Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 40.1 แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่ (1)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 40.1 แม่ทัพเทพสงครามอาณาจักรเฟยหลี่ (1)
หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะมีหน้าตาค่อนข้างธรรมดา ทว่าเมื่อถูกเรียกว่าสาวสวย เธอจึงรู้สึกค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก สายตาที่เธอใช้มองโจวเหว่ยชิงจึงดูอ่อนลงเล็กน้อย “เอาล่ะ เจ้าชื่ออะไร? บอกอายุ เพศ…เอ่อ นั่นไม่จำเป็นหรอก นอกจากนี้ เจ้าจะลงเรียนสาขาอะไร และเจ้าเป็นชนชั้นสูงหรือไม่?”
“ข้าชื่อโจวเหว่ยชิง อายุ 16 ปี…เอ่อ…สาขา…เอ่อ..รอสักครู่” เขาหันหน้าไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์พร้อมกับถามว่า “เราจะลงทะเบียนเรียนสาขาอะไรหรือ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถึงกับพูดไม่ออก เธอถอนหายใจขณะที่เธอตอบว่า “สาขาบัญชาการทหาร”
โจวเหว่ยชิงหันกลับมาและกล่าวว่า “สาขาบัญชาการทหาร ข้าเป็นขุนนางขั้นที่ 4 ในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ด้วย นั่นนับว่าเป็นชนชั้นสูงหรือไม่?” บิดาของเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ต่อต้านอำนาจของพวกขุนนาง ยิ่งกว่านั้นมันอาจจะช่วยให้เขาสอบผ่านด้วย
หญิงสาวผู้รับผิดชอบการลงทะเบียนกล่าวอย่างขอโทษขอโพยว่า “ข้าขออภัยด้วย แต่มีเพียงขุนนางจากอาณาจักรเฟยหลี่เท่านั้นที่พวกเรายอมรับ สำหรับขุนนางในอาณาจักรอื่นๆ มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นขุนนาง ท่านคงต้องลงทะเบียนในฐานะสามัญชนเท่านั้น”
ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเย็นเยือกขึ้น เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “งั้นก็ใส่ว่าสามัญชนนั่นแหละ” ความรู้สึกอัปยศอดสูปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา ในฐานะประเทศที่อ่อนแอ แม้แต่สถานะอันสูงส่งของพวกเขาก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ ยิ่งไปกว่านั้นคือเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในอาณาจักรเฟยหลี่ที่เป็นพันธมิตรของพวกเขาแท้ๆ อย่างไรก็เป็นความจริงที่ว่าอาณาจักรของพวกเขาอ่อนแอมาก จึงไม่อาจแม้แต่จะเชิดหน้าชูตาว่าตนเป็นประชาชนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ในชั่วขณะนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าเหตุใดบิดาของเขาถึงต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกทหารและออกสู้รบ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับอาณาจักรของพวกเขานั่นเอง!
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงอารมณ์แปรปรวนของโจวเหว่ยชิง เธอจึงรีบลงทะเบียนและพาเขามุ่งหน้าเข้าไปในโรงเรียนอย่างรวดเร็ว
“อ้วนน้อย อย่าคิดมากเลย พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อทำให้อาณาจักรของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ฉะนั้นเจ้าจะต้องอดทนและอดกลั้นต่อทุกสิ่งให้มาก เรามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ และเมื่อเราเข้มแข็งขึ้นเราก็จะสามารถตอบแทนอาณาจักรและสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่อาณาจักรได้! ความสามารถของเจ้าสูงส่งมาก ในอนาคตเจ้าจะนำพาอาณาจักรของเราขึ้นเป็นมหาอำนาจได้อย่างแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงผงกศีรษะรับ เขาจับมือของซางกวนปิงเอ๋อร์แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ข้า พวกเราต่างหาก ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าทิ้งข้าไปหรอก!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของเขา ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าอ้วนน้อยของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าอ้วนน้อยโจวที่มักหาเรื่องแกล้งคนไปวันๆ เหมือนแต่ก่อน คิดได้ดังนั้นในใจก็พลันรู้สึกสั่นไหว เธออดคิดไม่ได้ว่า อ้วนน้อยของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ!
จุดลงทะเบียนตั้งอยู่บริเวณทางเข้าของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในขณะที่การทดสอบจริงจะจัดอยู่ภายในโรงเรียน ด้วยบัตรประจำตัวสอบที่อยู่ในมือของคนทั้งคู่ โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมุ่งหน้าเข้าไปภายในโรงเรียนด้วยจิตใจอันมุ่งมั่น
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปถึงข้างใน พวกเขาก็เห็นสนามรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสที่เปิดโล่งกว้าง สนามแห่งนี้ถูกขุดลงไปด้านล่างจนต่ำกว่าพื้นดินปกติ ทั้งสนามล้อมรอบไปด้วยลู่วิ่งยาว 800 เมตร สุดฝั่งสนามมีอาคาร 6 ชั้นขนาดใหญ่ซึ่งมีความกว้างมากกว่า 300 เมตรตั้งอยู่ นั่นคืออาคารเรียนหลักของโรงเรียน อาคารทั้งหมดเป็นสีเทาเคลือบโลหะที่แผ่รังสีฆ่าฟันเข้มข้นออกมา
การสอบทั้ง 3 หัวข้อจะถูกจัดขึ้นในสนามสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่แห่งนี้และผลลัพธ์จะถูกตัดสินทันที ดังนั้นแต่ละสถานที่สอบจึงมีข้อกำหนดที่ชัดเจนมากสำหรับผู้เข้าสอบแต่ละคน
โจวเหว่ยชิงมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และถามว่า “ปิงเอ๋อร์ เราจะไปส่วนไหนก่อนดี? ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะไม่มีปัญหากับการทดสอบเท่าไหร่ เฮ้อ ตัวข้าเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองนักเลย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปิดปากถามอย่างสงสัย “ทำไมข้าถึงจะไม่มีปัญหาล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีการสัมภาษณ์ตัวต่อตัวด้วย? ด้วยความงามอันดับต้นๆ ของปิงเอ๋อร์ของข้า เจ้าย่อมได้คะแนนเต็มแน่นอน! สำหรับอีก 2 ด่านเจ้าไม่ต้องมีคะแนนก็ได้เพราะยังไงเจ้าก็ถือว่าผ่านอยู่แล้ว เฮ้อ สำหรับข้า ด้วยใบหน้าเช่นนี้ สงสัยว่าข้าเองก็น่าจะได้คะแนนสูงเช่นกัน แต่สำหรับการสอบข้อเขียน แค่ไม่ได้ 0 คะแนนข้าก็พอใจแล้ว…”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและตีไหล่เขา “อย่าดูถูกตัวเองเลยน่า เจ้าจะรู้ผลได้อย่างไรถ้ายังไม่เคยลอง ไปเถอะ พวกเราไปลองเข้าร่วมทดสอบความรู้ทางการทหารก่อนดีกว่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ค่อยมั่นใจในส่วนนี้เท่าไหร่”
จุดจัดสอบข้อเขียนเกี่ยวกับความรู้ทางการทหารตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของสนาม ส่วนจุดทดสอบความสามารถในการรบตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนกลางสนามเป็นจุดสอบสัมภาษณ์ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้เสียงเอะอะจากการต่อสู้ส่งผลกระทบต่อการสอบข้อเขียน
เมื่อทั้งสองคนเข้าสู่พื้นที่สอบข้อเขียน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีที่นั่งว่างเหลืออยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น มีคนส่งกระดาษข้อสอบให้พวกเขา ผู้คุมที่รับผิดชอบการสอบบอกพวกเขาว่าไม่อนุญาตให้มีการพูดคุยทันทีที่การทดสอบเริ่มขึ้นและพวกเขาสามารถส่งกระดาษคำตอบให้ผู้คุมได้หลังจากทำเสร็จแล้ว ด้านหน้ามีอาจารย์หลายสิบคนกำลังตรวจข้อสอบที่ทำเสร็จแล้ว เห็นได้ชัดว่ากระดาษคำตอบจะถูกให้คะแนนทันทีที่ส่งไป จากนั้นผู้เข้าสอบก็จะได้รับผลสอบโดยเร็วที่สุด
มีเครื่องเขียนวางไว้บนโต๊ะแล้ว โจวเหว่ยชิงนั่งลงและมองไปที่กระดาษ จากนั้นเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจ หากข้อสอบออกตามข้อมูลพื้นฐานของการบัญชาการทหารเช่นวิธีการจัดตั้งกองกำลังต่างๆ เขาก็คงจะได้คะแนนเป็น 0 แน่ๆ ต้นเหตุก็มาจากช่วงเวลาวัยเด็กของเขา เนื่องจากเวลานั้นเขามีเส้นลมปราณอุดตันและยังไม่สามารถปลุกมณีสวรรค์ของเขาขึ้นมาได้ แม่ทัพโจวเองก็ไม่คาดหวังให้เขารับช่วงต่อและสืบทอดหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการบัญชาการทหารเลย แต่ทว่าคำถามในกระดาษแผ่นนี้กลับไม่ได้ถามเกี่ยวกับความรู้ทางทหารเหมือนที่เขาคาดเอาไว้ แต่มันกลับเป็นตัวอย่างของสถานการณ์การต่อสู้
คำถามมีดังนี้ เมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกำลังถูกล้อมรอบด้วยกองทหารข้าศึก ปัจจุบันมีกองกำลังเฝ้าเมืองเพียง 5,000 นาย ทั้งยังมีพลเมืองอยู่หลายแสนคนซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้งเด็กและคนแก่อยู่เป็นจำนวนมาก กองทัพข้าศึกมีจำนวน 100,000 คนและพวกเขาได้ล้อมเมืองเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว กำลังเสริมจะมาถึงในอย่างน้อยอีก 3 วัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ศัตรูได้บังคับนำชาวบ้านจากหมู่บ้านรอบๆ มาใช้เป็นแนวหน้ารับการโจมตีจากทหารในเมือง ในฐานะแม่ทัพที่มีหน้าที่คุ้มกันเมือง เจ้าจะทำอย่างไร?
ในกระดาษข้อสอบมีคำถามข้อนี้เขียนอยู่เพียงคำถามเดียว ส่วนที่เหลือของกระดาษทั้งหมดถูกเว้นไว้สำหรับคำตอบ
โจวเหว่ยชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเขียนลงไปอย่างบ้าคลั่ง ปากกาของเขาแกว่งฉวัดเฉวียนไปมาบนกระดาษ บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาต้องสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์อย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ดังนั้นในตอนนี้แม้แต่ลายมือของเขาก็ยังดูดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
ไม่นานเขาก็เขียนจนเต็มหน้ากระดาษ โจวเหว่ยชิงไม่ได้อ่านทวนแม้แต่ครั้งเดียว เขาลุกขึ้นยืนพรวดพราดด้วยความพึงพอใจ เมื่อกวาดสายตามองไปยังด้านข้างก็เห็นว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังคงเขียนคำตอบอยู่ เขาหันกลับมาพร้อมเดินมุ่งหน้าไปส่งกระดาษคำตอบ
อาจารย์ที่อยู่แถวด้านหน้ากำลังยุ่งอยู่กับการตรวจให้คะแนน แต่เนื่องจากมีคำถามเพียงข้อเดียวและอาจารย์เหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นอาจารย์ผู้โชกโชนประสบการณ์ของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตรวจข้อสอบได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว โจวเหว่ยชิงเข้าแถวอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะมาถึงตาเขา
อาจารย์ผู้ที่รับกระดาษของเขาไปเป็นชายชราอายุประมาณ 50 ปี ทันทีที่เขาอ่านบรรทัดแรก คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้นมาทันที ในกระดาษคำตอบของโจวเหว่ยชิงนั้น บรรทัดแรกเขียนเอาไว้ว่า ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!
เมื่ออาจารย์อ่านต่อ เขาก็เห็นสิ่งต่อไปนี้ ถ้าข้าเป็นแม่ทัพของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ข้าจะออกคำสั่งฆ่าโดยไม่ลังเล แม้กลุ่มคนข้างนอกจะเป็นพลเมืองของอาณาจักรเรา แต่ประชาชนและทหารในกำแพงเมืองก็เป็นคนของอาณาจักรของเราเช่นกัน ในเวลานี้ความลังเลอาจทำให้กำแพงเมืองถูกทำลายและมีผู้เสียชีวิตนับไม่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ศัตรูจะยังปล่อยประชาชนที่พวกเขาใช้เป็นกองหน้าไปหรือไม่? แม้ว่าบางทีพวกเขาอาจจะปล่อย แต่ในฐานะแม่ทัพที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ข้าไม่อาจนำชีวิตของประชาชนหลายแสนคนและทหารอีกหลายพันคนของข้าไปเสี่ยงกับการเดิมพันในครั้งนี้ได้
การปกป้องเมืองคือหน้าที่หลักของข้า ประชาชนที่ถูกบังคับให้เป็นแนวหน้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้าข้าไม่ฆ่าพวกเขา ข้าก็ถือว่าล้มเหลวในฐานะผู้บัญชาการคนหนึ่ง บางทีเมืองเล็กๆ ที่ข้าเฝ้าอยู่อาจจะไม่ส่งผลสำคัญใดๆ ต่อภาพรวมของสงคราม แต่สำหรับตัวข้าจะคิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ข้าต้องทำตามหน้าที่เพื่อปกป้องเมืองให้สำเร็จ และข้าจะไม่ลังเลหากต้องลงมือต่อสู้และสังหารทุกคนด้วยกำลังทั้งหมดของข้ามี จวบจนศัตรูคนสุดท้าย
หากในที่สุดแล้วศัตรูไม่อาจบุกทะลวงเมืองได้ ในตอนกลางคืนข้าจะส่งต่อหน้าที่ของข้าให้รองแม่ทัพและออกไปจากเมืองคนเดียวเพื่อลอบโจมตีศัตรู ทั้งหมดนี้เป็นการรับผิดชอบและแก้แค้นให้กับประชาชนข้างนอก แน่นอนว่าข้าจะสังหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าก่อนที่จะกระทำการดังกล่าว ข้าจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมืองนี้มีเชื้อเพลิงและสารติดไฟเพียงพอ ข้าจะสั่งการแก่สั่งรองแม่ทัพเป็นครั้งสุดท้ายว่า หากมีศัตรูบุกเข้ามาในเมือง ให้ทหารก็จุดไฟเผาเมืองทันทีและต่อสู้กับศัตรูจนตัวตาย แม้ว่าทั้งเมืองจะพินาศและทุกคนจะต้องตกตาย แต่เราจะไม่ทิ้งพวกเขาเอาไว้พร้อมกับข้าวแค่เม็ดเดียวหรือปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อนำไปใช้เป็นแนวหน้าในเมืองถัดไป การบาดเจ็บล้มตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสงครามและข้าก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้การปะทะครั้งสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะ สำหรับจำนวนคนที่ต้องตายนั้นข้าทำได้เพียงพยายามลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มความสามารถเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นข้าก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว
เมื่ออ่านคำตอบของโจวเหว่ยชิง สีหน้าของอาจารย์ก็ดูน่าเกลียดขึ้นทันที เขาหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากโหนกแก้ม “ไร้เหตุผล! นี่มันเรื่องไร้สาระชัดๆ!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองโจวเหว่ยชิงพร้อมกับกล่าวว่า “นี่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเจ้าแล้วงั้นรึ? ข้านึกไม่ออกเลยว่าถ้าเจ้ากลายเป็นแม่ทัพจริงๆ จะมีคนตายไปเพราะเจ้ากี่คน คำตอบของเจ้าทำให้ข้ามองเห็นแต่ภาพภูเขาซากศพและกองเลือด แม่ทัพที่ไม่สนใจชีวิตใคร คนที่สามารถเข่นฆ่าและทำลายล้างทุกอย่างโดยไม่สนใจประชาชน แม่ทัพเช่นนี้จะไม่มีวันเป็นที่รักของกองทัพและพลเมืองเด็ดขาด เจ้าไม่กลัวคนคิดต่อต้านหรือ?”
โจวเหว่ยชิงยักไหล่และพูดว่า “ต่อต้าน? จะมีอยู่หรือถ้าข้าบอกพวกเขาว่าประชาชนเหล่านั้นเป็นทหารของศัตรูที่ปลอมตัวมา? ถ้าข้าเป็นแม่ทัพ หน้าที่ของข้าคือปกป้องอาณาจักร ไม่ใช่แค่ประชาชนกลุ่มเดียว ข้าเชื่อว่าบนโลกนี้ไม่มีแม่ทัพคนไหนที่จะสามารถช่วยชีวิตประชาชนทุกคนได้หรอก ข้าไม่ต้องการความรักของพวกเขา ข้าแค่ต้องการให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ในสงครามต้องมีคนเสียสละเสมอ หรือข้าควรต้องยอมจำนนล่ะ?”
อาจารย์ร้องออกมาด้วยความโกรธ “ถึงจะต้องยอมแพ้ก็ยังดีกว่าคำตอบของเจ้า! ไม่ว่าเจ้าจะแก้ตัวอย่างไร ข้าก็จะให้เจ้า 0 คะแนนสำหรับคำตอบนี้! ในความเป็นจริง จากมุมมองของข้า ข้าไม่หวังอยากให้ชายหนุ่มที่มีนิสัยเหมือนเจ้าผ่านเข้าสู่โรงเรียนทหารและออกสู่สนามรบจริงๆ แน่”
โจวเหว่ยชิงเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม “เหอะ พวกคนโง่ชอบอวดภูมิ” อย่างไรในการสอบครั้งนี้เขาก็ไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว 0 คะแนนงั้นรึ เหอะ ช่างมัน! นอกจากนี้ ตราบใดที่เขาได้คะแนนเต็มสำหรับการทดสอบอื่นๆ เขาก็น่าจะสอบผ่านได้อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาค่อนข้างมั่นใจในการทดสอบความสามารถในการต่อสู้
ในขณะที่อาจารย์คนนั้นกำลังจะเขียน 0 บนกระดาษ ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ “ช้าก่อน!”
………………………………………………………..