Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 21.1 การบุกโจมตีอย่างไม่คาดฝัน (1)
เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นโอบกอดเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่ค่อยๆ แผ่กระจายออกมาภายในหัวใจของตนเอง แม้ว่าปกติแล้วเด็กหนุ่มมักจะเป็นจอมเจ้าเล่ห์น้อยที่ชอบฉวยโอกาส แต่ตอนนี้สมองของเขากลับว่างเปล่าไร้ความคิดไปชั่วขณะ
สำหรับโจวเหว่ยชิง การกอดนี้เป็นเสมือนดั่งการยอมรับ ใช่ การยอมรับ ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ เขามักจะเป็นเศษสวะในสายตาของคนอื่นเสมอ แม้หลังจากที่ได้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ เงามืดของอดีตก็ไม่ได้จางหายไปจากใจ และลึกเข้าไปข้างในเด็กหนุ่มก็ยังรู้สึกได้ถึงความด้อยค่าของตนเอง นี่คือเหตุผลที่เขามักจะใส่หน้ากากเข้าหาทุกคน ใช้การถากถางดูถูกและการหยอกล้อคนอื่นๆ เพื่อกลบซ่อนความรู้สึกด้อยค่าของตนเอง นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมก่อนหน้านี้โจวเหว่ยชิงถึงทำตัวไร้สาระแบบนั้นทุกครั้งที่อยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์
นางพึ่งกอดข้า นางกอดข้าด้วยตัวเอง ความรู้สึกของการถูกโอบกอดภายในอ้อมแขนอันอบอุ่นอ่อนโยนนั้นเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ และสวยงาม นั่นทำให้หัวใจของเขาแทบจะหลอมละลาย ในที่สุดก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวผู้งดงามที่คิดว่าข้าเป็นใครสักคนที่มีค่า ใครสักคนที่คู่ควร และใครสักคนที่เธอสามารถเชื่อถือได้ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ความภาคภูมิใจ และความพึงพอใจที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิตทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
หลังจากที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมกอดเขา ใบหน้าที่สวยงามของเธอก็ขึ้นสีแดงซ่านด้วยความเขินอายเช่นกัน เนื่องจากในขณะที่เธอกำลังโอบกอดเขา เธอกำลังอยู่ในสภาพที่ภายในอกปั่นป่วน แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นความกังวลหนึ่งก็เริ่มผุดขึ้นมาในใจ คนไร้ยางอายเช่นเขามักจะทำตัวแย่ๆ เสมอ เพราะฉะนั้นเขาจะฉวยโอกาสนี้..
อย่างไรก็ตาม ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ต้องรู้สึกแปลกใจทันที เธอรับรู้ว่าโจวเหว่ยชิงยืนอยู่นิ่งๆในอ้อมแขนของเธอโดยไม่ได้พยายามใช้กลอุบายหรือแกล้งทำอะไรตลกหยาบโลนใส่เธออีก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่มีวี่แววจะทำอะไรไปมากกว่านี้ด้วย ความหงุดหงิดจึงจางหายไปอย่างช้าๆ จากนั้นความรู้สึกสงบปลอดภัยก็ค่อยๆซึมซาบเข้ามาในหัวใจของเธอ
แม้ว่าเขาจะพรากครั้งแรกของข้าไป แต่วันนี้เขากลับเป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้ เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว เราก็มาล้างกระดานเริ่มต้นกันใหม่เถอะ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คิดกับตัวเองในใจ
เมื่อผู้หญิงได้ลองเกลียดผู้ชายคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ความเกลียดชังนั้นก็จะไม่มีวันลดลงเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ในทางตรงกันข้ามก็เป็นจริงเช่นกัน เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ลองยอมรับในตัวผู้ชายสักคนแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย เธอก็ยังคงคิดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่นๆ
และผู้หญิงกับผู้ชายคู่นี้นั้นก็ได้แต่ยืนแข็งค้างกันอยู่ตรงนี้เงียบๆ พวกเขาทั้งคู่ยังเยาว์วัยนัก หนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่มีปมด้อยเนื่องจากถูกเรียกว่าเศษสวะมาตลอดหลายปี ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวที่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งบนบ่าจนไม่สามารถจะทนรับมันไหวอีกต่อไป ณ ช่วงเวลานี้ หัวใจทั้งสองดวงของพวกเขาดูเหมือนจะขยับเข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไรก็ตาม กลิ่นอายและตัวตนของพวกเขาก็ดูเหมือนกำลังจะปลอบโยนซึ่งกันและกัน
“ขอบคุณ อ้วนน้อย ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน เธอผละมือออกจากโจวเหว่ยชิงและเงยหน้าขึ้นมองเขา เพียงเพื่อจะได้เห็นเขาจ้องมองเธออย่างประหม่า ตัวเขาดูโง่เง่าจนเธอก็อดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยเสียงหัวเราะออกมา
“ปิงเอ๋อร์ เจ้างดงามมากเวลาที่ยิ้ม” โจวเหว่ยชิงกล่าวชมออกมาอย่างโง่งม ในเวลานี้เขาคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง แต่รับรู้ได้ว่าเงามืดในหัวใจของตนได้รับชำระล้างจากสัมผัสของซ่างกวนปิงเอ๋อร์
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ร้อนแรงจากเขาและเธอก็เขินอายมากจนต้องกัดริมฝีปากล่างของเธอแน่น ท่าทางเช่นนั้นทำให้เธอดูน่ารักขึ้นมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าเลือดในกายต่างก็ไหลพล่านขึ้นมาที่ศีรษะจนทำให้เขาเกือบหมดสติ อีกฝ่ายก้มลงมาหา การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงไม่อยากจะทำร้ายหญิงสาวที่ช่วยเขาไว้ และหากเธอแสดงอาการต่อต้าน เขาก็จะหยุดทันที
ในขณะที่ใบหน้าของทั้งคู่เข้าใกล้กัน เลือดฝาดบนใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้พยายามจะหลบเลี่ยงเขา เมื่อไม่นานมานี้ หัวใจของพวกเขาได้เข้าใกล้ และสัมผัสซึ่งกันและกัน จากนั้นก็หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นความโกรธของเธอที่มีต่อเขาก็จางหายไปแล้ว
ขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ จนระยะห่างแทบเหลือไม่ถึง 1 นิ้ว ทันใดนั้นกระโจมของโจวเหว่ยชิงก็ถูกเปิดออก และเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “เหว่ยน้อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองพันจริงๆ… เอ๋…”
เซียวหรูเซ่อพุ่งเข้ามาข้างในกระโจมอย่างไม่มีใครทันได้ทันตั้งตัว ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจจนต้องกระโดดหนีไปอีกมุมราวกับนกตัวเล็กที่กำลังตื่นกระหนก
“…ขะ ข้ามาผิดกระโจม เชิญพวกเจ้าต่อเลย….” เซียวหรูเซ่อมีสีหน้าแปลกประหลาดขณะที่เธอกระวีกระวาดแก้ตัวและรีบหุนหันหนีออกจากกระโจมไป
โจวเหว่ยชิงพูดไม่ออก เหงื่อเริ่มไหลโซมกาย เขากำลังจะได้จูบจริงๆเป็นครั้งแรก… พี่สาว…ท่านมาผิดเวลา จริงๆ….
ใบหูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห่อร้อนด้วยความอับอาย เธอจ้องเขาและพูดว่า “มันเป็นความผิดของเจ้า! ข้าจะกลับแล้ว” หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหันหลังเดินออกจากกระโจมอย่างรวดเร็ว
“ปิงเอ๋อร์ รอก่อน” โจวเหว่ยชิงก้าวไปข้างหน้า และจับตัวเธอไว้
“เจ้า…เจ้ากำลังจะทำอะไร?” บรรยากาศที่แสนอบอุ่นอ่อนโยนก่อนหน้านี้หายวับไปทันทีที่เซียวหรูเซ่อโผล่เข้ามา และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะพูดข่มขู่เขาขณะที่เธอกำลังก้มศีรษะลงต่ำซ่อนความเขินอาย
“ปิงเอ๋อร์ อย่าเพิ่งไปเลยนะ เจ้าไม่อยากแก้แค้นให้กับทหารของเราที่ตายไปในวันนี้หรือ?” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างนุ่มนวล
“เอ๋?” เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ตัวว่าเธอเข้าใจเขาผิดไป เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “แก้แค้น? ยังไง?”
ความเย็นชาส่องประกายแวววับในดวงตาของโจวเหว่ยชิง เขาพูดเบาๆ ว่า “นี่เป็นสงครามระหว่างสองอาณาจักร เพราะพวกมันทำให้คนของเราบาดเจ็บล้มตายมากกว่า 100 คน เพราะฉะนั้นเราก็ควรทำเช่นเดียวกันกับพวกมันบ้าง นี่คือการบรรเทาความแค้นให้คนของเราที่ต้องตายไปชั่วคราว ค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากที่นี่แค่ไหน?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “อยู่ห่างออกไปประมาณ 300 ลี้ แม้ว่าระยะทาง 300 ลี้นี้เต็มไปด้วยภูมิประเทศที่สลับซับซ้อน แต่มันก็ถือว่าเป็นเขตปลอดทหารสำหรับทั้งสองฝ่าย เจ้ากำลังคิดจะบุกโจมตีฐานที่มั่นของศัตรูหรือ?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและบอกว่า “ใช่ เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทักษะที่ข้ากักเก็บไว้ในมณีธาตุของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? งั้นข้าจะบอกเจ้า แน่นอนว่าเจ้าคิดถูก ในแง่ของการบังคับบัญชาและนำกองทัพ ความสามารถของพวกเรานั้นเปรียบเทียบกับผู้บัญชาการกองร้อยเซียวไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ว่าพวกเราก็เป็นจ้าวมณีสวรรค์ เป้าหมายของเราในสนามรบนั้นสามารถใช้คำว่า ‘พลังทำลายล้างที่แท้จริง’ มาอธิบายได้อย่างง่ายดาย นั่นคือคุณค่าที่แท้จริงของพวกเราจ้าวมณีสวรรค์ เนื่องจากศัตรูสามารถข้ามมายังชายแดนของพวกเราเพื่อลอบสังหารเจ้า ทำไมเราถึงไม่ลองทำเช่นเดียวกัน และสอนบทเรียนให้พวกมันบ้าง”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สูดหายใจเข้าลึก และภายในดวงตาที่งดงามของเธอ ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวก็ปรากฏขึ้น เธอตอบ “ก็ได้ พวกเราทำตามที่เจ้าบอกเถอะ ข้าจะกลับไปฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ก่อน หลังอาหารเย็นข้าจะตามหาเจ้าและเราจะพูดคุยกันเรื่องแผนการณ์บุกโจมตี”
โจวเหว่ยชิงส่งเธอออกจากกระโจม จากนั้นก็กลับไปที่เตียงของเขาเพื่อฟื้นฟูปราณสวรรค์ต่อ ลูกวัวไม่กลัวเสือ[1] หนุ่มสาวมักหุนหันพลันแล่นและทำตามอารมณ์เพราะพวกเขาไม่กลัวผลกระทบที่จะตามมามากนัก สิ่งที่เขาคิดเพียงอย่างเดียวคือต้องการทำให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกดีขึ้นและมีความสุข ส่วนซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นก็ต้องการแก้แค้นให้กับคนของเธอที่ถูกสังหารไป ดังนั้นทั้งสองคนจึงตกลงกันเกี่ยวกับแผนการณ์ที่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้อย่างง่ายดาย
เมื่อควันไฟเริ่มลอยขึ้นเหนือค่ายทหาร แสงรำไรของดวงอาทิตย์ยามโพล้เพล้ก็สะท้อนขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า พ่อครัวกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเพราะใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว
ในกองทัพอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีกฎที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า นายทหารทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดต้องรับประทานอาหารร่วมกันหมด เว้นแต่อยู่ในสถานการณ์อื่นๆ ที่พิเศษไปจากนี้ ข้อตกลงนี้กำหนดโดยแม่ทัพใหญ่โจว บิดาของโจวเหว่ยชิง และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้ชายในกองพันที่ 3 รู้สึกตื่นเต้นที่สุด เนื่องจากในเวลานี้พวกเขาจะได้พบกับผู้บัญชาการกองพันหญิงผู้งดงามและเป็นที่รู้จักในนามผู้หญิงที่สวยที่สุดในอาณาจักร ผู้บัญชาการกองพันซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง!
…………………………………………………
[1]ลูกวัวไม่กลัวเสือ หมายความว่า ลูกวัวไม่รู้ว่าเสือเป็นยังไง เพราะลูกวัวยังไม่มีความรู้ว่าเสือมันนั้นน่ากลัวแค่ไหน