Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 57.2 10 ปะทะ 9! (2)
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างนิ่งเฉยว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะเปรียบเทียบคุณภาพของแบบร่างของทั้ง 2 ฝั่งแทน ของใครมีคุณภาพสูงกว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ”
หยุนลี่พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ แต่ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นนอกจากพวกเราเห็นแบบร่างของข้า และข้าก็เชื่อว่าเจ้าน่าจะคิดเช่นเดียวกัน ไปหาสถานที่เงียบๆ ประลองกันดีกว่า”
“ร้านหมายเลข 77 ของเรามีห้องที่เงียบสงบอยู่ เชิญอาจารย์ทั้งสองเข้าไปที่นั่นเพื่อจะได้ไม่ถูกสิ่งภายนอก รบกวน”
ปฏิกิริยาของฉินเฟิงนั้นรวดเร็วมาก เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงได้รับชัยชนะในรอบก่อนหน้า หัวใจของเขาเต้นเร็วอย่างบ้าคลั่ง คิดกับตัวเองว่าโชคดีจริงๆ ที่ไปบังเอิญพบกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่มีพรสวรรค์สูงส่งเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้โจวเหว่ยชิงเป็นลูกค้าของเขาให้ได้! ฉินเฟิงสาบานกับตัวเองว่าหากโจวเหว่ยชิงต้องการสิ่งใดในอนาคต เขาจะขายให้อีกฝ่ายในราคาทุน! ตราบใดที่เขาสามารถรั้งให้ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้เป็นแขกผู้มีเกียรติของร้านได้ นั่นจะสามารถดึงดูดลูกค้าได้อีกมากมายและธุรกิจของเขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้คน ในอนาคตเมื่อโจวเหว่ยชิงกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า ร้านค้าของเขาก็จะถือว่ามีความสัมพันธ์กับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นหลังบ้านของเขาด้วยซ้ำ!
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ต้องการสถานที่เงียบๆ เพื่อใช้ในการประลอง เขาจึงรีบเสนอห้องให้พวกเขาตัดหน้าโจวฉางซีที่คิดจะทำเช่นเดียวกัน
โจวฉางซีเต็มไปด้วยความเสียใจ จ้องมองไปที่ฉินเฟิงด้วยความโกรธแค้น อนิจจา ไม่ว่ายังไงเขาก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาผู้หนึ่ง จึงรีบควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความโกรธ ท้ายที่สุดแล้วเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากหยุนลี่ เขาก็ไม่ใช่คนที่เล่นด้วยง่ายๆ อยู่แล้ว
โจวเหว่ยชิงขยับตัวก่อน เขาเชิญหยุนลี่ให้เดินนำไป หยุนลี่พยักหน้าและกล่าวว่า “เชิญ” ทั้งคู่จึงเดินตามฉินเฟิงเข้าไปยังร้านหมายเลข 77
หลังจากที่ทั้งคู่หายไปจากประตูร้านแล้ว ฝูงชนที่อยู่รอบๆ ก็พากันพึมพำอย่างโกรธเกรี้ยว พวกเขาไม่กล้าทำให้ โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ลำบากใจ แต่พวกเขาต้องการเป็นสักขีพยานในการแข่งขันอย่างแท้จริง ทั้งยังอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 2 คนกังวลจนต้องปกปิดเป็นความลับเช่นนี้ บางคนถึงขั้นพยายามจะตามเข้าไป แต่กลับถูกพนักงานของร้าน 77 ขัดขวางเอาไว้เสียก่อน
“ข้าต้องขอโทษทุกๆ ท่านด้วย แต่เถ้าแก่ร้านของเราได้สั่งเอาไว้ หากท่านต้องการจะซื้อสินค้าใดๆ โปรดรอจนกว่าอาจารย์ทั้ง 2 จะประลองกันเสร็จสิ้น”
มีเพียงฉินเฟิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เท่านั้นที่ติดตามทั้งคู่เข้าไป แม้แต่โจวฉางซีก็ถูกขัดขวางเอาไว้ที่ด้านนอก
หลังจากเข้ามาในร้าน ทั้ง 2 คนก็ไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมสินค้ามากมายที่อยู่ภายในร้านเช่นกัน พวกเขาติดตามฉินเฟิงไปยังชั้นที่ 2 ของร้านและมุ่งหน้าไปยังห้องที่ลึกที่สุด หลังจากที่ฉินเฟิงพาพวกเขาไปที่นั่น เขาก็เอ่ยว่า “เชิญท่านอาจารย์ทั้งสองเข้าไปข้างใน นี่เป็นห้องพักผ่อนส่วนตัวของข้า ดังนั้นพวกท่านจะไม่ถูกรบกวนแน่นอน ข้าจะอยู่ข้างนอกเพื่อคอยเฝ้ายามให้เอง” เขารู้สถานะของตนเองดีจึงไม่พยายามหาเรื่องเข้าไปดูการประลองด้วย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็หยุดอยู่ข้างนอกประตูเช่นกัน แม้หัวใจจะยังคงเต้นเร็วด้วยความตื่นตระหนก แต่ตอนนี้เธอก็มั่นใจในตัวของโจวเหว่ยชิงเต็มที่ ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยอารมณ์ที่แปรปรวนก่อนหน้า เธอยังไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เลยด้วยซ้ำ หากโจวเหว่ยชิงชนะการเดิมพันนี้อย่างแท้จริง อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขาก็จะมีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงอีกคนร่วมกับโจวเหว่ยชิง…และคนๆ นั้นยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูงที่อายุน้อยที่สุดของอาณาจักรเฟยหลี่!
หลังจากเข้ามาในห้อง ทั้งโจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานเบาๆ อย่างชื่นชม ห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก กะจากสายตาประมาณ 50 ตารางเมตรเท่านั้น แต่มันกลับได้รับการออกแบบและตกแต่งมาอย่างประณีต บนพื้นทั้งหมดมีพรมถูกปูเอาไว้ แม้จะไม่ได้ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด แต่จากที่พวกเขาสัมผัสด้วยตัวเอง นี่ต้องเป็นพรมที่สร้างจากขนของอสูรสวรรค์ทั้งผืน! การใช้ขนของอสูรสวรรค์เป็นพรมนั้นเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยมากทีเดียว! แม้แต่ขนสัตว์ที่ราคาที่ถูกที่สุดก็ยังราคาแพงมากอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นตัวพรมยังทำมาจากอสูรสวรรค์ชนิดเดียวกันและมีสีเดียวกันทั้งผืน
นอกเหนือจากนั้น ข้างในห้องยังมีเก้าอี้นวมบุด้วยหนังสีขาวที่ดูโอ่อ่าและสง่างาม ลึกเข้าไปข้างในห้องมีเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ นี่คือเครื่องเรือนหลักของห้องนี้ ทางด้านซ้ายมีตู้ที่ถูกแกะสลักไว้เป็นลวดลายสลับซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ตกแต่งห้องที่ดูวิจิตรงดงามอีกมากมาย บนเพดานยังมีแก่นพลังของอสูรสวรรค์ระดับปรมะติดอยู่คอยให้แสงสว่าง!
หยุนลี่เหยียดริมฝีปากและพึมพำกับตัวเอง “เถ้าแก่ร้านฉินคนนี้รู้วิธีหาความสำราญให้ตัวเองจริงๆ”
โจวเหว่ยชิงไม่ชักช้า เขารีบนั่งลงบนเก้าอี้นวมและพูดว่า “พี่ชายหยุนลี่ เราเริ่มกันเลยดีไหม?”
การแสดงออกของหยุนลี่ดูเคร่งขรึมขึ้น เขาหันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จากที่ได้ยินคนอื่นเรียก เจ้าชื่อโจวเหว่ยชิงใช่ไหม? น้องโจว หลังจากการประลองในวันนี้ ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ข้าอยากจะขอให้เจ้าเก็บเนื้อหาในครั้งนี้ไว้เป็นความลับ แบบร่างที่ข้ากำลังจะนำออกมานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง พวกเราเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ด้วยกันทั้งคู่ ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ย่อมรู้ว่าข้ารู้สึกอย่างไร แน่นอนว่าที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่ ข้าก็จะปฏิบัติตามเช่นกัน ข้าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแบบร่างที่เจ้านำออกมาแน่นอน”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ ตกลง”
หยุนลี่นั่งลงบนเก้าอี้นวมและหันหน้าไปทางโจวเหว่ยชิง อย่างไรการตรวจสอบแบบร่างใหม่ให้ถี่ถ้วนก็ต้องอาศัยพลังจิตวิญญาณสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแบบร่างระดับสูงที่ซับซ้อนและไม่สามารถสร้างได้ในเวลาอันสั้น
แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นรอบๆ ข้อมือของหยุนลี่ จากนั้นกระดาษศาสตรามณียุทธ์ที่ดูเก่าแก่ก็ปรากฏขึ้น โจวเหว่ยชิงโบกมือไปที่สร้อยมิติของเขาและหยิบกระดาษแบบร่างออกมาเช่นกัน
พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาและส่งมอบแบบร่างให้อีกฝ่ายพร้อมๆ กัน ในขณะที่รับแบบร่างของอีกฝ่ายมาถือไว้ในมือ ความรู้สึกเชื่อมโยงและชื่นชมซึ่งกันและกันก็ผุดขึ้นมา แน่นอนว่าการชื่นชมเป็นสิ่งหนึ่ง การเดิมพันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งคู่ย่อมต้องการให้อีกฝ่ายเป็นผู้ติดตามของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งคู่เป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากและยังไม่เคยมีผู้ใดรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์เป็นผู้ติดตามมาก่อนก็ตาม เนื่องจากปกติแล้วผู้ติดตามมักเป็นจ้าวมณีที่ทรงพลังนั่นเอง
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่แบบร่างในมือของตนเอง ชั่วพริบตาต่อมา ภาพที่น่าขบขันก็ปรากฏขึ้นเมื่อทั้งคู่ได้กระทำในสิ่งเดียวกัน มือของทั้งสองคนสั่นเทา อีกทั้งยังทำสีหน้าราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็น
เรื่องราวเป็นเหมือนโจวเหว่ยชิงได้คาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ หยุนลี่ได้ส่งแบบร่างระดับเทพเจ้าให้เขา มันจะเป็นชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานหรือไม่ เขาจะบอกได้ก็ต่อเมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมเท่านั้น
หยุนลี่เองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าโจวเหว่ยชิงจะนำแบบร่างเช่นนี้ออกมา เป็นอีกครั้งที่ทั้ง 2 คนเงยหน้าขึ้นและมองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็สามารถมองเห็นแววตาที่ตึงเครียดและจริงจังของกันและกันได้ทันที
เนื่องจากแบบร่างในมือของทั้งสองเป็นแบบร่างระดับเทพเจ้า สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นลำดับต่อมาคือการเปรียบเทียบคุณภาพ ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินเพราะพวกเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ
ทั้งคู่ก้มลงไปมองเบื้องล่าง คราวนี้มุ่งความสนใจไปที่แบบร่างในมือ พวกเขากำลังเคร่งเครียดมาก เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นการประลองที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งคู่โดยเฉพาะหยุนลี่ เนื่องจากการสูญเสียครั้งนี้หมายความว่าเขาจะกลายเป็นผู้ติดตามตลอดชีพของโจวเหว่ยชิงและสูญเสียอิสรภาพของเขาไปโดยสิ้นเชิง ด้วยพยานจำนวนมากที่อยู่ด้านนอก และศักดิ์ศรีของเขาในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาย่อมไม่สามารถกลับคำพูดของตัวเองได้ ดังนั้นเขาจึงต้องพยายามให้ดีที่สุดเท่านั้น ตราบใดที่เขาสามารถนำพาการประลองไปสู่รอบที่ 3 ได้ เขาก็มั่นใจว่าตนจะสามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างแน่นอน
แบบร่างระดับเทพเจ้านั้นซับซ้อนเกินไป และแบบร่างระดับดังกล่าวก็มีพลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายในเช่นกัน
สถานการณ์ของหยุนลี่นั้นดีกว่าเล็กน้อยเนื่องจากเขามีมณี 4 ดวง ทั้งยังเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง เนื่องจากการประลองรอบที่แล้วเขาไม่ได้สร้างม้วนคัมภีร์จนครบทั้งกล่อง ดังนั้นหลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงสามารถใช้สมาธิจดจ่อกับแบบร่างในมือได้
ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับประสบปัญหาบางอย่าง เขาเพิ่งเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ไม่นานนัก ในแง่ของการฝึกฝนจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับหยุนลี่แล้วเขาย่อมอ่อนแอกว่า เมื่อเขามองไปที่แบบร่างระดับเทพเจ้าในมือของตน เขาก็พลันรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที ลมปราณตีกลับจนแน่นหน้าอกไปหมด นั่นทำให้เขาแทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ดวงตาสามารถมองเห็นแค่ดาวลอยคว้าง ไม่อาจเพ่งมองแบบร่างได้อย่างชัดเจน
ดังเช่นคำกล่าวที่ว่า “วางแผนขึ้นอยู่ที่คน แต่ผลสำเร็จขึ้นอยู่ที่โชคชะตา” โจวเหว่ยชิงย่อมไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น หากเขาไม่สามารถตรวจสอบแบบร่างได้ เขาจะเปรียบเทียบคุณภาพของมันได้อย่างไร? ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา เขาจึงพยายามบังคับตัวเองให้มีสมาธิและจดจ่ออยู่กับมัน ทว่าก็ยังไม่สามารถบังคับพลังจิตวิญญาณของตนได้ง่ายๆ เช่นนั้น ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกเสียดแน่นหน้าอกเพิ่มขึ้นเท่านั้น ถ้าเขาพยายามฝืนทำต่อไป เขาอาจจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่
ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าแมวอ้วนที่อยู่ในอ้อมอกของเขากำลังดิ้นขลุกขลัก ในชั่วพริบตาต่อมา ไอเย็นสายหนึ่งก็ไหลวาบเข้ามาในร่างของเขา ทันใดนั้นความเจ็บปวดที่เสียดแทงเข้ามาในจิตวิญญาณที่สับสนก็ทำให้เขาแทบร้องโหยหวนออกมา ทว่าขณะที่ความเจ็บปวดกำลังวิ่งพล่านไปมานั้นเอง ไอเย็นสายนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วจิตวิญญาณของเขาเช่นกัน นั่นทำให้เขาสะดุ้งตื่นและดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบขึ้น
แบบร่างที่ดูพร่ามัวและทำให้เขาเวียนหัวเมื่อสักครู่นี้กลับแจ่มชัดขึ้นมาทันตาเห็น ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็สามารถตรวจสอบแบบร่างในมือได้อย่างเต็มที่
โจวเหว่ยชิงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาลูบแมวอ้วนอย่างมีความสุขพลางคิดกับตัวเองในใจว่า อ่า ดีจังที่มีเจ้าแมวอ้วนอยู่ด้วย!
หลังจากเหตุการณ์สั้นๆ นั้นผ่านไป ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ทั้งคู่จดจ่อสมาธิทั้งหมดไปที่แบบร่างในมือ สีหน้าของพวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อกวาดตามองไปเรื่อยๆ แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นบ่อยที่สุดคือท่าทางชื่นชมและยกย่องก็ตาม บางครั้งพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเพื่อลบล้างความคิดชื่นชมนั้นออกไป
เป็นครั้งแรกที่โจวเหว่ยชิงตระหนักว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมากเพียงใดจากการสำรวจแบบร่างระดับเทพเจ้า ราวกับว่านั่นคือประตูอีกบานที่ได้เปิดไปสู่โลกใบใหม่ทั้งหมด เขาจมอยู่กับการตรวจสอบแบบร่างอย่างรวดเร็ว ราวกับลืมไปว่าตนกำลังอยู่ระหว่างการเดิมพันครั้งสำคัญ
…
เมื่อท้องฟ้าข้างนอกมืดลง ไม่นานก็ถึงเวลาเย็น ขณะนี้โจวเหว่ยชิงและหยุนลี่ใช้เวลา ไปแล้ว 2 ชั่วโมงเต็มในห้อง
โจวฉางซีไม่สามารถเข้าไปในร้านหมายเลข 77 ได้ แต่เขาก็เป็นคนฉลาดที่รีบลงมือทำเช่นกัน เมื่อเห็นท้องฟ้ามืดลง เขาก็รีบให้พนักงานเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้กับฝูงชนที่รอคอยอยู่ข้างนอกทันที
แม้ว่าพวกเขาจะมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน แต่ก็ไม่มีใครยอมจากไปเพราะทุกคนย่อมต้องการทราบผลการประลองครั้งสุดท้าย
…
ภายในห้องนอน
…
“เฮ้อ” ในที่สุดหยุนลี่ก็ถอนหายใจออกมา เขาพยายามบังคับให้สายตาของตัวเองละออกจากแบบร่างในมือ พลังจิตวิญญาณของเขาถูกใช้ไปจนเกือบหมด หากเขายังฝืนตรวจสอบต่อไป นั่นอาจจะทำให้จิตวิญญานของเขาเสียหายได้
……………………………