Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 170 พยัคฆ์-มังกรกลายร่าง! (2)
ตอนนี้…มีอีกหนึ่งคน…อย่างแม่มดน้อยถูกเพิ่มเข้ามาในวง… นั่น
คือในชีวิตของเขามีผู้หญิงถึง 4 คน! ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดล้วนมาจาก
มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์… แถมยังมาจากคนละที่อีกด้วย! ทว่าสิ่งที่หลง
ซื่อหยาพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน ไม่มีเวลาให้ขบคิดเกี่ยวกับเรื่องไร้
สาระในตอนนี้ สิ่งที่สําคัญที่สุดสําหรับเขาก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่ง
ของตนเองก่อน เมื่อใดที่เขามีพลังระดับเทพเจ้าสวรรค์ แม้เป็นมหา
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างไรเล่า? มันอาจจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่ตราบใด
ที่พวกนางเต็มใจ เขาก็สามารถหนีไปกับทุกคนได้ในอนาคตอยู่แล้ว
เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ โจวเหว่ยชิงก็ไม่พยายามคิดหมกมุ่นกับเรื่องนี้อีก
ต่อไป เมื่อหันกลับไปมองอาจารย์ของตน โจวเหว่ยชิงก็กล่าวว่า
“อาจารย์ อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงวันที่หนาวที่สุดของฤดูหนาว?”
หลงซื่อหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “เรามีเวลาอีกไม่ถึง
หนึ่งเดือน ในช่วงเวลานี้ เจ้าไม่เพียงแต่ต้องทําความคุ้นเคยกับการ
เปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างกาย พลังและความสามารถใหม่ๆที่เจ้ามี ใน
ขณะเดียวกัน มันก็ยังถึงเวลาที่เจ้าจะต้องฝึกฝนศาสตร์การควบคุม
ทักษะขั้นสูงสุดทั้ง 6 ต่อเพื่อให้สามารถใช้ปราการควบคุม 6 สุดยอด
มณีสวรรค์ได้ เพียงแค่เจ้าสร้างปราการควบคุม 6 สุดยอดมณีสวรรค์ได้สําเร็จเพียงเล็กน้อย เมื่อรวมกับข้อได้เปรียบที่เจ้ามีภายในร่างกาย เจ้า
ก็จะไม่พ่ายแพ้ผู้อื่นง่ายๆแม้กระทั่งการเผชิญหน้ากับองค์ชายสิงโตผู้
นั้น เด็กน้อย ถ้าเจ้าต้องการรักษาคนรักเอาไว้ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องรีด
เค้นทุกอย่างออกมาสุดชีวิตแล้ว ตอนนี้ก็เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากนัก
เช่นกัน”
“ขอรับ” แม้หลงซื่อหยาจะไม่ได้เอ่ย แต่โจวเหว่ยชิงก็รับรู้ว่าเขา
ต้องทําอะไร
หลงซื่อหยากล่าวต่อ “เอาล่ะ เริ่มกันเลยดีกว่า เริ่มต้นด้วยการ
สํารวจการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดภายในร่างกายของเจ้า ก่อนอื่นใช้
สถานะปีศาจกลายร่างแบบใหม่ให้ข้าดู”
โจวเหว่ยชิงลูบท้องของเขาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นพลางพูดว่า
“อาจารย์ ข้าไม่ได้กินข้าวมานานแล้ว อย่างน้อยข้าขออาหารก่อนได้
ไหม?”
หลงซื่อหยาเกาศีรษะของเขาและพูดว่า “กิน…ได้ๆ…เช่นนั้นก็กิน
ก่อน”
ในพื้นที่ดังกล่าวไม่มีอะไรดีพอให้นํามาเป็นอาหารได้เลย และพวก
เขาก็ทําได้เพียงกินอาหารแห้งบางส่วนเพื่อเติมเต็มความต้องการของ
ร่างกาย อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาหารแห้ง แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังสปาวามพวกมันอย่างเอร็ดอร่อย แม้ร่างกายของเขาจะถูกเติมเต็ม
ได้โดยการดูดกลืนพลังปราณจากชั้นบรรยากาศ แต่มันก็ยังแตกต่าง
จากการกินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความเพลิดเพลิน
ระหว่างกิน หลังจากรับประทานอาหารมื้อใหญ่ พลังวิญญาณของเขาก็
ถูกเติมเต็มเช่นกัน
ทันทีที่โจวเหว่ยชิงกินเสร็จ เขาก็นั่งสมาธิบนพื้นทันทีโดยไม่ต้องให้
หลงซื่อหยาพูดกระตุ้น เด็กหนุ่มหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์เพื่อสัมผัส
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในร่างกายของตนอย่างช้าๆ
ทันทีที่เขาเริ่มหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ โจวเหว่ยชิงก็สัมผัส
ความแตกต่างได้ในทันที เวลาทั้ง 36 วันที่ใช้ไปกับการปลุกวิญญาณ
มังกรกลายสภาพทําให้พลังปราณสวรรค์ของเขาเพิ่มขึ้นถึง 4 ระดับ
ตั้งแต่ปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพระดับที่ 8 ไปสู่ระดับที่ 12 เกือบจะ
เข้าสู่ขั้นทะลุสวรรค์แล้ว
สําหรับปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานและปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพ
ทั้งสองยังคงเป็นระดับพลังปราณภายในร่างกาย แต่เมื่อจ้าวมณีสวรรค์
มาถึงขั้นทะลุสวรรค์ มันก็จะเริ่มก้าวไปสู่อีกระดับ ขยับออกจากร่างกาย
ออกไปควบคุมพลังปราณภายนอกแทน
ภายในร่างกายของเขามีจุดตาย 24 แห่งที่ถูกทะลวงและก่อให้เกิด
หลุมดําพลังปราณขนาดใหญ่ ราวกับปาก กว้างๆ ที่กําลังอ้างับพลังปราณจากโลกภายนอก เวลานี้พลังของวิชาเทพอมตะได้แสดง
ความสามารถออกมาให้เห็นอีกครั้ง ไม่นานโจวเหว่ยชิงก็สัมผัสถึงการ
รวมตัวของพลังปราณสวรรค์ที่ผ่านการวิวัฒน์ เนื่องจากวิชาเทพอมตะ
ความเร็วในการฝึกปราณของเขาจึงไม่ช้าลงเหมือนผู้อื่น แม้ว่าจะเข้าสู่
ขั้นทะลุสวรรค์แล้วก็ตาม
ข้อดีและข้อเสียของวิชาเทพอมตะนั้นชัดเจนยิ่ง และเมื่อสามารถ
ทะลวงผ่าน 4 ระดับได้ในครั้งเดียว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะทนทุกข์น้อยลงถึง 4 เท่า ปัจจุบันยังมีจุด
ตายอีก 3 แห่งรอให้โจวเหว่ยชิงทะลวง หลังจากนั้นเขาจึงจะสําเร็จวิชา
ส่วนที่ 3 เสียที ตามที่บันทึกบอกไว้ในวิชาเทพอมตะ สิ่งที่ยากที่สุดคือ
จุดตายทั้ง 9 ในวิชาส่วนที่ 4 เนื่องจากพวกมันทั้งหมดอยู่บนศีรษะ ถึง
อย่างไรศีรษะเป็นส่วนที่เปราะบางที่สุดของร่างกาย และความเสียหาย
เพียงน้อยนิดก็อาจหมายถึงความตายได้
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดถึงเรื่องนั้น สิ่งสําคัญที่สุดคือ
โจวเหว่ยชิงจะต้องเพ่งความสนใจไปที่การเสริมสร้างและคงสภาพ
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาให้ได้เสียก่อน
ความผันผวนของพลังปราณสวรรค์ในร่างกายของเขาทําให้โจว
เหว่ยชิงมีความสุขมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงปราณ
ทักษะธาตุต่างๆที่หมุนเวียนกันอย่างบ้าคลั่งจนเกิดเป็นเสียงกระทบกระทั่งภายในร่างกายอย่างน่าอัศจรรย์ นี่เป็นเรื่องสุดแสนน่า
ประหลาดใจสําหรับเขาเลยทีเดียว
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจสิ่งที่ถังเซียน มารดาของพี่
น้องซ่างกวนทั้ง 3 เคยบอกเขาแล้ว นั่นก็คือเขาจะสามารถป้องกัน
ตัวเองได้หลังจากทะลวงผ่านไปถึงระดับมณี 6 ชุด
ที่ป้องกันตนเองได้ไม่ใช่เพียงเพราะระดับมณี 6 ชุดเท่านั้น แต่เป็น
เพราะทักษะธาตุทั้ง 6 ของเขา เมื่อจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดามาถึงขั้นทะลุ
สวรรค์ เขาจะสามารถดึงพลังปราณสวรรค์ทักษะธาตุเดียวกับที่ตนมี
จากชั้นบรรยากาศมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ย่อมจะแตกต่างออกไป
สําหรับโจวเหว่ยชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 6 ทักษะธาตุของเขา ทําให้
เด็กหนุ่มสามารถดึงปราณธาตุต่างๆจากชั้นบรรยากาศได้มากกว่าเมื่อ
เทียบกับจ้าวมณีสวรรค์ทั่วไป ทว่าวิธีการใช้พลังปราณที่ดึงมาจาก
ภายนอกนั้น เขาเองก็ยังไร้ความรู้ แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีก
ต่อไปแล้ว เนื่องจากตอนนี้โจวเหว่ยชิงมีอาจารย์ของเขา หกสุดยอด
มหาราชาสวรรค์คอยอยู่เคียงข้างนั่นเอง
ในขณะที่สัมผัสการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง โจวเหว่ย
ชิงก็พลันรู้สึกมั่นใจมากขึ้นหากต้องต่อสู้กับองค์ชายสิงโตกู่อิ่งปิงอีกครั้ง
เพียงใช้ความคิดวูบไหวเสี้ยวหนึ่ง เขาก็เรียกพลังจากสายเลือดของ
ตนเองจากภายในขึ้นมาได้ทันทีด้วยเศษเสี้ยวแห่งเจตจํานงนั้น โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกคันยิบที่หลัง
ของเขาทันที ในช่วงเวลาต่อมาก็เกิดความรู้สึกราวกับมีเลือดพุ่งออกมา
จากด้านหลังของเขา และหลังจากเกิดเสียง *พรึ่บ* ปีกอันใหญ่โตก็กาง
ออกมาจากแผ่นหลังที่มีอาการคันของเขา
เมื่อสยายปีกออก โจวเหว่ยชิงก็เห็นได้ทันทีว่าผิวหนังของเขาแปร
เปลี่ยนเป็นสีม่วงสดใส มีเกล็ดเป็นชั้นๆทั่วทั้งตัว มองดูคล้ายลวดลาย
แปลกประหลาด หนําซ�ายังลามไปถึงใบหน้าของเขาด้วย
ในช่วงเวลานั้น สิ่งแรกที่โจวเหว่ยชิงสัมผัสได้ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า
พละกําลัง แต่เป็นพลังปราณภายนอก ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้
หลังจากที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นทะลุสวรรค์เขาสามารถสัมผัสปราณสวรรค์จาก
ชั้นบรรยากาศได้อย่างชัดเจนแล้ว ตอนนี้ตัวเขากลับกลายเป็นวังวน
พลังปราณเหล่านั้นแทน
แท้จริงแล้วมันคือวังวนชนิดหนึ่ง ทันทีที่ปีกกางออก พลังปราณ
สวรรค์ทักษะธาตุต่างๆก็วิ่งพล่านมารวมตัวกันและหลั่งไหลเข้าสู่แผ่น
หลังของเขาผ่านปีกเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง หลุมดําพลังปราณ ณ จุดตาย
ทั้ง 24 แห่งไม่ได้ดึงดูดพลังปราณเข้ามาอีกต่อไป แต่กลับสร้างวังวน
ปล่อยพลังปราณออกมาป้องกัน 24 แห่ง เกราะเทพอมตะผสานร่างเข้า
กับแต่ละแห่งทั่วทั้งร่างของเขา ในความเป็นจริง ณ จุดนี้ พลังปราณสวรรค์จํานวนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาจากภายนอกมีจํานวนมากกว่า
พลังปราณที่เขาใช้รักษาสถานะปีศาจกลายร่างเสียอีก
นี่คืออะไรกัน? หัวใจของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ความจริงกล้ามเนื้อของเขาไม่ได้ใหญ่ล�าสันหรือปรากฏลายเส้นคมชัด
เหมือนขณะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง อีกทั้งลวดลายคล้ายเกล็ดสี
ม่วงบนร่างกายของเขาก็ยังแตกต่างจากลายเสือที่ปรากฏขณะอยู่ใน
สถานะปีศาจกลายร่างเช่นกัน ประสาทสัมผัสและการรับรู้ของเขาก็
เปลี่ยนไป ญาณเยือกเย็นเองก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก
จากมุมที่หลงซื่อหยามอง หลังจากปีกของโจวเหว่ยชิงกางสยาย
ออก ผิวหนังของเขาก็เปลี่ยนสีเกือบจะพร้อมกัน ในขณะนั้นร่างกาย
ของเขาก็ดูเหมือนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แรงกดดันและกลิ่นอายที่
เป็นเอกลักษณ์พวยพุ่งออกมาจากร่างของเด็กหนุ่ม แม้จะมีพลังระดับ
มหาราชาสวรรค์หลงซื่อหยาก็ยังสัมผัสแรงกดดันนั้นได้อย่างชัดเจน
แรงกดดันนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับระดับพลังปราณ แต่เป็นแรง
กดดันที่เกิดจากพลังสายเลือดในตัว นี่เหมือนกับอสูรสวรรค์สวรรค์
สายเลือดสูงส่งกําลังแผ่แรงกดดันข่มขวัญอสูรสวรรค์สายเลือดที่ต�ากว่า
บางที หากสรุปให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันโจวเหว่ยชิง
กลายเป็นอสูรระดับสูงไปแล้วปีกที่อยู่ด้านหลังของเขากระพือเบาๆหนึ่งครั้ง แม้โจวเหว่ยชิงจะ
ไม่ได้รู้สึกว่าใช้พละกําลังอะไรไปมากมาย แต่กระแสอากาศที่กระเพื่อม
รุนแรงด้านหลังของเขาก็ทําให้ทั้งร่างของเด็กหนุ่มต้องสั่นคลอน
เจ้าของพลังร้องเสียงหลงขณะที่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือน
ลูกปืนใหญ่ ในพริบตาเดียวเขาก็ลอยขึ้นเหนือเมฆหมอกควันของภูเขา
วิญญาณอัคคีแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงบินด้วยพลังของตัวเอง แต่เขาไม่ได้
รู้สึกดีนัก นั่นเป็นเพราะเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจะทรงตัวในขณะที่อยู่กลาง
อากาศได้อย่างไร แขนของเขาจึงสะบัดไปมาอย่างเงอะงะ ทันทีที่
ทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุด เขาก็เริ่มหล่นร่วงลงมาและยังคงขยับตัวอย่าง
ทุลักทุเลเหมือนเดิม
“เจ้าโง่! สยายปีกของเจ้า รับรู้ถึงสายลมรอบตัว!” เสียงของหลง
ซื่อหยาดังขึ้นในหูของโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงกางปีกออกโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น ความเร็วในการร่วง
หล่นของเขาก็ลดลงอย่างมาก โล่งอกไปที! จิตใต้สํานึกของเขาเริ่มสั่งให้
ปีกขยับเพื่อรับรู้ถึงพลังปราณสวรรค์ธาตุลมรอบตัว สายลมคล้ายจะ
กลายเป็นทาสรับใช้ของโจวเหว่ยชิง พวกมันตกอยู่ภายใต้การควบคุม
ของเด็กหนุ่มและรับฟังทุกคําสั่งของเขา เขาขยับเปลี่ยนองศาปีกก่อนจะเริ่มกระพืออย่างระมัดระวัง ในที่สุดร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มโผ
ทะยานขึ้นบนท้องฟ้า
ในขณะนั้น ในที่สุดเด็กหนุ่มก็รู้สึกดีถึงขีดสุดอย่างไม่น่าเชื่อ
เดิมทีเมื่อโจวเหว่ยชิงได้เห็นซ่างกวนเฟยเอ๋อร์บินครั้งแรก หัวใจ
ของเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชมและอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก
ที่เขาได้สัมผัสประสบการณ์การบินด้วยตัวเอง ความอิจฉานั้นก็ยิ่ง
รุนแรงมากขึ้น เขาได้เรียนรู้จากหลงซื่อหยาว่า ‘ชุดชังพสุธาไร้ที่ยก’
ของเขาเองไม่มีปีกศาสตรามณียุทธ์ใดๆ มันเป็นเพียงชุดศาสตรามณี
ยุทธ์ที่เพียรไล่ล่าเพียงความแข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้น
นั่นเป็นผลให้โจวเหว่ยชิงทําได้เพียงวางความหวังในการบินไว้กับ
พลังปราณสวรรค์ธาตุลมเมื่อทะลุไปยังระดับราชาสวรรค์เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการบินด้วยปีกตนเองและการใช้
พลังปราณสวรรค์ในการบินนั้นแตกต่างกันมากแค่ไหน หากไม่นับความ
แตกต่างที่ชัดเจนในเรื่องการเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ เพียงแค่
ความคล่องตัวและความยืดหยุ่นในการบินก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
แล้ว โจวเหว่ยชิงเคยได้เห็นซ่างกวนเฟยเอ๋อร์แสดงทักษะการบินและ
ความสามารถในการต่อสู้อันหลากหลายกลางอากาศให้กับทหารกอง
พันไร้พ่าย การเคลื่อนไหวแบบอิสระ ทั้งหมุน เหวี่ยง และสะบัดตัวไปมา สามารถโจมตีได้ทุกท่วงท่าด้วยลีลาที่สวยงาม… นี่จึงเป็นสาเหตุที่
ทําให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก
ในที่สุดตอนนี้เขาก็มีปีกเป็นของตัวเองแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือพวก
มันยังแตกต่างจากปีกศาสตรามณียุทธ์ของซ่าง กวนเฟยเอ๋อร์ …พวก
มันงอกขึ้นบนร่างกายของเขาโดยตรง สามารถใช้ได้ทันทีที่เข้าสู่สถานะ
กลายร่าง! พวกมันไม่ต้องอาศัยพลังปราณสวรรค์ และปีกเหล่านี้ก็ยัง
ช่วยเร่งอัตราการฟื้ นฟูพลังปราณสวรรค์ของเขาอีกด้วย …
ใขณะที่โจวเหว่ยชิงกําลังจมอยู่กับความตื่นเต้น ทันใดนั้นเขาก็
สัมผัสถึงอันตราย จู่ๆปีกของเด็กหนุ่มก็ฟาดลงด้านล่างอย่างแรง และ
ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่ด้านหลังเขา กงจักรวายุสีเขียว-
ทองได้พุ่งฉิวผ่านไป
โจวเหว่ยชิงหน้าซีดด้วยความตกใจ นั่นคือพลังปราณสวรรค์ธาตุ
ลมที่ถูกบีบอัดอย่างรุนแรง! นั่นไม่ใช่สิ่งที่กงจักรวายุธรรมดาสามารถ
เทียบเคียงได้ อาจารย์ของเขาเสียสติไปแล้วหรือ?
……………………………………….