Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 34.2 แหวนปกปิดตัวตน (2)
ดวงตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เผยความสับสนออกมา แต่ในที่สุดเธอก็ยืนยันสิ่งที่ตนคิดอีกครั้ง “อ้วนน้อย ท่านแม่เป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของข้า เจ้าจะให้อภัยข้าได้ไหม?”
โจวเหว่ยชิงโอบเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน ครั้งนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ขัดขืนและเอนตัวเข้าหาอ้อมกอดของเขาอย่างว่าง่าย “อ้วนน้อย ข้าก็ไม่อยากจากเจ้าไปเช่นกัน นับตั้งแต่ที่พวกเราพบกัน แม้ว่าเจ้าจะทำให้ข้าโกรธอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่กี่ปีที่อยู่กับเจ้าข้าก็คุ้นเคยกับการมีเจ้าอยู่ข้างกายเสียแล้ว แม้ว่าเจ้าจะกลัวตายบ้างเล็กน้อย ไร้ยางอายนิดหน่อย อีกทั้งยังเจ้าเล่ห์ แต่ข้าก็รู้ว่าภายในใจของเจ้า เจ้าเป็นคนที่มีจิตใจดี หากความรู้สึกของพวกเราเป็นของจริง การต้องแยกจากกันก็ไม่สำคัญมากเท่าไหร่หรอก เมื่อเราไปถึงที่โรงเรียนแล้ว พวกเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกหรือ?”
โจวเหว่ยชิงวางศีรษะไว้บนกลุ่มผมของเธอพลางพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ข้าจะขัดขวางความกตัญญูของเจ้าได้อย่างไร? หากข้าไม่ได้ให้สัญญาไว้กับอาจารย์ฮูเหยียน…ข้าก็ควรใช้เวลาอยู่กับท่านแม่ของข้าให้มากขึ้นเช่นกัน ช่วงที่ข้าไม่อยู่ หากเจ้าว่างก็ช่วยไปเยี่ยมเยียนท่านแม่ของข้าด้วยได้ไหม? เอ่อ ไม่ใช่สิ ท่านแม่ของเรา ท่านพ่อมักจะอยู่ในแนวหน้าและนางก็เหงามากด้วย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าและพูดว่า “อืม เจ้าไปเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็จะยิ่งตัดใจแยกจากกันลำบากกว่านี้”
โจวเหว่ยชิงจับไหล่ของเธอและก้มศีรษะลงต่ำ เมื่อมองเห็นดวงตาที่งดงามเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ เขาก็จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากของเธอและพูดว่า “เมื่อเราไปถึงโรงเรียนทหารเฟยหลี่ จะไม่มีใครควบคุมพวกเราได้อีกต่อไป ถึงตอนนั้นพวกเราจะทำ ‘นั่น’ ได้หรือยัง?”
“จิตใจของเจ้านี่คิดสกปรกอยู่ตลอดเวลาเลยหรืออย่างไร!” น้ำตาของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ เธอชกไหล่ของเขาเบาๆ
โจวเหว่ยชิงหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “นั่นเกี่ยวข้องกับความสุขของข้านี่นา ข้าจะไม่ต่อสู้เพื่อมันได้อย่างไร เอาล่ะ ข้าจะไปก่อนก็แล้วกัน” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังและวิ่งหายไปในมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองเห็นร่างนั้นลับตาไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ที่นั่นต่ออีกครู่หนึ่ง น้ำตาพลันไหลเอ่อขึ้นมาในดวงตา หลังจากนั้นไม่นานเธอกลับมาเป็นปกติและมุ่งหน้ากลับบ้านเช่นกัน
โจวเหว่ยชิงวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะเขารีบร้อน แต่เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะจากไปเช่นกัน โจวเหว่ยชิงไม่อยากทนมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้ เขากลัวว่าตัวเองจะละทิ้งทุกอย่างและผิดสัญญากับฮูเหยียนเอ้าป๋อเพื่อไปอยู่กับเธอ
เมื่อกลับบ้านและใช้เวลาร่วมกับมารดาของเขาได้ 2 วัน ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่พระราชวัง อันดับแรกคือการไปเยี่ยมพ่อทูนหัวของเขาเพื่อกล่าวอำลาและเพื่อถอนหมั้นกับองค์หญิงตี้ฝูหยา
“อะไรนะ? เจ้าต้องการจะยกเลิกการหมั้นหมาย? ไม่มีทาง!” ณ ห้องทรงงาน พระราชวังเกาทัณฑ์สวรรค์ ตี้เฟิงหลิงที่สวมเสื้อคลุมกษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกร เขาปฏิเสธคำขอของโจวเหว่ยชิงโดยไม่ลังเล
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านก็รู้ว่าตี้ฝูหยาไม่ชอบข้า นางดูถูกข้ายิ่งกว่าอะไรดี อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ของข้า ข้ายิ่งไม่คู่ควรกับนาง!”
จักรพรรดิตี้เฟิงหลิงส่งเสียงฮึ่ม เขากะขนาดร่างกายของโจวเหว่ยชิงด้วยสายตาก่อนที่จะพูดว่า “รูปลักษณ์ของเจ้ามีปัญหาตรงไหน? เจ้าออกจะตัวสูงใหญ่และดูแข็งแรงดี ตรงไหนที่เป็นปัญหา? อย่างไรก็ตาม ชอบหรือไม่ชอบ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่นางจะเลือกได้ นอกจากนี้ เจ้าก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เจ้าปลุกมณีสวรรค์ขึ้นมาและกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ในอาณาจักรแห่งนี้ข้าจะไปหาคู่หมายคนอื่นที่ดีกว่าเจ้าได้ที่ไหนอีก!? การยกเลิกการหมั้นหมายนั้นเป็นไปไม่ ได้! เจ้าก็รู้ว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ หึ ข้า บิดาของเจ้า เจ้าอับอายที่มีข้าเป็นพ่อตาหรือ?”
“ ข้า…” โจวเหว่ยชิงอ้าปากค้างพลางจ้องไปที่ตี้เฟิงหลิง แม้ว่าตี้เฟิงหลิงจะไม่ใช่จ้าวมณี แต่โจวเหว่ยชิงก็ยังคงเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ เวลาอยู่ต่อหน้าเขาอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ตี้เฟิงหลิงได้เห็นเขาเติบโตขึ้นตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเหมือนบิดาของโจวเหว่ยชิงมากกว่าบิดาแท้ๆ ของเขาเสียอีก แม้ว่าจะรู้ว่าเขาเส้นชีพจรของอุดตันและไม่อาจฝึกปราณสวรรค์ได้ ตี้เฟิงหลิงก็ยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิม อาจกล่าวได้ว่านอกจากบิดาแท้ๆของเขาแล้ว คนที่โจวเหว่ยชิงเกรงกลัวและเคารพมากที่สุดก็คือพ่อทูนหัวคนนี้ คนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายและอำนาจของราชา “พ่อทูนหัว…ข้ามีคนที่ข้ารักแล้ว” โจวเหว่ยชิงกล่าวออกมาอย่างประหม่า
“โอ้ ใครล่ะ? นางงามกว่าตี้ฝูหยาของข้าไหม? เหว่ยน้อย ข้ารู้ว่าตี้ฝูหยาเด็กคนนั้นทำร้ายเจ้าก่อนหน้านี้ แต่ไม่กี่ปีมานี้เธอก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ในฐานะลูกผู้ชายคนหนึ่ง เจ้าก็ไม่ควรเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น”
“พ่อทูนหัว ข้าพูดความจริง! ข้าขอนางแต่งงานและนางก็ตอบตกลงแล้ว นอกจากนี้ พวกเราก็ได้…เอ่อ…ทำไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอมอบหลายชายที่แข็งแรงให้ท่านเท่านั้น ข้าก็ต้องรับผิดชอบนางเช่นกัน”
“อะไรนะ?!” ตี้เฟิงหลิงจ้องไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างตกตะลึง แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องที่โจวเหว่ยชิงปลุกมณีสวรรค์ของเขาขึ้นมาได้ แต่ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แม่ทัพโจวจะมีหน้าบอกตี้เฟิงหลิงได้อย่างไร นั่นเป็นผลให้เขาไม่รู้เรื่องนี้ไปโดยปริยาย
“เจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อย ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไหร่? และเจ้าก็ทำกับนางไปแล้ว? เจ้า…เฮ้อ…“ ตี้เฟิงหลิงยืนขึ้นจากบัลลังค์มังกรของเขา ขณะที่โจวเหว่ยชิงคิดว่าเขากำลังจะโดนดุ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อทูนหัวของเขาถอนหายใจและพูดว่า “เอาล่ะ อย่างไรซะข้าก็ไม่อาจตำหนิเจ้าได้ เด็กสมัยนี้โตเร็วกันจริงๆ ถ้าข้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้น ข้าควรจะจัดงานแต่งให้เจ้ากับตี้ฝูหยาก่อนหน้านี้ไปเสียเลย เจ้าจะได้ไม่ออกไปเก็บดอกไม้ป่าข้างทางมาเชยชมเช่นนี้!”
“เอ๋?” ทำไมเหตุการณ์ถึงกลับตาลปัตรเป็นเช่นนี้ไปได้? ครู่หนึ่งโจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกสงสัยว่าตี้ฝูหยาเป็นลูกสาวของตี้เฟิงหลิงจริงๆ หรือว่าเป็นเขาเองที่เป็นลูกชายของตี้เฟิงหลิง ท้ายที่สุดแล้วตี้เฟิงหลิงก็ดูเหมือนจะเข้าข้างเขาอย่างเห็นได้ชัด
“เหว่ยน้อย เจ้าต้องจำเอาไว้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ชายคืออำนาจ เมื่อเจ้ามีอำนาจ เจ้าก็มั่นใจในตนเองได้ ผู้ชายที่มีความเชื่อมั่นในตนเองจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้หญิง บิดาไม่ได้ต่อต้านการมีภรรยาหลายคน แต่เจ้าจงจำไว้ว่าต้องมีความยับยั้งชั่งใจ การทำแบบนั้นมากเกินไปก็ไม่ดีสำหรับเจ้าเช่นกัน เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อเห็นตี้เฟิงหลิงพร่ำบอกเขาด้วยใบหน้าที่จริงจัง โจวเหว่ยชิงก็ได้แต่เสียวแปลบข้างในใจ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าพ่อทูนหัวของเขาคล้ายกับอาจารย์ของเขามาก ทั้งคู่ต่างก็สนับสนุนให้เขามีภรรยาหลายๆ คน! ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือคนหนึ่งกำลังบอกให้เขาทำเช่นนั้นด้วยใบหน้าวิปลาส ส่วนอีกคนกำลังบอกเขาด้วยท่าทีที่จริงจังและสง่างาม แต่ในความเป็นจริง พวกเขาก็พูดถึงสิ่งเดียวกันชัดๆ! “ท่านพ่อทูนหัว เรื่องการหมั้นหมาย…” โจวเหว่ยชิงถามอย่างมีความหวัง
ตี้เฟิงหลิงจ้องเขาด้วยสายตาจริงจัง “ข้า บิดาของเจ้า อนุญาตให้เจ้าแต่งภรรยารองแล้ว เจ้ายังเถียงกับข้าอยู่เหรอ? ฮึ่ม! ข้าจะบอกอะไรให้ ตี้ฝูหยายังอยู่ในโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองคนจะเข้ากันได้ดี หลังจากจบการศึกษา ข้าจะจัดพิธีแต่งงานให้เจ้าทั้งคู่เป็นการส่วนตัว” โจวเหว่ยชิงอ้าปากจะพูดค้าน แต่ตี้เฟิงหลิงก็เดินออกจากห้องทันที ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรอีก
อ๊ากกกกก!!!
ตอนนี้โจวเหว่ยชิงค่อนข้างรู้สึกหดหู่ ข้าจะบอกปิงเอ๋อร์อย่างไรดี?
ถึงกระนั้น ในไม่ช้าเขาก็คิดแผนการณ์หนึ่งขึ้นมาได้ ตี้ฝูหยาอยู่ในโรงเรียนด้วย? หืม นางไม่ได้บอกว่าอยากแต่งงานกับหมูกับหมามากกว่าข้าหรอกหรือ? บิดาจะสอนให้เจ้ารู้ว่าคนเหลี่ยมจัดที่แท้จริง คนอันธพาลที่แท้จริงคืออะไร! และนางก็จะได้รู้ว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงคืออะไร! หลังจากจบการศึกษา นางจะต้องไปบอกยกเลิกงานแต่งพร้อมกันกับข้าแน่นอน หรือว่าในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ข้าอาจจะต้องหนีไปกับปิงเอ๋อร์ ฮ่าๆ!
สำหรับตี้เฟิงหลิงที่เพิ่งเดินออกจากห้องนั้น เขามีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่บนใบหน้าขณะที่คิดกับตัวเองว่า เด็กน้อย จะงัดข้อกับข้า บิดาของเจ้า หึ! เจ้ายังเด็กและไร้เดียงสาเกินไปที่จะทำเช่นนั้น! ตี้ฝูหยา อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ ข้าส่งเจ้าไปที่อาณาจักรเฟยหลี่เป็นกรณีพิเศษเพื่อให้เจ้าช่วงชิงหัวใจของเจ้าเด็กเหลือขอตัวน้อยนี่มาให้ได้! หัวเฟิงได้บอกข้าแล้วว่าอนาคตของเหว่ยน้อยจะต้องเหนือกว่าพี่ใหญ่โจวอย่างแน่นอน ด้วยความงามของลูกสาวข้า นางจะหลอกล่อโจวเหว่ยชิงไม่ได้เชียวหรือ!?
อนิจจา ถ้าตี้เฟิงหลิงรู้ว่าคนรักที่โจวเหว่ยชิงพูดถึงคือหญิงงามอันดับหนึ่งของอาณาจักรอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาก็คงไม่มองโลกในแง่ดีเช่นนั้นแน่
หลังจากเขาออกจากวัง โจวเหว่ยชิงก็ตรงไปที่บ้านของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ในช่วงสองปีที่พวกเขาอยู่ที่หน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขากลับมาที่นี่ทุกปีและเขาก็ติดตามเธอมาด้วยเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนั้นเขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆที่ค่อนข้างเรียบง่ายในย่านที่พักของคนธรรมดาในเมืองหลวง แม้ว่าเธอจะได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นที่ 4 อันสูงส่ง แต่เธอกับแม่ก็ไม่ได้ย้ายไปที่อื่น แน่นอนว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่เต็มใจที่จะย้ายออกเพราะเธอต้องการให้แม่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อย่างไรก็ตาม ถังเซียนก็ยืนยันว่าเธอคุ้นเคยกับการอยู่ที่นั่นและปฏิเสธที่จะย้ายไปที่อื่น
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงมาถึงหน้าบ้าน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็อยู่ในสวนกับแม่ของเธอ ทั้งคู่กำลังปลูกผักอยู่ด้วยกัน สวนนั้นค่อนข้างเล็ก กินพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของลานหน้าบ้าน โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่ทางเข้ามองดูคู่แม่ลูกผู้งดงามปลูกผักอยู่ในสวน เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างเผลอไผล
“ทำไมเจ้าไม่เข้ามาล่ะ?” แม้ว่าถังเซียนจะไม่ได้เหลือบมองไปทางเขา แต่เสียงของเธอก็ดังขึ้นแทรกความเงียบขึ้นมา
“สวัสดีขอรับท่านป้า” โจวเหว่ยชิงยิ้มแย้มและเดินเข้าไปในลานบ้าน เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นเขา ใบหน้าของเธอก็เผยท่าทางดีใจออกมา อย่างไรก็ตาม วินาทีต่อมามันก็ถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียพวกเขาก็กำลังจะแยกจากกันไปอีกหลายเดือน เธอจึงค่อนข้างรู้สึกหดหู่ในใจ
ถังเซียนลุกขึ้นยืน แม้แต่เสื้อผ้าเรียบง่ายบนร่างก็ไม่อาจซ่อนความงามของเธอเอาไว้ได้ เธอยิ้มให้โจวเหว่ยชิงและพูดว่า “อ้วนน้อย จากที่ปิงเอ๋อร์เล่าให้ฟัง เจ้ากำลังจะมุ่งหน้าไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้า?”
ต่อหน้าถังเซียน โจวเหว่ยชิงเป็นคนซื่อสัตย์และประพฤติตัวดีเสมอ เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ใช่ขอ รับ! ข้าอายุ 16 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้สัญญากับอาจารย์ฮูเหยียนว่าจะไปเรียนรู้วิชาจากเขา”
ถังเซียนพยักหน้าและกล่าวว่า “อ้วนน้อย มีสองสิ่งที่เจ้าต้องจำไว้ ก่อนอื่น อย่าเสียเวลาและพลังปราณไปกับการสร้างคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มากจนเกินไป เจ้าต้องแลกหลายสิ่งหลายอย่างไปกับการฝึกสร้างคัมภีร์ และนั่นจะส่งผลต่อการฝึกปราณของเจ้าแน่นอน ด้วยทักษะธาตุที่เจ้ามี พรสวรรค์ของเจ้ายอดเยี่ยมเกินกว่าจะเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์” โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สำหรับท่านแม่ผู้ลึกลับของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาค่อนข้างให้ความเคารพและเกรงกลัว คำเตือนของท่านแม่ที่ให้เขาเชื่อฟังคำสอนของเธอยังคงสดใหม่อยู่ในใจของเขา
ถังเซียนยิ้มบางเบาและพูดต่อว่า “สิ่งที่สองคือ…เมื่อเจ้ากักเก็บทักษะ พยายามกักเก็บทักษะประเภทการควบคุมให้ได้มากที่สุด จำไว้ว่า ไม่มีการจำกัดจำนวนทักษะประเภทควบคุมที่เจ้าสามารถมีได้ เจ้าเข้าใจความหมายของมันไหม?”
โจวเหว่ยชิงตอบอย่างซื่อๆ “เอ่อ ไม่ค่อยเข้าใจขอรับ”
ถังเซียนหัวเราะและพูดว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ซื่อสัตย์กับเรื่องนั้น พูดง่ายๆ คือทุกครั้งที่จ้าวมณีสวรรค์ใช้ทักษะชนิดหนึ่ง ช่วงเวลาสั้นๆหลังจากนั้นพวกเขาจะที่ไม่สามารถใช้ทักษะนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ในระดับปราณของเจ้า หลังจากเจ้าใช้ทักษะสัมผัสมืดแล้ว ในช่วงเวลา 10 วินาทีหลังจากนั้นเจ้าอาจจะไม่สามารถใช้งานทักษะนี้ได้ ข้าพูดถูกมั้ย?”
………………………