Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 24.2 เสือขาวตัวน้อย (2)
พวกเขาวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดจนกระทั่งออกจากภูเขาลูกนั้นมาได้สำเร็จ ทั้งคู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมๆ กัน ในเวลานั้นโจวเหว่ยชิงไม่ลังเลเลยที่จะยกเสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนให้แก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ “นี่คือของขวัญสำหรับเจ้า”
“ให้ข้า?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อ้วนน้อย เจ้าไม่รู้มูลค่าของอสูรสวรรค์ตัวน้อยนี้หรือ? แม้แต่ลูกของหมาป่าโลกันตร์ที่เราเพิ่งสังหารไปเมื่อคืน แต่ละตัวยังสามารถนำไปแลกทองคำได้มากกว่า 1,000 ก้อน สำหรับเสือขาวตัวน้อยของเจ้า ข้านึกไม่ออกเลยว่าราคาของมันจะมหาศาลแค่ไหน”
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างอ่อนโยน “นั่นไม่สำคัญหรอก ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องมอบมันให้กับคนอื่น แต่ว่าเจ้าไม่ใช่คนอื่น”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงก่ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธโจวเหว่ยชิงเพราะว่าเธอเองก็ชอบลูกเสือขาวตัวนั้นมากเช่นกัน เจ้าตัวน้อยนั้นน่ารักเกินไป เธอจึงเอื้อมมือเข้าไปหามันด้วยความเอ็นดู
ทว่าจู่ๆ ก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อเสือขาวตัวน้อยเห็นว่าโจวเหว่ยชิงจะมอบมันให้กับคนอื่น มันก็เริ่มมีท่าทีโกรธเคือง กรงเล็บทั้ง 4 ของมันโผล่ขึ้นมาขณะที่เจ้าตัวน้อยแยกเขี้ยวข่มขู่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างดุร้าย อนิจจา ด้วยลำตัวเล็กๆ และใบหน้าของมันที่นุ่มนิ่มน่ารักเกินไป ความดุร้ายที่ปรากฏออกมาจึงดูไม่ค่อยน่ากลัวสักเท่าไหร่
“เอ่อ ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยชอบข้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างสับสน
โจวเหว่ยชิงเองก็คิดเช่นเดียวกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาอุ้มลูกเสือขาวตัวน้อยขึ้นมา มันไม่ได้ต่อต้านอะไรเขาเลยด้วยซ้ำ พวกเขาทั้งคู่มองหน้ากัน จากนั้นโจวเหว่ยชิงก็พึมพำบางอย่างออกมา “บางทีเจ้าตัวน้อยนี้อาจถูกดึงดูดด้วยเสียงคำรามของข้าตอนที่เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างเมื่อคืนนี้”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “เป็นไปได้ ทำไมเจ้าไม่ลองกอดมันดูล่ะ”
โจวเหว่ยชิงทำตามคำแนะนำของเธอ เขาตระกองกอดเสือตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนทันที แน่นอนว่าเสือน้อยหยุดดิ้นรนตามที่พวกเขาคาดไว้และเบียดตนเองเข้าหาหน้าอกของเด็กหนุ่มมากยิ่งขึ้น มันถูไถใบหน้านุ่มๆ ไปมากับลำตัวของโจว เหว่ยชิง เสือขาวตัวน้อยเหยียดตัวอยู่ในท่วงท่าที่สบายตัว จากนั้นก็หลับตาลงอย่างว่าง่าย
โจวเหว่ยชิงลูบหลังเจ้าเสือน้อยเบาๆ เขาขยำก้อนขนนุ่มๆ ของมันเล่นอย่างพึงพอใจ แน่นอนว่าเขาชอบเจ้าตัวน้อยนี้เช่นกัน ในความคิดของโจวเหว่ยชิง มีสัตว์ 2 ชนิดที่เขาคิดว่างดงามที่สุด ชนิดหนึ่งคือม้า ส่วนอีกชนิดคือเสือ ความงามของม้าอยู่ที่โครงสร้างร่างกายที่ดูสง่างาม แข็งแกร่งและดูกระฉับกระเฉง ในขณะที่ความงามของเสืออยู่ที่ความหยิ่งผยอง ลวดลายที่งดงาม และท่วงท่าที่แผ่อำนาจออกมาของพวกมัน
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยได้สัมผัสกับเสือตัวเป็นๆ มาก่อน แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงนั้นพิเศษมาก โดยปกติไม่ว่าลายเสือจะงดงามหรือมีสีสันแค่ไหน ขนของมันก็ไม่ควรที่จะอ่อนนุ่มมากขนาดนี้ แค่ลูบไล้สัมผัสเจ้าตัวจ้อยนี้เบาๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตนกำลังลูบผ้าไหมนุ่มลื่นผืนหนึ่งอยู่ และนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเบาสบายมาก ยิ่งไปกว่านั้น กล้ามเนื้อของมันยังให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นราวกับว่ามันไม่มีกระดูก ถึงแม้ว่าเจ้าเสือขาวตัวน้อยนี้จะค่อนข้างตัวเล็กไปสักหน่อย แต่ไม่ว่าเขาจะสัมผัสส่วนไหน มันก็ให้ความรู้สึกนุ่มหยุ่นมือเสมอ
โจวเหว่ยชิงพลิกเสือตัวน้อยในอ้อมกอดของเขาขึ้นมาแล้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ฮ่าๆๆๆๆ มันเป็นลูกเสือตัวเมีย! ปิงเอ๋อร์ ดูนี่สิ ตุ่มเล็กๆ ที่ยื่นออกมาพวกนี้ เจ้าคิดว่ามันเอาไว้ให้นมลูกหรือเปล่า?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีอีกครั้ง เธอเคาะศีรษะโจวเหว่ยชิงอย่างแรงและพูดว่า “ในหัวของเจ้ามีแต่อะไรพวกนี้หรือไง! ตอนนี้เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้กลั่นแกล้งมันอีก!”
เสือขาวตัวจ้อยก็รู้สึกโกรธเช่นกัน มันร้องออกมาและพยายามดิ้นรนพลิกตัวกลับ เมื่อไม่ได้ดั่งใจ มันก็กัดเข้าที่มือของโจวเหว่ยชิง อย่างไรก็ตาม แรงกัดของมันก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก ผิวหนังของโจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้ระคายเลยแม้แต่น้อย
โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่าบ้าคลั่งก่อนจะพูดว่า “ดูสิ! มันรู้จักอายเสียด้วย ช่างเป็นเจ้าตัวน้อยที่น่าสนใจจริงๆ”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างหงุดหงิด “ตอนนี้เจ้าควรใช้เวลาคิดหาทางมุ่งหน้ากลับไปที่ค่ายให้เร็วที่สุด เจ้าจะกลับไปค่ายทหารในสภาพแบบนี้หรือ?”
“อ๊ะ…” โจวเหว่ยชิงเกาหัวของเขาเป็นอย่างเขินๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นเมื่อคิดแผนการณ์บางอย่างออก
ในที่สุด พวกเขาสองคนก็กลับเข้ามาในค่ายได้อย่างลับๆ ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองพันอย่างอ้วนน้อยโจวนั้นแต่งกายอยู่ในชุดทหารสามัญ ส่วนทหารยามผู้น่าสงสารของค่ายทหารอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นก็ถูกเขาปล้นเอาเสื้อผ้าไปจนหมดและต้องนอนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนอยู่ในป่า…
เมื่อพวกเขากลับมาถึงกระโจม ทั้งสองคนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาที่ซับซ้อนและพูดว่า “อ้วนน้อย ขอบคุณนะ”
โจวเหว่ยชิงหยุดชะงักชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ พูดอย่างตรงไปตรงมา โดยธรรมชาติแล้วเจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดีและข้าก็ไม่คิดว่านิสัยของเจ้าเหมาะสำหรับการเข้าร่วมกองทัพ เจ้าก็รู้ว่าทหารจะต้องเย็นชาและไร้ความปรานี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับนิสัยโดยพื้นฐานของเจ้า ข้าคิดว่าการที่เจ้าลาออกจากการเป็นผู้บัญชาการกองพันนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว และบางทีเจ้าก็ควรจะลาออกจากกองทัพด้วย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดูสับสนเล็กน้อย เธอจึงถามเขากลับ “แล้วเจ้าล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงรีบยื่นหน้าอกขึ้นอย่างผึ่งผายทันทีและพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนว่าข้าย่อมติดตามเจ้าไป!”
“ใครอยากให้เจ้าติดตามข้าไม่ทราบ?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พึมพำเบาๆ แต่ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนของเธอก็เผยให้เห็นถึงความพึงพอใจเล็กๆ ความงามที่เปล่งประกายออกมาในขณะนั้นทำให้โจวเหว่ยชิงได้แต่จ้องมองอย่างไม่อาจละสายตา
“ข้ารู้สึกว่าพลังปราณสวรรค์ของข้าเหลือน้อยเต็มที ข้าจะกลับไปที่กระโจมเพื่อฟื้นฟูพลัง ส่วนเรื่องในอนาคต…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ข้าจะรอคำสั่งจากกองบัญชาการใหญ่ก่อนจึงจะตัดสินใจ” เมื่อพูดจบ เธอหายตัวไปในทันที แน่นอนว่าเธอกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังกระโจมของตนเอง
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและเดินกลับไปที่กระโจมของเขาอย่างพึงพอใจ แขนทั้ง 2 ยังโอบกอดเสือขาวตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน เขากำลังคิดกับตัวเองในใจ ดูเหมือนว่าภรรยาของข้าจะไม่รอดพ้นมือข้าไปแล้ว ฮี่ๆ!
เมื่อเข้าไปในกระโจม เขาก็เตรียมอ่างน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของตนเอง โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะก้มมองดูเงาสะท้อนของคนเองในน้ำแล้วพูดออกมาอย่างพึงพอใจ “โจวเหว่ยชิง เจ้านี่นับวันก็ยิ่งหล่อเหลา! วะฮ่าฮ่า!!!”
เขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเสือขาวตัวน้อยที่เขาโยนทิ้งไว้ด้านข้างกำลังยกอุ้งเท้าหน้าทั้ง 2 ของมันขึ้นมาปิดตาในลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์ด้วยท่าทีที่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งมันยังกรอกตาใส่เด็กหนุ่มด้วยความระอาอีกด้วย
…
ณ สถานที่ที่ฝูงหมาป่าโลกันตร์และราชาหมาป่าโลกันตร์ถูกสังหาร
เงาร่างสีขาวทั้ง 2 ร่างก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากอากาศ พวกเขาทั้งคู่เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดสีขาว เส้นผมสีเงิน ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย พร้อมกับรัศมีสูงส่งที่ไหลวนอยู่รอบๆ ตัว
ชายที่เสื้อคลุมสีขาวทางซ้ายขมวดคิ้วถามด้วยความงุนงงว่า “กลิ่นอายขององค์หญิงหยุดอยู่ที่นี่ นั่นเป็นไปได้อย่างไร?”
คนที่อยู่ทางขวามองไปยังศพที่เกลื่อนกลาดบริเวณนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “เป็นได้ไหม ที่…อสูรสวรรค์เหล่านี้จะฆ่าองค์หญิงไปแล้ว? หากไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยทักษะ “เทพหิมะหยั่งรู้” ของพวกเรา พวกเราต้องสัมผัสถึงกลิ่นอายขององค์หญิงได้อยู่แล้ว
ชายเสื้อคลุมสีขาวด้านซ้ายกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าคาดเดาไปมั่วซั่ว แม้ว่าองค์หญิงจะอ่อนแอในระหว่างการ กลายร่าง แต่อสูรสวรรค์ที่มีระดับพลังต่ำเช่นนี้จะทำร้ายองค์หญิงได้อย่างไร? ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกมันไม่มีทางสังหารเธอได้แน่นอน หากองค์หญิงปลดปล่อยกลิ่นอายของเธอออกมาล่ะก็ อสูรสวรรค์เหล่านี้อาจจะหวาดกลัวจนหัวหดไปเลยก็เป็นได้ เหล่าเอ้อร์ ตรวจดูซิว่าหมาป่าพวกนี้ตายได้อย่างไร”
“อืม” หลังจากตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยด้วย คนที่อยู่ด้านขวาก็กลับมา สายตาของเขาเผยความประหลาดใจออกมาขณะที่เขาพูดว่า “ช่างเป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและชั่วร้ายเหลือเกิน หมาป่าเหล่านี้ตายไปเมื่อประมาณ 8 ชั่วโมงที่แล้ว แต่กลิ่นอายปีศาจก็ยังไม่หมดไป สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือในร่างกายของพวกมันไม่เหลือพลังปราณสวรรค์ธาตุลมอยู่เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกมันถูกสูบออกไปจนหมด ต้องมีอสูรสวรรค์ที่ทรงพลังบางตัวมาที่นี่เป็นแน่ บางทีอาจจะเป็นอสูรสวรรค์ธาตุปีศาจ…ข้าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เธอต้องอยู่กับอสูรสวรรค์ธาตุปีศาจตนนั้นแน่ๆ อีกทั้งกลิ่นอายของมันก็แผ่มากลบเกลื่อนกลิ่นอายขององค์หญิงเอาไว้ นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงสัมผัสกลิ่นอายจากตัวเธอไม่ได้ พี่ใหญ่ เราจะทำยังไงกันดี?”
……………………………………