทําอะไรไม่ถูกและพูดว่า “หัวหน้า…เช่นนั้น ท่านสั่งถอนกําลังออกมาดีหรือไม่…ข้า…”
“ ไม่” เซินจี้กล่าวอย่างหนักแน่น “เราพ่ายแพ้ทั้งการต่อสู้และการ เดิมพัน ดังนั้นจึงไม่อาจสูญเสียเกียรติและความซื่อสัตย์ไปได้อีก ขอให้ เหล่าพี่น้องอดทนอีกสักพัก…สงครามจะเริ่มในไม่ช้าแล้ว และเมื่อการ ต่อสู้เริ่มขึ้น ข้าก็หวังว่าพวกเขาจะไม่มีความสุขกับการกินอาหารแบบ นั้นอีกต่อไป เมื่อสงครามประจําปีกับอาณาจักรวั่นโซ่วสิ้นสุดลง ข้าถึง
จะเรียกกรมทหารของเจ้ากลับมาได้ ในช่วงเวลานี้ ข้าต้องรบกวนเจ้า ช่วยโน้มน้าวพวกเขาให้ทํางานตามหน้าที่ไปก่อน…”
โอนิถอนหายใจเหยียดยาวและเอ่ยว่า “เอาล่ะ ข้าคิดว่านั่นน่าจะ เป็นทางเลือกเดียวในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ไอ้พวกกองพันไร้พ่ายนั่นไร้ ยางอายเกินไปแล้ว ทุกๆวันพวกเขาจะมีอาหารเหลืออยู่ตลอดแต่กลับ นําไปให้ม้ากิน หึ ไม่คิดจะแบ่งอาหารให้เราแม้แต่น้อย! นอกจากนี้ยัง กล้าใช้ข้ออ้างว่าไม่ต้องการทําให้พันธมิตรของตนต้องทนอับอาย บัดซบ! ข้าล่ะอยากฟาดหน้าพวกมันจริงๆ!”
เซินจี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าไปสนใจว่าพวกเขากินดีอยู่ดีมาก แค่ไหนเลย เจ้าไม่ได้สังเกตการฝึกของพวกเขาเลยหรือ? ทุกๆวัน พวก เขาฝึกซ้อมราวกับจะแลกมาชีวิต ไม่สนใจความเหนื่อยล้าใดๆ และ แม้แต่การซ้อมรบในหมู่ตนเองก็ยังใส่แรงไม่ยั้ง การฝึกของพวกเขาหนัก หน่วงมากกว่ากองกําลังชั้นยอดของเราถึง 3 เท่า…”
โอนิยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่…ดูสิว่า พวกเขากินอะไรกัน! ตอนเย็นพวกเขายังมีซุปและยาบํารุงกําลังอีกเป็น โขยง พลังงานที่สูญเสียไปทั้งหมดย่อมต้องถูกเติมเต็มอย่างง่ายดาย บ้า เอ้ย! หัวหน้า รู้ไหมว่าข้าคิดอะไรอยู่? ข้าคิดว่าทําไมตัวเองถึงไม่ทํา ผิดพลาดในอดีตและถูกส่งตัวไปที่กองพันนักเลงบ้าง ชีวิตของพวกเขา
ดีเกินไปแล้ว ดีกว่าพวกขุนนางด้วยซ�า! ยิ่งไปกว่านั้น เงินที่พวกเขาใช้ จ่าย …อย่างมีความสุขนั้น… มันคือเงินที่ได้รับจากพวกเราแท้ๆ!!” …………………………………………..