Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 24.4 เสือขาวตัวน้อย (4)
หลังจากที่ข้าทะลวงผ่านจุดตายที่ 5 สำเร็จข้าก็ได้ค้นพบสิ่งที่น่าอัศจรรย์นี้เข้า ด้วยความคิดนี้ ข้าจึงคาดเดาว่าในวิชาเทพอมตะทุกๆ ส่วนจะนำมาซึ่งผลพลอยได้เพิ่มเติมเช่นนี้ หากข้าสำเร็จส่วนที่ 2 ข้าจะบันทึกลงไปด้วย หากว่าข้าทำไม่สำเร็จ ผู้สืบทอดของข้า เจ้าจงทดสอบด้วยตัวเอง
ความลึกล้ำของวิชาเทพอมตะคือการพัฒนาขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องมุ่งเน้นไปที่การฝึกปราณเพราะว่าหลุมดำพลังปราณจะดึงพลังงานจากชั้นบรรยากาศรอบตัวมาให้เจ้าอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่ทว่าเมื่อเจ้าเริ่มเรียนรู้วิชาเทพอมตะไปแล้ว ตัวเลือกเดียวของเจ้าก็คือต้องเดินหน้าฝึกต่อไป หรือก็คือต้องทำลายจุดตายต่อไปให้สำเร็จเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีความจำเป็นจะต้องคอยควบคุมเกราะเทพอมตะ เนื่องจากมันจะปกป้องผู้ใช้เองโดยธรรมชาติ
…
หลังจากอ่านตัวหนังสือที่เขียนกำกับไว้ในกระดาษหนังแพะ โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกสับสนมึนงง เขาเหม่อมองอากาศอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็สบถออกมา “ปัดโธ่เอ้ย!! นี่ข้าตกกระไดพลอยโจนไปแล้วหรือนี่! ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์นอกคอกผู้นี้จะตายขณะพยายามทะลวงจุดตายที่ 11 เขาก็สมควรตายแล้วจริงๆ นั่นแหละ ตาแก่นี่กำลังพยายามทำให้คนอื่นเดือดร้อนจริงๆ! ทำไมเขาไม่เขียนไว้ในบทสรุปเลยว่าเมื่อเริ่มฝึกวิชานี้แล้วคนผู้นั้นจะไม่สามารถหยุดได้ เกราะเทพอมตะบ้าบออะไร…นี่มันขยะชัดๆ! ตาแก่นั่นยังไม่ทันได้ฝึกวิชานี้สำเร็จเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังกล้าทิ้งคัมภีร์นี้ไว้ล่อคนอื่นให้ติดกับอีก…ไอ้คนสารเลวเอ้ย!”
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วโจวเหว่ยชิงได้เข้าใจผู้สร้างวิชาเทพอมตะผิดไปเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าผู้ฝึกจะไม่สามารถหยุดฝึกได้หลังจากเริ่มฝึกวิชานี้ไปแล้ว แต่เขาก็ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่ามีเพียงคนที่มีความมุ่งมั่นและพร้อมที่จะตายเท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้วิชานี้ได้
ขณะนี้โจวเหว่ยชิงกำลังหวาดกลัวอย่างมาก เขารู้อยู่แก่ใจว่าเหตุผลแท้จริงที่ทำให้ตนทะลวง 5 จุดตายแรกสำเร็จนั้นไม่ใช่เพราะความสามารถหรือพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ แต่เป็นเพราะไข่มุกรัตติกาลที่กลืนลงไปก่อนหน้านี้ได้ปกป้องตัวเขาไว้ต่างหาก อย่างไรก็ตาม มีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าไข่มุกสีดำนี้จะปกป้องเขาไปได้นานอีกเท่าไหร่ นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังหวาดกลัวความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทุกครั้งขณะที่ทะลวงผ่านจุดตายแต่ละจุดอีกด้วย
หลังจากระบายความโกรธของเขาด้วยการสบถด่าเจ้าของคัมภีร์ โจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจทดสอบความแข็งแกร่งของเกราะเทพอมตะ เขาหยิบลูกธนูขึ้นมาแล้วแทงลงไปที่แขนของตนอย่างระมัดระวัง เด็กหนุ่มไม่ได้ใช้กำลังมากในคราวเดียว แต่ค่อยๆ เพิ่มแรงกดให้มากขึ้นทีละเล็กละน้อย จากนั้นบางอย่างที่อัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า ในครั้งแรกเขาไม่ได้รู้สึกชัดเจนมากนัก แต่เมื่อออกแรงมากขึ้น ไม่ช้าโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าหลุมดำพลังปราณ ณ จุดตายทั้ง 5 ของเขากำลังเพิ่มความเร็วในการหมุนวนมากยิ่งขึ้น และนั่นก็ทำให้ชั้นอากาศไหลเวียนมาป้องกันอยู่เหนือผิวหนังของเขา ลูกศรที่จ่ออยู่ที่แขนก็ดูเหมือนจะไถลเลื่อนออกไปด้านข้างเนื่องจากกระแทกโดนชั้นอากาศเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มยังไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย
“เอ๊ะ ใช้ได้เลยนี่นา แม้ว่าข้าจะยังสงสัยว่าขีดจำกัดการป้องกันของเกราะนี้มีมากแค่ไหนก็เถอะ” คืนนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจฝึกปราณและใช้เวลาตลอดทั้งคืนไปกับการทดลองเกี่ยวกับข้อจำกัดต่างๆ ของเกราะเทพอมตะแทน หลังจากทดสอบทั้งคืน โจวเหว่ยชิงก็พบว่าความสามารถในการป้องกันของมันนั้นแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว และมันก็ยังเชื่อมโยงกับพลังปราณสวรรค์ของตนอีกด้วย โดยพื้นฐานแล้ว ยิ่งเขาถูกโจมตีแรงขึ้นเท่าไร พลังปราณสวรรค์ก็ยิ่งถูกใช้ไปมากเท่านั้น โจวเหว่ยชิงยังค้นพบขีดจำกัดของระดับการโจมตีที่เกราะนี้สามารถป้องกันได้ นั่นก็คือเมื่อพลังการโจมตีของศัตรูรุนแรงเกินกว่าที่เกราะนี้จะต้านได้ มันจะดูดกลืนพลังของเจ้าของร่างเพื่อใช้ดูดซับความเสียหายส่วนใหญ่ไว้ แต่ทว่าก็ต้องใช้พลังปราณของคนผู้นั้นไปถึง 3 ส่วนเต็มๆ นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังพบว่าเกราะเทพอมตะจะหายไปเมื่อพลังปราณสวรรค์ของเขาเหลือน้อยกว่าครึ่ง
หลังจากการทดสอบตลอดทั้งคืน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็นั่งลงและพูดพึมพำสรุปกับตัวเองว่า “บ้าเอ้ย! ทำไมทุกอย่างถึงต้องใช้ปราณสวรรค์ไปหมด…” ถึงกระนั้นเขาก็พอใจมากกับผลการทดสอบของเขา ที่สำคัญโจวเหว่ยชิงยังค้นพบว่าเมื่อเขาฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว การดูดกลืนปราณสวรรค์ผ่านหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 ของเขายังเพิ่มความเร็วขึ้นเป็น 2 เท่าอีกด้วย แน่นอนว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เด้กหนุ่มเพิ่มขีดจำกัดในการต่อสู้ที่กินเวลานานๆ ได้
“อ้วนน้อย อ้วนน้อย!” ในเวลาเกือบรุ่งสาง เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ และเมื่อประตูกระโจมถูกเปิดขึ้น เธอก็ก้าวเข้ามาข้างในกระโจมของโจวเหว่ยชิงอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าในเวลาถัดมา เธอก็ต้องพุ่งพรวดออกไปพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ
“อ้วนน้อยโจว! เจ้าคนไร้ยางอาย! ใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!!” เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยโกรธ แต่ทว่าก็เจือปนไปด้วยความขบขัน
โจวเหว่ยชิงรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาคิดกับตนเอง ปกติข้าก็ไม่ใส่เสื้อผ้านอนอยู่แล้ว ข้าจะเป็นพวกโรคจิตไร้ยางอายได้อย่างไร?
โจวเหว่ยชิงสวมเสื้อผ้าของเขาอย่างรวดเร็ว เขายืดเส้นยืดสายและพูดว่า “ข้าแต่งตัวเสร็จแล้ว ท่านเข้ามาได้!” ในขณะที่พูด เด็กหนุ่มก็มองลงไปข้างล่างและเห็นเสือขาวตัวน้อยกำลังนอนหลับสนิทอยู่ เพื่อนตัวน้อยกำลังโอบหัวเล็กๆ ของมันไว้ด้วยอุ้งเท้าหน้า ช่างดูน่ารักน่าชังอย่างเหลือเชื่อ
โจวเหว่ยชิงอมยิ้ม จากนั้นก็ตบก้นมันเบาๆ
“แง้วววววววว!” ฉับพลันนั้นเสือขาวตัวน้อยก็พลิกตัวสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ทันทีที่มันเห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายของโจวเหว่ยชิง มันก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและร้องออกมาอย่างโกรธเคือง “กรร…!”
“แมวอ้วน ก้นน้อยๆ ของเจ้าให้ความรู้สึกดีมาก! แต่ห้ามนอนขี้เกียจต่อแล้ว มานี่เร็ว” เขาคว้าตัวมันขึ้นมาและกอดไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง ทันทีที่เสือขาวตัวเล็กเข้ามาในอ้อมกอดของโจวเหว่ยชิงมันก็เงียบสงบลงทันที ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้ามาในกระโจมอีกครั้ง ใบหน้าของเธอก็ยังคงแดงก่ำอยู่ แต่ทว่าเธอก็ดูมีเสน่ห์อย่างมาก
“เจ้าอ้วนน้อยโง่เง่า เจ้ารังแกเสือน้อยที่น่าสงสารอีกหรือเปล่า?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว และก่อนที่ โจวเหว่ยชิงจะตอบกลับ เสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาพยักหน้าให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ดวงตากลมโตของมันดูเหมือนจะคลอไปด้วยหยาดน้ำตา นั่นทำให้หัวใจของเธอหลอมละลายทันที
“มาเถอะ มาให้พี่สาวกอดหน่อย” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขยับเข้าไปใกล้และพยายามจะโอบกอดมัน แต่ทว่าเสือขาวตัวน้อยก็ยังคงปฏิเสธเธอด้วยการกัดเสื้อของโจวเหว่ยชิงไว้แน่นและไม่ยอมผละออกจากอ้อมกอดของเขา
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค่อนข้างมึนงงเล็กน้อย “เจ้าตัวน้อย เขารังแกเจ้า แต่เจ้าก็ยังยืนยันที่จะให้เขากอดเจ้า”
“แง้วว แง้วววว” เสือขาวตัวน้อยจ้องมองที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้ง จากนั้นจึงมุดหัวกลับเข้าไปในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิง
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างพึงพอใจ “เฮ้ ปิงเอ๋อร์ เจ้าเห็นมั้ย! เสน่ห์ของนายน้อยคนนี้ใช้ได้ทั้งกับมนุษย์และสัตว์เลยทีเดียว!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงหึในลำคอ เธอชอบเสือขาวตัวน้อยที่น่ารักตัวนี้มาก แต่มันไม่ยอมให้เธอแตะเลย เธอจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเหตุผลที่เธอมาหาเขา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “อ้วนน้อย! ระดับพลังปราณของข้าเพิ่มขึ้นล่ะ!”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ว้าว วิเศษมาก! สมกับเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์เป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์! มีเพียงคนที่ฉลาดและอ่อนโยนเช่นข้าเท่านั้นที่จะเหมาะสมกับเจ้า!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นหยิกแก้มของเขาแล้วพูดว่า “เจ้านี่ช่างหน้าหนาจริงๆ!” หลังจากหยิกเขาเสร็จ เธอก็ตระหนักได้ว่าตนเองกำลังแสดงท่าทางใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากแค่ไหน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเขินอายและรีบปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าคนเจ้าเล่ห์จะขยับเข้ามาใกล้เธออีกครั้งพร้อมกับยื่นแก้มอีกข้างของเขาให้ “ปิงเอ๋อร์ แล้วข้างนี้ล่ะ? ข้าต้องการความเป็นธรรมให้กับมันบ้าง!”
“หยุดเล่นได้แล้ว! ตอนนี้ข้ากำลังจริงจัง หลังจากคืนที่ผ่านมา พลังปราณสวรรค์ของข้าเพิ่มขึ้นจากระดับที่ 8 เป็นระดับที่ 10” คำพูดถัดมาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำให้โจวเหว่ยชิงตกใจอย่างยิ่ง เขาจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ขึ้น2 ระดับพร้อมกันในทีเดียวเลยรึ? ปิงเอ๋อร์ เจ้าไม่ใช่อัจฉริยะแต่เป็นปีศาจแล้ว!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “มันเป็นเพราะเจ้าจริงๆ เมื่อคืน ตอนที่ข้าพยายามช่วยให้เจ้าปิดผนึกจุดตาย หยงฉวน ปราณสวรรค์ธาตุลมจำนวนมากไหลทะลักเข้ามาในร่างกายของข้าทำให้ข้าหมดสติไป เมื่อข้ากลับไปถึงกระโจมและเริ่มฝึกปราณ ข้าก็ค้นพบว่าพลังปรานสวรรค์ของข้าเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่ามันจะยังไม่ค่อยเสถียร แต่ข้ามั่นใจว่าระดับพลังปราณของข้าได้ทะลุไปถึงระดับที่ 10 แล้ว อ้วนน้อย นั่นคือทักษะกลืนกินของเจ้าใช่หรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “อย่าพูดถึงทักษะนั้นเลย…มันไม่ได้ใช้งานได้ง่ายๆ อย่างที่เจ้าคิด คืนนั้นข้ากลืนกินพลังปราณสวรรค์จากหมาป่าโลกันตร์พวกนั้นมากเกินไปจนเกือบทำให้ร่างข้าระเบิดออกจากภายใน ข้าคิดว่าข้าไม่สามารถกักเก็บปราณสวรรค์ที่ข้าดูดกลืนมาจำนวนมากๆ ได้ นอกจากนี้ เมื่อคืนข้าลองใช้ทักษะนี้ดูอีกครั้ง แต่ข้าค้นพบว่าหากอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ข้าจะไม่สามารถใช้ทักษะกลืนกินได้ นี่อาจหมายความว่าทักษะนี้สามารถใช้ได้เฉพาะช่วงเวลาที่ข้าเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง และในระหว่างนั้นข้าก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เช่นกัน ทักษะกลืนกินเช่นนี้…ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับข้าเท่าไหร่ ทั้งยังอาจทำให้ข้าตายได้อีกด้วย! หากข้ากลืนกินปราณสวรรค์มากเกินไป เมื่อสิ้นสุดสถานะปีศาจกลายร่าง ร่างกายของข้าจะต้องระเบิดออกมาจากภายในเพราะพลังปราณที่ปั่นป่วน! นอกจากนี้ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างอีกครั้งยังไง ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “อ้วนน้อย จริงๆ แล้วข้าคิดว่านั่นเป็นเรื่องดีต่างหาก”
“เรื่องดี? ทำไมล่ะ?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย ในเวลาเดียวกันเขาก็ขยับเข้าไปใกล้เธอมากยิ่งขึ้น
ในเวลานี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังกรุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องการฝึกปราณอย่างเต็มที่จึงไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำเล็กๆน้อยๆ ของเขา เธอกล่าวว่า “สวรรค์ย่อมยุติธรรมเสมอ ไข่มุกสีดำที่เจ้ากลืนเข้าไปนั้นมีพลังมหาศาล แต่มันก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะโชคชะตาและความบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่แล้วล่ะก็ เจ้าสมควรจะตายไปนานแล้วด้วยซ้ำ นี่ก็เหมือนกันกับวิชาเทพอมตะของเจ้า พลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้มักมาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล จากตำราที่ข้าอ่านไปก่อนหน้านี้ สถานะปีศาจกลายร่างที่พวกเขาเขียนไว้ดูเหมือนจะแตกต่างจากสถานะปีศาจกลายร่างของเจ้ามากทีเดียว”
“นี่เป็นเพราะสถานะปีศาจกลายร่างที่อธิบายไว้ในตำรา ผู้ที่ตกอยู่ในสถานะนั้นส่วนใหญ่ไม่มีใครสามารถคงสติไว้ได้เช่นเจ้า เมื่อคืนนี้ หากเป็นสถานการณ์ปกติ เจ้าควรจะฆ่าข้าทิ้งไปแล้ว อีกทั้งเจ้ายังไม่อาจรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาได้รวดเร็วดั่งที่เจ้าทำเมื่อคืนด้วย หากเป็นไปตามที่เขียนไว้ในตำรา หลังจากออกจากสถานะปีศาจกลายร่างแล้ว เจ้ายังจะต้องนอนหลับไปเป็นเวลาหลายวันก่อนจะตื่น และหลังจากออกจากสถานะปีศาจกลายร่าง สิ่งที่ตามมามักจะเป็นความอ่อนแอของคนผู้นั้น แต่ทว่าสิ่งนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นในกรณีของเจ้า เพราะระดับพลังปราณของเจ้าดันพุ่งขึ้นไปยังระดับที่ 5 แทน”
“เช่นนี้ ข้ารู้สึกว่าสถานะปีศาจกลายร่างของเจ้าแตกต่างจากที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์จริงๆ บางที เจ้าอาจจะเป็นผู้ค้นพบกุญแจดอกสำคัญที่ใช้ควบคุมพลังนี้ได้”
หลังจากฟังที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เล่า โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนกำลังถูกล่อลวง เขาย่อมรู้ดีว่าตนแข็งแกร่งเพียงใดในระหว่างเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ยังรวมไปถึงความประสาทสัมผัสของเขาที่เฉียบคมมากกว่าเดิม ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า
ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วในการใช้ทักษะธาตุต่างๆ ของเขายังเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และก็ยังสามารถใช้ทักษะกลืนกินได้อีกด้วย โจวเหว่ยชิงถึงขั้นนำพลังปราณสวรรค์ของศัตรูมาใช้เป็นของตนเองได้ชั่วคราว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวลาหากเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ในระหว่างเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง เมื่อรวมกับกลิ่นอายจากไข่มุกสีดำแล้ว เขาก็จะสามารถต่อสู้กับอสูรสวรรค์ระดับปรมะขั้นแรกได้แน่นอน! สำหรับจ้าวมณี แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เขาก็ยังรู้สึกมั่นใจว่าในขณะเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง ตนก็จะสามารถต่อสู้กับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 2 ชุดเช่นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่ควรคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำคือการเพิ่มระดับพลังปราณสวรรค์ อย่างน้อยตอนนี้ไข่มุกสีดำก็ช่วยให้เจ้าสามารถทะลวงจุดตายได้ และข้าคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้คือการเลื่อนระดับพลังปราณของเจ้าให้สูงขึ้นเร็วที่สุด ครั้งนี้ดีจริงๆ ที่โชคเข้าข้างพวกเรา ข้าจะใช้เวลาอีก 2-3 วันเข้าสมาธิฝึกปราณและทำให้พลังปราณสวรรค์ระดับที่ 10 เสถียรก่อน ส่วนเจ้าที่เพิ่งจะผ่านไปสู่ระดับที่ 5 เจ้าเองก็ควรเข้าสมาธิฝึกปราณเพื่อทำให้พลังปราณสวรรค์ให้เสถียรก่อน ตั้งใจฝึกเข้าล่ะ ข้าจะไปแล้ว”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เจ้ากำลังจะไปแล้วเหรอ? ปิงเอ๋อร์ ดูสิ เมื่อวานเราเพิ่งไปแก้แค้นให้เหล่าทหารมาด้วยกัน เจ้าไม่ควรให้รางวัลข้าสักหน่อยเหรอ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาและถามว่า “เจ้าต้องการรางวัลแบบไหน?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างและพูดว่า “กอด! หรือจูบ! หรือทั้งคู่ก็ได้! หรือหากข้าได้จับ…นั่นคงจะดีมากเลย!”
……………………………