Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 38.1 อสูรสวรรค์ธาตุมิติระดับราชา (1)
โจวเหว่ยชิงอุ้มเสือขาวตัวน้อยที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและสิ่งสกปรกออกมาข้างนอกพร้อมกัน เขามองหาชุดสะอาดๆ หลังจากนั้นก็หยิบและวิ่งเปลือยกายเข้ามาทำความสะอาดตัวเองภายในห้อง อย่างไรเสียคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชายทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะถูกใครพบเห็นร่างเปลือยล่อนจ้อนของเขาอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของเขา คนไร้ยางอายผู้นี้จะสนด้วยหรือหากมีผู้หญิงจ้องมอง? ใครจะไปถูกจับข้อหาถูกเห็นร่างเปลือยกัน เล่า!?
เขาเติมน้ำในอ่างขนาดใหญ่จนเต็มก่อนจะอุ้มเจ้าแมวอ้วนตัวน้อยกระโดดลงไป เจ้าแมวอ้วนผู้น่าสงสารไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลอยคอเป็นลูกหมาตกน้ำด้วยความโมโหเดือดดาล
โจวเหว่ยชิงหัวเราะอย่างสนุกสนาน เขาล้างคราบเลือดและสางสิ่งสกปรกออกจากขนของมัน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าแมวอ้วน อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นผู้หญิง…นี่นับเป็นการอาบน้ำแบบคู่รักยวนยาง[1] หรือไม่? ฮ่าๆๆๆๆๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เจ้าแมวอ้วนก็อยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายไปเสีย มันดิ้นรนขัดขืนอย่างหนัก ใช้อุ้งเท้าของมันสะบัดไปมาอย่างน่ารักน่าชัง โจวเหว่ยชิงทำได้เพียงแค่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและอาบน้ำให้มันจนสะอาดเอี่ยมอ่อง จากนั้นไม่นานเขาก็ปล่อยมันออกไปข้างนอกและเริ่มขัดถูร่างกายตัวเองบ้าง
นิสัยของโจวเหว่ยชิงนั้นแตกต่างจากคนปกติออกไปมาก แม้ว่าเขาจะเพิ่งพบกับความเจ็บปวดอันน่าสยดสยองในคืนก่อนหน้า แต่เมื่อเขาได้อาบน้ำชำระล้างร่างกายแล้วก็พลันรู้สึกเบาสบายตัวมาก ความทุกข์ทรมาณจากเมื่อวานนี้แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง นับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่สามารถลืมเลือนความเจ็บปวดได้ทันทีที่รอยแผลตกสะเก็ด ด้วยนิสัยนี้เอง โจวเหว่ยชิงจึงสามารถฝึกวิชาเทพอมตะต่อไปได้โดยไม่กลายเป็นบ้าไปเสียก่อน
ก่อนหน้านี้ผู้สร้างวิชาเทพอมตะเป็นอัจฉริยะที่ทรงพลังผู้หนึ่ง เขามีพรสวรรค์เหนือผู้อื่นมาก ทั้งยังค้นพบสิ่งต่างๆด้วยความบังเอิญมากมาย ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ตายด้วยวิชาเทพอมตะที่ตนสร้างขึ้นมาเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าร่างกายของเขาไม่อาจทนรับความเจ็บปวดระหว่างการทะลวงจุดตายได้ แต่จิตใจของเขานั้นไม่อาจอดทนต่อความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ต่างหาก สติสัมปชัญญะของเขาจึงพังทลายลง ในท้ายที่สุดเขาก็เสียชีวิตในขณะที่ทะลวงจุดตายฉีไห่ จุดตายที่ทำให้เขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่มากกว่าครั้งก่อนหน้าหลายเท่า
หลังจากซักชุดสกปรกจนสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว โจวเหว่ยชิงก็รีบเขมือบอาหารกองโตเข้าท้อง หลังกินจนอิ่มแปล้ เขานั่งเอนหลังด้วยความอิ่มเอิบ จิตวิญญาณและพลังงานในร่างถูกเติมจนเต็ม ราวกับว่าเดือนแห่งความเหนื่อยล้าได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“เหว่ยน้อย เจ้ามานี่หน่อยซิ” หลังจากเขาทานอาหารเสร็จแล้ว เสียงของฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ดังขึ้นมา
ทั้งฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูต่างก็นอนไม่หลับทั้งคืน พวกเขาจึงกระสับกระส่ายอยู่ตลอดจนกระทั่งถึงเวลาตื่นนอน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนโจวเหว่ยชิงจนกระทั่งถึงเวลานี้ เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงกลับมาร่าเริงมีชีวิตชีวาอีกทั้งร่างกายยังเต็มไปด้วยกำลังวังชา พวกเขาก็ถึงกับพูดไม่ออก
คนทั้งคู่ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าโจวเหว่ยชิงที่อยู่ในสภาพลมปราณแตกซ่านและต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานในคืนก่อนหน้าจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ เขาสามารถทำตัวราวกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง
“อาจารย์ ข้าสร้างม้วนคัมภีร์ใบสุดท้ายเสร็จเมื่อคืนนี้!” โจวเหว่ยชิงวิ่งไปที่ห้องของฮูเหยียนเอ้าป๋อด้วยความตื่นเต้น ไม่เอ่ยถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับจากวิชาเทพอมตะเมื่อคืนแม้แต่น้อย
ฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูมองไปยังเสือขาวตัวน้อยที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของโจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้ากังวลใจ พวกเขาไม่อยากจะเอ่ยปากพูดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ และเนื่องจากโจวเหว่ยชิงเองก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยไม่คาดคั้นโจวเหว่ยชิงให้พูดออกมา
ฮูเหยียนเอ้าป๋อยิ้มกว้างและพูดว่า “ดีมาก ดีมาก ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงไม่กี่เดือนเจ้าก็สอบผ่านด่านที่ยากที่สุดของนิกายอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเราแล้ว นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาที่เจ้าต้องมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเฟยหลี่ ดังนั้นเจ้าควรเก็บของและออกเดินทางให้เร็วที่สุด”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อ ท่าทางตื่นเต้นของโจวเหว่ยชิงก็ดูจืดจางลงทันที โจวเหว่ยชิงวางเจ้าแมวอ้วนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เขาคุกเข่าลงต่อหน้าฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู จากนั้นก็คุกเข่าคำนับพวกเขา 3 ครั้ง
ฮูเหยียนเอ้าป๋อไม่ได้ห้ามเขา ดวงตายังเต็มตื้นไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ สำหรับอาจารย์ทุกคนแล้ว ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการมีลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพเช่นนี้ แน่นอนว่านี่ก็คือความรู้สึกที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อมีต่อโจวเหว่ยชิงนั่นเอง
หลังจากคำนับพวกเขาเสร็จ โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขาไม่มีรอยยิ้มร่าเริงเหมือนเช่นเคย ครานี้เขาเอ่ยอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะทำความฝันของท่านให้สำเร็จแน่นอน!”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อรู้สึกว่าดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา เขาหายใจเข้าลึกเพื่อฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตวาดว่า “รีบไสหัวไปให้ไวเลย! นำกระดาษศาสตรามณียุทธ์และหมึกศาสตรามณียุทธ์ที่เหลือไปด้วย อย่าลืมหมั่นฝึกฝนด้วยล่ะ แค่ทิ้งคัมภีร์ที่ทำเสร็จแล้วไว้ที่นี่ก็พอ หลังจากนี้ข้าจะเกษียณแล้ว ตามที่เจ้ารู้ ข้าทำงานหนักมาตลอดหลายปี พอขายม้วนคัมภีร์ทั้งหมดที่เจ้าทำในครั้งนี้เสร็จแล้ว ข้าจะออกเดินทางไปทั่วโลกกับตาแก่เฟิง สักวันหนึ่งพวกเราอาจจะได้พบกันใหม่”
โจวเหว่ยชิงแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ใครจะรู้ บางทีตอนนั้นข้าอาจจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะแล้วก็ได้! ลาก่อนขอรับท่านอาจารย์ ลาก่อนท่านผู้อาวุโสเฟิงหยู!” หลังจากพูดจบ เขาก็รีบหันหน้าหนีไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทั้งฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูต่างก็มองเห็นชัดเจนว่าหลังจากที่โจวเหว่ยชิงหันหลังกลับไป ไหล่ของเขาก็เริ่มสั่นเล็กน้อย
โจวเหว่ยชิงรีบกลับไปที่ห้องของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากปิดประตูเขาก็ยกมือขึ้นมาขยี้ตาอย่างแรงและบ่นพึมพำ “ทำไมฝุ่นถึงเข้าตาข้าได้เนี่ย…”
แม้ว่าปกติแล้วเขามักจะทำตัวเหมือนไม่ใส่ใจคนอื่น อีกทั้งยังได้เรียนรู้วิถีการเป็นคนเจ้าเล่ห์คดโกงมาจากมู่เอินแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขามองข้ามคนที่ปฏิบัติดีกับเขา
แม้ว่าเขาจะใช้เวลาเพียง 5 เดือนในการเรียนรู้และใช้เวลาอยู่ร่วมกับฮูเหยียนเอ้าป๋อ แต่โจวเหว่ยชิงก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอาจารย์ของเขาทำเพื่อเขาและเอาใจใส่เขามากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์หลุมบรรจุมณีที่อาจารย์มอบให้ ทั้งการที่อาจารย์ใช้เงินออมทั้งชีวิตทุ่มซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาให้เขาและสั่งสอนเขาอย่างอดทน อาจกล่าวได้ว่าฮูเหยียนเอ้าป๋อได้ทำทุกอย่างที่อาจารย์คนหนึ่งต้องทำอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว อีกทั้งเขายังทำมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสอน ของฮูเหยียนเอ้าป๋อ และวัตถุดิบที่เขาช่วยสนับสนุนให้ ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีพรสวรรค์มากเพียงใด เขาก็ไม่อาจกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน
คติประจำตัวของโจวเหว่ยชิงเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด หากมีคนทำดีกับเขา เขาก็จะตอบแทนพวกเขากลับคืนร้อยพันเท่า แต่หากมีใครทำไม่ดีกับเขา เขาก็จะสนองคืนร้อยพันเท่าเช่นกัน!
ในอีกด้านหนึ่ง ร่างกายของฮูเหยียนเอ้าป๋อเองก็สั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากที่โจวเหว่ยชิงจากไป เขาก็หายใจเข้าลึกๆพลางพึมพำกับตัวเองว่า “เขาเป็นความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว ไม่มีอะไรสามารถเทียบได้เลย”
โจวเหว่ยชิงได้จากไปแล้ว และคราวนี้เขาก็ไม่แม้แต่จะกล่าวลากับฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู แน่นอนว่าเขาหวาดกลัวช่วงเวลาแห่งการจากลามากที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาเดินออกมาจากลานบ้านของฮูเหยียนเอ้าป๋อแล้ว เขาก็คุกเข่าลงที่ประตูและคำนับอีก 3 ครั้ง เขากระชับกอดเจ้าแมวอ้วนไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเดินจากไป
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออก ร่างของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูก็โผล่ออกมาเพื่อมองส่งร่างที่เพิ่งหายลับตาไปของโจวเหว่ยชิง หลังจากที่เขาจากไปไกลแล้ว ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาไม่อาจทนแยกจากกับศิษย์รักของเขาได้เลย
“ทำไมเจ้าไม่ขอให้เขาอยู่ต่อล่ะ? ถ้าเจ้าขอ เขาอาจจะอยู่ก็ได้” เฟิงหยูกล่าว
ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ข้าไม่อาจเห็นแก่ตัวได้เช่นนั้น อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เป็นได้เพียงอาชีพเสริมสำหรับเขา เจ้าว่าจำนวนจ้าวมณีสวรรค์ที่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นมีกี่คนกัน? นอกจากนี้ ด้วยพรสวรรค์และทักษะธาตุของเขา เขาก็น่าจะไปได้ไกลกว่าหากเลือกเดินบนเส้นทางของจ้าวมณีสวรรค์”
เฟิงหยูยิ้มและพูดว่า “ตาแก่ฮูเหยียน ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าเองมีด้านที่น่ารักแบบนี้เช่นกัน พวกเราจะไปท่องโลกอย่างที่เจ้าพูดจริงๆ หรือเปล่า?”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อหัวเราะอย่างเต็มกำลังก่อนจะเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่ไปล่ะ? ข้าได้มาถึงยอดภูเขาขีดความสามารถของข้าในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์แล้ว ไม่มีที่ว่างให้ข้าได้เติบโตขึ้นไปอีกแล้ว อีกทั้งข้ามีลูกศิษย์ที่โดดเด่นขนาดนี้ ข้ายังต้องทำงานหนักอยู่อีกหรือ? ถึงเวลาที่ข้าจะใช้ชีวิตเสเพล ท่องโลกและลิ้มลองรสชาติของชีวิตแล้ว! ไปกันเถอะ พวกเรารีบไปเก็บของ เตรียมตัวออกเดินทางเร็วๆ นี้กัน!”
…
เมืองหลวงเฟยหลี่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรเฟยหลี่ มันอยู่ห่างจากเมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นระยะทางประมาณ 2 เท่า ของเส้นทางจากเมืองภูเขาลอยฟ้าไปอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ หลังออกจากเมืองภูเขาลอยฟ้า โจวเหว่ยชิงก็ได้คำนวณระยะเวลาและตระหนักได้ว่าเขามีเวลากระชั้นชิดมากเนื่องจากต้องไปเมืองเฟยหลี่ให้ทันเวลานัดพบของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตามแผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมาและเคลื่อนวงล้อทักษะธาตุไปยังพื้นที่สีเขียวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของเขาพุ่งทะยานตรงไปยังเมืองเฟยหลี่ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
ตามแผนที่ที่ได้รับมา โจวเหว่ยชิงพบว่าเส้นทางนี้วางตัวเกือบจะเป็นแนวตรง เมื่อออกวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ เขาก็พบว่าสิ่งที่เขาเพิ่งได้รับมานั้นมีประโยชน์มาก โจวเหว่ยชิงเพิ่งได้รับมณีชุดที่ 3 เขาจึงยังไม่คุ้นเคยกับความสามารถและร่างกายใหม่ของเขาเท่าไหร่นัก ขณะที่เขาใช้พลังปราณสวรรค์ธาตุลมในการวิ่ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าพลังที่เพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมาแบบธรรมดาๆ
ทุกครั้งที่เท้าของเขาแตะพื้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้พลังขาขวาปีศาจ เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวของเขานั้นเบาหวิวเหมือนนกกระจิบ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดที่สุดก็กลับกลายเป็นเรื่องที่น่าพอใจเสียอย่างนั้น เขาพบว่าตนเองสามารถควบคุมความเร็วได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขาสามารถควบคุมพลังปราณสวรรค์ธาตุลมได้อย่างแม่นยำชนิดที่ไม่เคยได้ยินมาที่ไหนก่อน นี่น่าจะเป็นผลมาจากการใช้พลังปราณสวรรค์อย่างต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนของการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ นั่นรวมถึงความแม่นยำและความแข็งแกร่งของพลังจิตที่ต้องใช้ในการฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การทะลวงจุดตายฉีไห่ก็ค่อนข้างแตกต่างจากการทะลวงจุดตายทั้ง 11 จุดก่อนหน้านี้มาก แม้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าครั้งก่อนๆ แต่ประโยชน์ที่เขาได้รับกลับคืนมาก็มากพอๆ กัน ก่อนหน้านี้หลุมดำพลังปราณของจุดตายต่างๆ นั้นค่อนข้างแยกออกจากกันเป็นอิสระและไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากทะลวงจุดตายฉีไห่ได้ เรื่องราวทั้งหมดก็ต่างออกไปทันที หลุมดำพลังปราณในจุดตายฉีไห่กลายเป็นจุดศูนย์กลางในร่างกายของเขา ที่นั่นมีพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ หลุมดำพลังปราณอีก 11 แห่งถูกประสานเข้ากับมัน และเมื่อเขาหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง หลุมดำพลังปราณฉีไห่ก็จะหมุนคว้างและดูดกลืนพลังปราณสวรรค์จากชั้นบรรยากาศเข้ามาในจำนวนที่มากขึ้น แน่นอนว่านั่นทำให้เกราะเทพอมตะของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ในเวลาเดียวกัน พลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็ค่อยๆ วิวัฒน์จากปราณสวรรค์ขั้นพื้นฐานไปสู่ปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพ แม้ว่าพลังของเขาจะยังไม่มากพอถึงระดับที่ 1 ของขั้นทะลวงพิภพ แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็สามารถแสดงคุณสมบัติพิเศษบางอย่างของปราณสวรรค์ขั้นทะลวงพิภพได้แล้ว นั่นก็คือความสามารถในการปลดปล่อยปราณสวรรค์ออกไปภายนอกร่างกายได้นั่นเอง
เมื่อโจวเหว่ยชิงตั้งสมาธิเพ่งไปที่จิตใต้สำนึก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา เขาก็ยังสามารถแปรเปลี่ยนพลังปราณสวรรค์ของเขาให้กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งทะยานออกจากร่างกายได้ จากที่เมื่อก่อนพวกมันถูกกักขังเอาไว้ในร่างของเขาเพียงอย่างเดียว อีกทั้งพวกมันยังสามารถนำใช้ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน นี่จึงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนจากการเลื่อนระดับ
นอกจากนี้ เนื่องจากพลังปราณสวรรค์นั้นอยู่ในสถานะของเหลว จำนวนปราณที่สามารถนำไปใช้กับทักษะต่างๆจึงลดลงเล็กน้อยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่ามณีชุดที่ 3 นี้เป็นระดับพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมากสำหรับจ้าวอัญมณีสวรรค์ทุกคน ไม่ใช่แค่ปริมาณ แต่ยังรวมถึงคุณภาพอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทวีความทรงพลังขึ้นอีกในผู้ที่มีพรสวรรค์แต่กำเนิดสูงมากเช่นโจวเหว่ยชิง
สิ่งเดียวที่เขาขาดในตอนนี้คือการกักเก็บทักษะและการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ให้เสร็จสิ้น ท้ายที่สุดแล้ว ศาสตรามณียุทธ์ของเขาก็มีเพียงชิ้นเดียวนั่นคือธนูราชันย์ในมณียุทธ์ดวงแรกของเขา อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ เขาจึงไม่มีเวลาหลอมรวมกับคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ในของขวัญที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อมอบให้เขาได้ ซึ่งนั่นก็คือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใบแรกของชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษนั่นเอง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงคิดจะหลอมรวมเข้ากับมันหลังจากไปถึงเมืองหลวงเฟยหลี่
…………………………………………………
[1] การอาบน้ำแบบคู่รักยวนยาง: การอาบน้ำแบบนกเป็ดน้ำ (คู่รักช่วยกันอาบน้ำขัดหลัง)