Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 26.3 ข้าจะเสียภรรยาไปหรือ! (3)
“ปิงเอ๋อร์ หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คืออะไร? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหน่วยนี้มาก่อน?”
“เจ้าไม่รู้จักหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์หรือ?”
“ใช่ ข้าไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนฝึกทหารหรือโรงเรียนฝึกเจ้ามณี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหน่วยนี้มาก่อน”
“หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ถือว่าเป็นตำนานของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราเลยทีเดียว ความจริงแล้วในอดีต อาณาจักรของเรายังไม่ได้เป็นที่รู้จักในนามอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ แต่เป็นเพราะหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ และแสนยา นุภาพของหน่วยนี้ ทำให้อาณาจักรของเราเปลี่ยนชื่อไปเป็นเกาทัณฑ์สวรรค์”
“ว้าว! แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ? เป็นไปได้ไหมที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าบิดาของข้า?”
“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งนั้น แต่ข้าได้ยินมาว่าในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์มีสมาชิกเพียงไม่กี่คน พวกเขาทั้งหมด ล้วนเป็นนักธนูที่มีฝีมือระดับสูงส่ง และพวกเขาจะรับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิเพียงคนเดียวเท่านั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ บันทึกไว้ เมื่อใดก็ตามที่อาณาจักรของเราตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย เพียงแค่พวกเขาลงมือ พวกเขาก็สามารถกำจัด สมาชิกคนสำคัญในกองทัพข้าศึกได้แล้ว และนั่นก็มักจะพลิกสถานการณ์ในสนามรบได้ พวกเขาจึงช่วยพวกเราทุกคนเอา ไว้เสมอมา ข้าได้ยินมาว่า แม้ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดของสมาชิกแต่ละคนอาจไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่พวก เขาเชี่ยวชาญการลอบฆ่าเป็นอย่างยิ่ง ชื่อเสียงของพวกเขาถือว่าสูงส่งมาก แม้แต่บรรดาจ้าวมณีสวรรค์ ก็ยังต้องเกรงกลัว”
“ในเวลานั้นอาณาจักรคาลิเซกำลังอยู่ในจุดสูงสุดของอำนาจ พวกเขามีจ้าวมณีสวรรค์ 7 คน ในขณะที่อาณาจักร ของเรามีแม่ทัพโจวเพียงคนเดียว ขณะนั้นพวกเราจึงตกอยู่ในอันตราย เผชิญหน้ากับความสูญเสีย เนื่องจากกองทัพคาลิเซ เคลื่อนพลมาประชิดอยู่ที่ชายแดนของเรา อย่างไรก็ตาม ภายในคืนเดียว จ้าวมณีสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดจำนวน 1 ใน 4 ของอาณาจักรคาลิเซก็ต้องเสียชีวิตภายใต้ลูกศรของพวกเขา นั่นทำให้ผู้บัญชาการกองทัพคาลิเซ และจักรพรรดิของพวก เขาตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก พวกเขาสั่งให้กองทัพล่าถอยออกจากชายแดน และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม้เวลาจะผ่าน ไปแล้ว 16 ปี พวกเขาก็ยังไม่สามารถฟื้นกำลังขึ้นมาเต็มที่เทียบเท่าตอนนั้นได้อีกเลย อาจกล่าวได้ว่าผู้อาวุโสในหน่วยเกา ทัณฑ์สวรรค์เป็นผู้ที่ช่วยปกป้องอาณาจักรของเราเอาไว้ หากเราสามารถผ่านการทดสอบ และเข้าร่วมกับหน่วยเกาทัณฑ์ สวรรค์ได้ นั่นถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
“น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นเชียว? ข้าอยากไปพบพวกเข้าแล้ว!” โจวเหว่ยชิงพูดอย่างตื่นเต้น
…
10 วันให้หลัง
ณ เมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์
หลังเดินทางอย่างเร่งรีบมาตลอด 10 วัน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กลับมาถึงเมืองหลวง “ปิงเอ๋อร์ เราจะไปตามหาหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ได้ที่ไหน? ตอนที่ข้าจากมา ท่านพ่อของข้าไม่ได้แนะนำอะไรเลย” โจวเหว่ยชิงถาม ขณะที่เขามองไปรอบๆ ซ้ายทีขวาที
ทั้งคู่แต่งตัวในชุดเรียบง่าย สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้ว เนื่องจากเขามีรูปร่างหน้าตาที่ดูใสซื่อ นั่นจึงทำให้เขาสามารถ กลมกลืนไปกับฝูงชนได้อย่างดีเยี่ยม แต่ทว่าด้วยความงดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงไม่อาจปกปิดตัวตนเอาไว้ได้เลย ถึงแม้ว่าเธอจะสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย แต่เธอก็ยังคงเป็นจุดสนใจที่ทำให้คนอื่นต้องเหลียวหลังมอง โชคดีที่โจวเหว่ยชิง ลงมืออย่างรวดเร็ว เขาสวมหมวกลมใบใหญ่ให้เธอเพื่อปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ แม้นั่นอาจจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ เพียงเล็กน้อยก็ตาม
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “แม่ทัพโจวมอบจดหมายให้ข้าและบอกให้ข้าเปิดมันเมื่อมาถึงเมืองหลวง”
โจวเหว่ยชิงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “เอาล่ะ เปิดดูสิ เจ้าอยากจะกลับไปที่ตระกูลของข้าด้วยกันหลังจากนี้ หรือไม่? หรือข้าควรจะไปบ้านเจ้า?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยิบจดหมายออกมาจากอกของเธอและเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา เธอก็อดเขินอายไม่ได้ “อ้วน น้อย ไม่ พวกเรายังเด็กเกินไป…บางทีอาจจะต้องเป็นหลังจากที่เรากลับมาจากการฝึกในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”
เมื่อพวกเขาได้เดินทางมาด้วยกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เริ่มยอมรับในตัวโจวเหว่ยชิง แต่ สำหรับโจวเหว่ยชิง เขากลับรู้สึกว่าตนเองยังคงติดอยู่ในฝันร้าย ก่อนหน้านี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มักจะเยือกเย็นต่อเขาเสมอ เขาจึงไม่กล้าคิดอะไรเกินเลยกับเธอมากนัก แต่ทว่าในตอนนี้พวกเขามีความสัมพันธ์บางอย่างต่อกันแล้ว เช่นนั้นแล้วเขา จะไม่มีความคิดอยากจะสนิทสนมกับเธอได้อย่างไร? อนิจจา เนื่องจากเขาเด็กเกินไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงปฏิเสธที่จะใกล้ ชิดกับเขา สิ่งที่เธอยอมให้เขาทำได้ อย่างมากที่สุดก็แค่จับมือกันหรือโอบกอดเขาบ้างนานๆ ครั้ง นั่นทำให้โจวเหว่ยชิงได้ แต่คันในใจยุบยิบ แต่ทว่าเขาก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นแล้ว
โจวเหว่ยชิงใช้สายตาร้อนแรงของเขาให้กวาดมองไปทั่วร่างกายของเธอ เขาพึมพำกับตัวเอง “เด็ก? ข้าไม่คิดว่า ส่วนนั้นของเจ้ามันเล็กไปด้วยหรอกนะ! ข้าว่ามันออกจะดูดีและสมบูรณ์แบบ…อืม…ขนาดน่าจะสัก 33 หรือ 34C ตอนนี้ เจ้าเพิ่งอายุ 16 นั่นถือว่ายังสามารถพัฒนาไปได้อีกไกล…”
“อ้วนน้อยโจว !!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คว้าหูของเขาและบิดอย่างแรง “นี่เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?”
“เอ๋? เปล่าๆๆๆ! ข้ากำลัง…เอ่อ…พูดว่าตามกฎหมายของอาณาจักร พวกเราไม่เด็กแล้วต่างหาก อายุ 16 คืออายุ ที่ถึงวัยออกเรือนได้แล้ว เจ้าอยู่ในวัยที่เหมาะสมแล้ว ส่วนร่างกายของข้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกัน!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีอีกครั้งขณะที่เธอกล่าวว่า “การที่ร่างกายของเจ้าโตกว่าวัยนั้นไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีเท่าไหร่ อ้วนน้อย ข้ายังไม่พร้อมจริงๆ ข้าอาศัยอยู่กับท่านแม่มาตั้งแต่เด็ก พวกเราพึ่งพากันและกันมาก แต่ว่าท่านแม่ข้าค่อนข้าง เกรี้ยวกราดโมโหร้าย เจ้าจะรอข้าอย่างน้อยอีก 2 ปีได้หรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ ข้าจะฟังคำแนะนำจากภรรยาสุดที่รักของข้าก็แล้วกัน”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปทางเขา แต่เมื่อเห็นว่าเขารับฟังเธอ นั่นทำให้เธออารมณ์ดีมาก เธอจึงไม่ได้ต่อว่าเขาเรื่อง พูดจาสองแง่สองง่ามกับเธออีก ขณะที่เธอเปิดจดหมายในมือ เธอก็เห็นว่ามีข้อความเพียงหนึ่งบรรทัดเขียนอยู่ “ไปที่ชั้น แรกของโรงเตี๊ยมตี้ฮ่าว แล้วมองหาขี้เมาที่ชื่อว่าหลัวเขอตี้ บอกเขาว่า ‘ข้ากำลังมองหาคนแซ่หลิว หลิวที่ไม่เข้ากับคู่หู’ เขา จะนำเจ้าไปทำการทดสอบเพื่อเข้าสู่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งจดหมายให้โจวเหว่ยชิงดู จากนั้นพวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตากัน โรงเตี๊ยมตี้ฮ่าวเป็นสถานที่ ขึ้นชื่อที่ผู้คนในเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์รู้จักกันดี มันมีความสูง 6 ชั้น และเป็นหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียง ที่สุดในเมือง สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมนี้ก็คือมันให้ความสำคัญกับเงินทอง ยิ่งพักชั้นสูงขึ้นเท่าไหร่ ราคาก็จะสูงขึ้น เท่านั้นในฐานะที่เป็นประชาชนในเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาย่อมรู้จักที่นั่นดี
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้าจะกลับบ้านเพื่อไปพบแม่ของข้าก่อน พวกเรามาพบกันตอนเที่ยงที่ด้านนอกโรง เตี๊ยมตี้ฮ่าว ตกลงไหม?”
ใจของโจวเหว่ยชิงไม่อยากจะแยกจากเธอเลย เขาจึงจับมือเธอไว้แน่น
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะออกมาเสียงดัง เธอพูดว่า “ดูท่าทางโง่เง่าของเจ้าสิ” เธอกางแขนและโอบกอดเขา ทว่า เมื่อเธอกำลังจะผละออก เธอก็ถูกโจวเหว่ยกอดกลับ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำเกินไปกว่านี้ จึงได้แต่จูบเบาๆ บนหน้าผาก ของเธอ
เขายืนมองดูซ่างกวนปิงเอ๋อร์หายลับไปจากหัวมุมถนน โจวเหว่ยชิงควบคุมอารมณ์ของเขาให้สงบ จากนั้นก็มุ่ง หน้ากลับบ้านตนเองเช่นกัน
เรือนของแม่ทัพโจวเป็นคฤหาสน์ที่มีลานค่อนข้างเล็ก พื้นที่ทั้งหมดมีขนาดน้อยกว่า 1,000 ตารางเมตร ประกอบ ด้วยคนรับใช้ประมาณ 12 คน และไม่มียามเฝ้ารักษาการณ์แม้แต่คนเดียว หากคนทั่วไปไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ย่อมไม่มี ใครเชื่อแน่ว่า แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์จะมีบ้านเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม แม่ทัพโจวนั้นกลับบอกว่า ทหาร ควรจะตั้งใจต่อสู้ในสนามรบ ไม่ได้มีหน้าที่มาเฝ้ายาม
แม้จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงจะยกเรื่องการปรับปรุงหรือขยายคฤหาสน์มาพูดกับแม่ทัพโจวบ่อยแค่ไหน แต่เขาก็มักจะ ปฏิเสธองค์จักรพรรดิอยู่เสมอ ในอาณาจักรนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่โจวเป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุด ไม่ใช่เพียงเพราะเขาเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหรือเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ แต่เป็นเพราะเขาเป็น แบบอย่างที่ดีอย่างยิ่ง ด้วยการมีผู้นำเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงในอาณาจักรจะริอาจคิดยักยอกเงินได้อย่างไร
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!” ทันทีที่โจวเหว่ยชิงเข้ามาในเขตบ้านของตน เขาก็ตะโกนเต็มเสียง
“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! เจ้ายังรู้ว่าต้องกลับบ้านอยู่หรือ! เจ้าได้ยินว่าพ่อของเจ้ากลับไปที่แนวหน้าล่ะสิ ถึงได้วิ่ง แจ้นกลับมาบ้านเช่นนี้? มาเถอะ ให้แม่ดูหน่อย เจ้าได้กินข้าวกินปลาบ้างหรือไม่? เจ้าผอมลงหรือ?” ทันทีที่เสียงร้องของ โจวเหว่ยชิงดังออกมา เสียงหนึ่งก็ตอบกลับทันทีพร้อมกับน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น ความรัก และความโกรธผู้ หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากลานด้านใน นางคือภรรยาของแม่ทัพโจว หรือก็คือมารดาของโจวเหว่ยชิง นั่นเอง
มารดาของโจวเหว่ยชิง หลิงจื่อหาน ไม่ใช่คนสะสวยนัก หรืออาจจะพูดได้ว่าเธองดงามกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย เธอเป็นเพื่อนในวัยเด็กของแม่ทัพโจว และความรักของพวกเขาก็ลึกซึ้งต่อกันมาก แม้หลังจากแม่ทัพโจวมีชื่อเสียงขึ้นมา และพบว่าเส้นชีพจรของลูกชายจนอุดตัน เขาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยให้ภรรยาให้กำเนิดลูกคนที่ 2 ทุกๆ คนจึงเห็นได้ชัดเต็ม ตาว่าเขารักภรรยาของเขามากแค่ไหน และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงไม่ได้แต่งใครเข้ามาอีก
“ท่านแม่!!” เมื่อเห็นมารดาของเขา โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดเข้าใส่และกอดเธอไว้แน่น
เดิมทีหลิงจื่อหานโกรธโจวเหว่ยชิงมากเรื่องที่เขาหนีออกจากบ้าน แต่ด้วยอ้อมกอดแนบแน่นนั่น ความโกรธส่วน ใหญ่ของเธอจึงทุเลาลงไปมาก เธอยกมือขึ้นเคาะหัวโจวเหว่ยชิงและดุเขา “เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย! เจ้าคิดว่าปีกของเจ้า พร้อมที่จะสยายออกไปแล้วหรือ? ถึงกับกล้าหนีออกจากบ้านไปจริงๆ! หึ ข้าว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องแอบดูเจ้าหญิงอาบน้ำ ใช่หรือไม่? นั่นมันเรื่องใหญ่ขนาดนั้นหรือ? ตี้ฝูหยา ผู้หญิงคนนั้นเป็นคู่หมั้นของเจ้า แค่มองนางอาบน้ำเจ้าจะมีความผิด อะไรได้! นางได้เสียเลือดเสียเนื้อไปแม้แต่นิดหรือ ก็ไม่! ทำไมเจ้าต้องหนีไปด้วย!?” หากซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่เธอจะต้อง ตกใจกับความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของหลิงจื่อหานอย่างแน่นอน
โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ ไม่ใช่เพราะท่านพ่ออยู่บ้านหรอกเหรอ? หากเขาไม่อยู่บ้านข้าก็คงไม่หนีไป หรอก”
หลิงจื่อหานส่งเสียงหึ “แล้วถ้าเขาอยู่บ้านจะเป็นอะไร? ทำอย่างกับว่าเขาจะทุบตีเจ้าจนตายพ่อของตีเจ้าเพื่อตัว เจ้าเอง ทุกครั้งที่เขาฟาดเจ้า เจ้าก็ยังแข็งแรงดีอยู่ไม่ใช่หรือ? แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถฝึกพลังปราณสวรรค์ได้ แต่เมื่อเขา ฟาดเจ้า เขาก็จะใช้พลังปราณสวรรค์ฟื้นฟูร่างกายให้เจ้าเสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น หากตาแก่คนนั้นทุบตีเจ้าอย่างไม่มี เหตุผล ข้าก็คงจะจัดการเขาไปแล้ว!”
โจวเหว่ยชิงจ้องมองมารดาของเขาอย่างตกตะลึง แน่นอนว่าตอนนี้เขารู้ว่าบิดาของเขาอดทนกับเขามามากเพียง ใด การทุบตีของบิดาไม่เพียงแต่จะสั่งสอนเขาให้รู้ผิดชอบชั่วดี แต่ก็ยังช่วยฝึกความอดทนของร่างกายเขาด้วย อย่างไรก็ ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าบิดาของเขารักเขามากแค่ไหน เขาก็มักจะคิดว่ามารดาของเขารักเขามากกว่าเสมอ แต่เมื่อเขาได้ ฟังคำพูดของมารดา ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าความรักของบิดาที่มีต่อเขาก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้เป็นมารดาเลย ถึงแม้เขาจะ ไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนก็เถอะ
ทันใดนั้น เสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นก็ดังขึ้นมาจากนอกคฤหาสน์ เสียงนั่นทำให้เขายืนหยุดชะงักด้วยความ ตกใจ และรู้สึกสับสนจนพูดไม่ออก
“โจวเหว่ยชิง! ออกมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เสียงนั้นมีพลังมากและทำให้โจวเหว่ยชิงสะดุ้ง แม้แต่หลิงจื่อหานที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ยังตกใจไปกับเขาด้วย เธอคิดในใจว่า เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เขาจะทันไปหาเรื่องใครได้เร็วขนาดนี้? “เกิดอะไรขึ้น? นั่นใครน่ะ เด็กเหลือขอตัวน้อย?” หลิงจื่อหานถามอย่างสงสัย
ความจำของโจวเหว่ยชิงนั้นดีมาก แต่เขาไม่พบร่องรอยของเสียงดังกล่าวในความทรงจำของตนเลย เขาพูดด้วย ใบหน้างงๆ ว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน! เช่นนั้นข้าจะลองออกไปดู” เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไปที่ประตู
คฤหาสน์ตระกูลโจวไม่ได้มีทหารยามและมีเพียงแค่คนรับใช้เท่านั้น แต่ทว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา นี่เป็นครั้ง แรกที่มีคนกล้าตะโกนอยู่นอกคฤหาสน์ของแม่ทัพใหญ่ และยังกล้าแม้กระทั่งใช้น้ำเสียงข่มขู่เช่นนี้ คนใช้ทั้งหมดในบริเวณ นั้นจึงค่อนข้างงงวย และสงสัยว่าใครกันที่กล้ามาหาเรื่องถึงที่นี่
คฤหาสน์ตระกูลโจวมักจะเปิดประตูทิ้งไว้เสมอ และก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้ออกจากตัวบ้าน เจ้าของเสียงก็ เดินเข้ามาก่อนแล้ว
มีคนสองคนยืนอยู่ตรงนั้น และเมื่อโจวเหว่ยชิงมองเห็นพวกเขาเต็มตา หัวใจของเขาก็ต้องบีบแน่น
มีผู้หญิงสองคนกำลังก้าวเข้ามา คนที่เดินตามมาด้านหลังเป็นคนที่เพิ่งแยกทางกับเขาเมื่อไม่ถึง 1 ชั่วโมงที่ผ่าน มาเธอ คือซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่นเอง ทว่าในขณะนี้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล มือของเธอยังถูกจับโดยผู้หญิงคน ข้าง หน้าราวกับว่าเธอถูกลากมาที่นี่
ผู้หญิงคนที่จับแขนซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ดูเหมือนจะมีอายุราวๆ 30 ปี และหากเปรียบความงดงามของซ่างกวน ปิงเอ๋อร์เป็นดั่งผลไม้ที่ใกล้จะสุก ผู้หญิงคนนี้ก็คงอยู่ในช่วงเวลาที่สุกงอมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย มองจากรูปลักษณ์ที่โดด เด่นอย่างไม่มีใครเทียบได้นี้ เขาพบว่าเธอมีความงามที่สามารถเขย่าจิตวิญญาณคนมองได้เลยทีเดียว แม้ว่าใบหน้าของ เธอจะเยือกเย็นเพราะความโกรธ แต่โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะแอบมอง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างหน้าตา คล้ายกันมาก และโจวเหว่ยชิงก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นใคร
“คนไหนคือโจวเหว่ยชิง?” หญิงวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น การหายใจของเธอนั้นติดขัดราวกับว่า ความโกรธที่อยู่รอบตัวของเธอกำลังเผาไหม้อยู่ในอากาศ
“ท่านน้า ท่านสบายดีหรือ ข้าคือโจวเหว่ยชิง” โจวเหว่ยชิงไม่กล้าลังเลอีกต่อไป เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และมองเธอด้วยสีหน้าประดับรอยยิ้มซื่อๆ ของเขา
“ใครเป็นน้าเจ้าไม่ทราบ? เจ้าคือโจวเหว่ยชิง? ดี ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่พอดี เจ้าจะปลิดชีวิตตัวเอง หรือจะให้ข้า ช่วยจัดการ?” เมื่อหญิงวัยกลางคนมองมาที่โจวเหว่ยชิง เขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก ราวกับร่างของเขาถูกดาบคมๆ 2 เล่มแทงเข้าพร้อมกัน
“ท่านต้องโหดเหี้ยมกับข้าขนาดนี้เลยหรือ…?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างตะลึง
……………………………………………….