Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 22.1 ร่วมเป็นร่วมตาย (1)
ในขณะที่ธนูราชันก่อตัวท่ามกลางหมอกน้ำแข็ง โจวเหว่ยชิงก็รีบย้ายมันไปถือด้วยมือข้างซ้าย เขายกมันขึ้นง้างในท่าพร้อมเตรียมยิง ในเวลานั้นไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่กลายเป็นสีแดงกุหลาบก็พลันมีกระแสไฟฟ้าสีน้ำเงินพระพริบแลบแปลบปลาบคล้ายสายฟ้าอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังเพ่งสมาธิอยู่นั้นเอง ไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาก็เคลื่อนไหวกลิ้งเข้าไปในหลุมบรรจุมณีบนธนูราชันอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นธนูสีขาวขุ่นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าพิสุทธิ์ลากยาวลงจนถึงสายธนู ในขณะที่พลังสายฟ้ากำลังหมุนวนอยู่รอบข้อมือของเขา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกชาแปลบไปทั่วร่างกายราวกับว่าเขากำลังถูกไฟฟ้าช็อตเป็น ระยะๆ
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?!” เสียงตะโกนดังมาจากด้านล่างอย่างกระทันหัน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากระยะไกลมุ่งไปยังหอสังเกตการณ์
ขณะนี้โจวเหว่ยชิงกำลังยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์เพื่อให้สามารถมองเห็นรอบๆ ค่ายได้ชัดเจนจากมุมสูง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมหมายความว่าคนอื่นๆ ก็จะมองเห็นเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน โดยปกติอาศัยความมืดในเวลากลางคืนก็เพียงพอแล้วที่จะปกปิดตัวตนให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมได้ แต่ทว่าเนื่องจากตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังเตรียมที่จะใช้วิชาประสานระหว่างมณียุทธ์และมณีธาตุ นั่นจึงเป็นเหตุให้ธนูราชันเปล่งแสงสว่างออกมาอย่างโชติช่วง ด้วยความสว่างระดับนั้น พวกทหารฝ่ายศัตรูจะมองไม่เห็นเขาได้อย่างไร?
โจวเหว่ยชิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลุมดำทั้ง 4 บริเวณจุดตายของเขากำลังหมุนขว้างเพื่อดูดกลืนพลังปราณรอบๆตัวด้วยความเร็วเต็มพิกัด เด็กหนุ่มค่อยๆ ง้างธนูที่ทรงพลังอย่างธนูราชันขึ้น ลูกธนูซึ่งทำจากไม้ดาราอายุ 500 ปีที่กำลังพาดไปบนคันธนูราชันดอกนี้ได้รับอิทธิพลจากพลังธาตุไฟฟ้าของเขาจนแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใส
เมื่อโจวเหว่ยชิงง้างธนูราชันขึ้นจนสุด เขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังดึงดูดอะไรบางอย่างเข้ามา ใช่แล้ว พวกมันกำลังดูดกลืนพลังงานสายฟ้าจากสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวของเขาเข้ามาที่ธนูราชัน และพลังทำลายล้างของมันก็ดูคล้ายกับระเบิดที่พร้อมจะปะทุขึ้นในได้ในทุกเวลา
ทหารลาดตระเวนกำลังจะบุกขึ้นมาจู่โจมเขา แต่อนิจจา ในหมู่ทหารลาดตระเวนกลับไม่มีนักธนูเลยสักคนเดียว พวกเขาจึงทำได้แค่เพียงพยายามจะปีนขึ้นหอสังเกตการณ์ให้เร็วที่สุดเท่านั้น
ธนูราชันถูกง้างไปจนถึงขีดจำกัดของมัน แสงที่เปล่งประกายออกมาจากตัวมันกำลังส่องแสงสะท้อนตัดกับแสงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้า ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนจากระยะไกล ขณะที่โจวเหว่ยชิงพุ่งขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ เธอก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เธอยิงลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าออกมาจากระยะไกลๆ เพื่อช่วยกำจัดทหารแต่ละคนที่พยายามจะปีนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์เพื่อสังหารโจวเหว่ยชิง
*แคร๊ง* *แคร๊ง *แคร๊ง* เสียงระฆังดังขึ้น จากนั้นทหารในค่ายทั้งหมดก็ถูกปลุกขึ้นมาจากการนอนหลับทันที เห็นได้ชัดว่าทหารหลายหมื่นคนต้องวุ่นวายเพราะเพียงโจวเหว่ยชิงแค่คนเดียว
ในขณะนั้นเอง เสียงคำรามแหวกอากาศเสียงหนึ่งก็ทำให้ทหารทุกคนต้องสั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ บนท้องฟ้าที่มืดสนิทดุจขนกาคราคร่ำไปด้วยสายฟ้าที่ทรงพลัง พวกมันเปล่งแสงสว่างออกมาตัดกับท้องฟ้าที่มืดสนิทยามค่ำคืนเช่นนี้ ราวกับดาวตกที่ร่วงหล่นจากบนท้องฟ้า สายฟ้าขนาดมหึมาเส้นหนึ่งก็พุ่งตรงเข้าสู่บริเวณใจกลางค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซทันที
โจวเหว่ยชิงไม่ได้หยุดรอดูผลงานของตนเอง เขาหันไปยิงลูกธนูธรรมดาอีก 3 ดอกใส่พวกทหารที่กำลังปีนขึ้นมาหาเขา จากนั้นใช้เท้าขวากระแทกเข้ากับพื้นหอสังเกตการณ์อย่างแรงและกระโดดลอยตัวขึ้นในอากาศ
*ตูม* เสียงระเบิดรุนแรงดังขึ้นสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยพลังจากลูกธนูสายฟ้าดอกนั้น แม้ว่าเป้าหมายจะอยู่ไกลออกไปถึง 1 กิโลเมตร แต่เพราะพลังทำลายล้างและความเร็วของลูกธนูที่ยิงมาจากธนูราชันนั้นน่าเกรงขามเกินไป กระโจมขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของโจวเหว่ยชิงจึงเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว หากสังเกตจากด้านบนจะพบว่าระเบิดที่ปะทุขึ้น ณ ใจกลางกระโจมนั้นมองเห็นเป็นทะเลเพลิงสีฟ้าสาดกระจายออกไปเป็นวงกว้างอย่างชัดเจน เปลวไฟร้อนๆ ผุดขึ้นมาโดยรอบ เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดังระงมไปทั่ว
จากนั้นไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดเล็กๆ อีก 4 ครั้ง โดย 3 ครั้งแรกเกิดจากลูกธนูธรรมดา 3 ดอกหลังที่โจวเหว่ยชิงยิงตามออกไป เขาไม่ได้เจาะจงเป้าหมายใดเป็นพิเศษ แค่ยิงเข้าไปในที่ๆ มีทหารรวมกลุ่มกันอยู่จำนวนมากๆเท่านั้น ด้วยพลังทำลายล้างของธนูราชัน ถึงแม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้ใช้ทักษะธาตุใดๆ ก็ตาม ลูกธนูก็ยังคงสามารถระเบิดพลังออกมาได้อย่างรุนแรงถึงที่สุดท่ามกลางกองทหารคาลิเซที่วิ่งประจันหน้าเข้ามาหาเขา และในการโจมตีครั้งหนึ่ง เขาก็สามารถทำให้ทหารบาดเจ็บล้มตายได้ถึงอย่างน้อย 10 คน
ส่วนเสียงที่ดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายนั้นคือเสียงที่เกิดจากหอสังเกตการณ์พังทลาย เนื่องจากถูกโจวเหว่ยชิงเหยียบลงไปเต็มแรงเพื่อถีบตัวกระโดดหนี พื้นส่วนบนของหอสังเกตการณ์จึงปริแตกและถล่มลงไปในแทบจะทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ธนูอุษาม่วงในมือของเธอถูกใช้กระหน่ำยิงออกมาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังใช้ทักษะการยิงเร็วด้วยความเร็วสูงสุดควบคู่กันไปด้วย ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เธอคนเดียวได้ยิงธนูออกไปแล้วมากกว่า 30 ดอกเพื่อช่วยยับยั้งเหล่าทหารที่ไล่ตามโจวเหว่ยชิง
“ไปกันเถอะ!” โจวเหว่ยชิงกระโจนไปข้างหน้าแล้วลอบส่งสัญญาณให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทั้งคู่รีบหันหลังและออกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองความโกลาหลเบื้องหลังที่พวกเขาเพิ่งจะก่อขึ้นเลยด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ เงาร่างของคนทั้ง 10 กำลังบินโฉบไปมาอยู่บริเวณด้านหน้าค่ายทหารคาลิเซ และหนึ่งในนั้นก็ยังร้องตะโกน “ที่เก็บเสบียงกำลังไหม้! เสี่ยวเยเย่ไปจัดกองทหารเพื่อดับไฟ เก็บข้าวของที่เหลือมาให้ได้มากที่สุด! ส่วนที่เหลือ ตามข้ามา ข้าจะไม่ยอมให้พวกมันหนีไปได้!”
คนที่เปล่งเสียงออกคำสั่งคือองค์ชายแห่งอาณาจักรคาลิเซ หรือก็คือองค์ชาย 9 ไป๋จิ่ว ส่วนอีก 10 คนที่เหลือต่างก็เป็นจ้าวมณีคนอื่นๆ ที่อยู่ในค่ายทหาร แน่นอนว่าใครจะมีอารมณ์ดีได้หากถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับลึกอย่างกะทันหัน นี่ยังไม่พูดถึงการที่ถูกปลุกด้วยเสียงระเบิดจนทำให้ผวาตื่นตกใจจนขนหัวลุกเช่นนี้!
กระโจมของไป๋จิ่วตั้งอยู่ใกล้ๆ กับกระโจมขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของโจวเหว่ยชิง ดังนั้นการระเบิดครั้งใหญ่นี้จึงไม่เพียงแต่จะทำให้เขาผวาตกใจจนตื่น แต่ถึงกับทำให้เขาฉี่ราดกางเกงไปหมด นั่นเป็นผลให้เขาโกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนสี ไป๋จิ่วเปลี่ยนกางเกงของเขาอย่างรวดเร็วจากนั้นก็รีบวิ่งออกไปนำกลุ่มจ้าวมณีตามไล่ล่าพวกศัตรูที่กล้าเข้ามาบุกรุกค่ายทหารของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“อ้วนน้อย เมื่อกี้เจ้าใช้ทักษะธาตุอะไรน่ะ? ทำไมถึงเกิดระเบิดที่ทรงอานุภาพขนาดนั้นได้?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างสงสัยขณะที่พวกเขากำลังวิ่งหนี แม้ว่าเธอจะอยู่ไกลจากรัศมีการระเบิดมาก แต่แรงระเบิดครั้งใหญ่นั้นก็ยังทำให้เธอตกใจจนแทบสิ้นสติ
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “ฮึๆ ข้ากักเก็บทักษะธาตุลงในมณีธาตุดวงแรกของข้าครบแล้ว จำลูกศรดอกนั้นที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ไหม? นั่นคือทักษะมืดที่ชื่อว่า “สัมผัสมืด” และเจ้าก็เห็นแล้วว่ามันเข้ากันได้ดีเวลาใช้ประสานกับธนูราชัน”
“สิ่งที่ข้าใช้ในวันนี้คือทักษะประเภทการโจมตีเพียงอย่างเดียวที่ข้ามี ข้ากักเก็บทักษะนี้มาจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่ข้าไม่รู้จักชื่อ ข้าพบมันในประตูบานสุดท้าย ประตูที่เขียนกำกับไว้ว่า ‘สำหรับอสูรสวรรค์ที่ยังไม่มีใครรู้จักหรือพวกที่กลายพันธุ์’ ชื่อทักษะนี้คือ “ฝ่ามืออัสนีบาต” จริงๆ แล้วแต่เดิมมันเป็นทักษะการต่อสู้ระยะประชิด อย่างไรก็ตาม พอใช้ร่วมกับธนูราชันแล้วมันกลับให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจมาก ลองคิดดูนะ ‘ฝ่ามืออัสนีบาต’ ปกติก็ให้แรงระเบิดที่รุนแรงอยู่แล้ว เมื่อรวมกับพลังสายฟ้าและอำนาจระเบิดทำลายล้างของธนูราชัน มันก็คือการเอาลูกระเบิดมาบดรวมกันดีๆ นี่เอง แล้วเจ้าจะไม่ให้แรงระเบิดมันทรงอานุภาพขนาดนั้นได้ยังไง?”
“เฮ้อ แต่เพราะพลังปราณสวรรค์ของข้ามีจำกัด ข้าจึงสามารถใช้วิชาประสานแบบนี้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากไม่เป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็คงจะยิงซ้ำแล้วซ้ำอีก สร้างความหายนะให้กับพวกมันจนไม่เหลือซาก”
เมื่อฟังคำพูดของเขาจบ กระแสเย็นวาบสายหนึ่งก็ไหลผ่านหัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอรู้ว่าถ้าตอนนี้เธอต่อสู้กับโจวเหว่ยชิงแบบ 1 ต่อ 1 เขาก็คงจะพ่ายแพ้ให้กับเธออย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากเธอมีความได้เปรียบในแง่ของปริมาณปราณสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีมณีสวรรค์มากกว่าเขาอีก 1 ชุดด้วย อย่างไรก็ตาม เธอก็จินตนาการได้ว่าเมื่อโจวเหว่ยชิงฝึกฝนไปจนมีปราณเพียงพอที่จะใช้ทักษะทั้งหมดของเขาได้ เวลานั้นเขาคงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยข้อได้เปรียบจากการที่โจวเหว่ยชิงมีทักษะธาตุหลากหลายชนิด เขาจึงไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับใครเลย และสามารถต่อสู้แบบประสานทักษะธาตุของตนเข้าด้วยกันแทน
…………………………………………………………