Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 66.3 เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้นแล้ว! (3)
- Home
- Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา
- บทที่ 66.3 เจ้าแมวอ้วนวิวัฒน์พลังขึ้นแล้ว! (3)
โจวเหว่ยชิงรู้สึกโล่งใจมากที่อู่หยาไม่ใช่คนที่เดิมพันกับเขาก่อนหน้านี้ เขารู้ว่าหากไม่ใช้พลังขาขวาปีศาจแล้ว ความแข็งแกร่งของเขายังไม่สามารถเทียบกับเธอได้
อาการสั่นเทาของแมวอ้วนแย่ลงเรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงเพิ่งจะนั่งลง จู่ๆ เจ้าแมวอ้วนก็เงยหน้าขึ้น ไอหมอกสีขาวพุ่งทะลักออกมาจากปากของมันทันที
กลิ่นหอมหวานนั้นดูเหมือนจะโชยออกมาห่อหุ้มบริเวณรอบๆ หนักกว่าเดิมถึง 10 เท่า โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกราวกับว่ากลิ่นนั้นกำลังรุกล้ำเข้าสู่ทุกรูขุมขนของเขา ทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ
แมวอ้วนกระโดดขึ้นเหยียบไปบนร่างของโจวเหว่ยชิง เส้นขนของมันกำลังสว่างไสวไปด้วยแสงสีขาวเจิดจ้า ม่านแสงนั้นหนาแน่นจนเกือบจะกลายเป็นเกราะแสงห่อหุ้มอยู่รอบตัวของมัน แมวอ้วนครางออกมาเสียงต่ำๆ ฉับพลันนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งออกจากร่างของมันมุ่งหน้าตรงไปยังทางเข้าถ้ำ ก่อตัวเป็นกำแพงหนาทึบปิดทางเข้าเอาไว้โดยสมบูรณ์
“โฮกกกกก” เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง แมวอ้วนหันกลับมามองโจวเหว่ยชิง ดวงตาของมันกลายเป็นสีม่วงเข้ม ในเวลาต่อมาร่างกายของมันขยายออกอย่างรวดเร็ว ไม่ช้ามันก็กลายเป็นเสือขาวขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 5 เมตร
ตอนนี้โจวเหว่ยชิงกำลังรู้สึกเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เจ้าแมวอ้วนได้ปลดปล่อยไอหมอกสีขาวออกมาจากปากของมันและไอพวกนั้นก็ได้รุกล้ำเข้ามาในร่างกายของเขา จนตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่าร่างกายกำลังร้อนขึ้นมาจากภายใน ไอความร้อนจากตัวของเขาทำให้เสื้อผ้ากำลังหลอมละลาย สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือไม่เพียงแต่มณีสวรรค์ของเขาจะปรากฏขึ้นมาเองโดยไม่ต้องปลดปล่อยพวกมันออกมา แม้แต่ลายเสือที่มักจะปรากฏเฉพาะช่วงที่เขาเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างก็ยังปรากฏขึ้นบนผิวหนังของเขาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น วงล้อทักษะธาตุที่อยู่ในดวงตาของเขาก็กำลังหมุนคว้างอย่างควบคุมไม่ได้
เดิมทีความร้อนที่ปะทุขึ้นจากภายในร่างกายทำให้เขารู้สึกอบอุ่นสบายตัว ทว่าไม่นานมันก็กลายเป็นความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนและเขารู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในกำลังถูกเผาไหม้ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเลือด กล้ามเนื้อพลันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนปูดโปน กระดูกเบียดกันจนส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นคำว่า ‘ราชา’ ก็ปรากฏบนหน้าผากของเขาอีกครั้ง เขาเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างอย่างไม่ตั้งใจ! เจ้าแมวอ้วนคือผู้ที่สามารถทำให้เขาเข้าสู่สภาวะเช่นนี้ด้วยไอหมอกสีขาวของมัน!
เจ้าแมวอ้วนจับจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง แม้ว่าร่างกายของมันจะยังคงสั่นเทาไม่หยุด แต่ดวงตาของมันก็ยังคงนิ่งสงบและเยือกเย็น ขณะที่มันกำลังขยายขนาดขึ้น เพียงหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง มันก็สามารถทำให้ตัวเองขยายใหญ่ขึ้นไปได้อีก ในเวลาต่อมา เจ้าแมวอ้วนก็พ่นไอหมอกออกมาอีกครั้ง คราวนี้ไอหมอกนั้นมีแสงสีขาวและสีทองผสมกันอยู่ ไอเหล่านั้นรีบตรงเข้าไปห่อหุ้มร่างกายของโจวเหว่ยชิงเอาไว้ทันที
เดิมทีสถานะปีศาจกลายร่างจะทำให้ร่างกายของโจวเหว่ยชิงอยู่ในสภาพที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นประสาทสัมผัสของเขาจึงถูกปลุกเร้าให้อยู่ในระดับสูงสุดเช่นกัน น่าเสียดายที่ในขณะนี้เขาพบว่าตนเองไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่ส่วนเดียว พลังปราณสวรรค์ในร่างกายของโจวเหว่ยชิงกำลังไหลวนไปมาอย่างปั่นป่วน จุดตายทั้ง 12 และหลุมดำพลังปราณกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่งเพื่อกลืนกินไอหมอกที่เจ้าแมวอ้วนปลดปล่อยออกมา เมื่อไอหมอกสายนั้นซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของโจวเหว่ยชิง ความรู้สึกแสบร้อนก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจนทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังจะหลอม ละลาย
นับตั้งแต่พลังปราณสวรรค์ของเขาเริ่มทะลวงเข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพ พลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงก็ถูกบีบอัดให้อยู่ในรูปของเหลว เมื่อเทียบกับความกว้างของเส้นชีพจรแล้ว พลังปราณสวรรค์ในรูปของเหลวนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงกระแสน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านท่อกว้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เขายังไม่ได้เข้าสู่ขั้นทะลวงพิภพอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ เรียกได้ว่ากำลังอยู่ในระดับที่ 12 และยังไปไม่ถึงระดับที่ 13 ซึ่งเป็นระดับแรกของขั้นทะลวงพิภพ
อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าพลังปราณสวรรค์รูปของเหลวสีขาวในร่างกายของเขากำลังระเหยกลายเป็นควันสีขาว ทว่ารูปลักษณ์ของพลังปราณในตอนนี้กลับดูแตกต่างจากสีขาวดั้งเดิมเนื่องจากมันได้ผสานเข้ากับไอหมอกของเจ้าแมวอ้วนจนกลายเป็นควันสีทองเข้ม ควันสีทองนี้พยายามจะแทรกผ่านร่างกายของเขาออกมา ราวกับหาทางทำให้ร่างกายของเขาระเบิดออกให้ได้
เมื่อควันเหล่านั้นชำแรกผ่านพลังปราณสวรรค์ในร่างของโจวเหว่ยชิงไป พลังปราณของเขาก็จะถูกย้อมจนกลายเป็นสีทองไปด้วย
ในขณะนั้น แสงวาววับในดวงตาของเจ้าแมวอ้วนก็ทวีความรุนแรงขึ้น แสงสีม่วงเข้ม 2 สายพลันพุ่งเข้าหาดวงตาของโจวเหว่ยชิงทันที สายตาของเขาจึงล่องลอยอยู่ท่ามกลางแสงสีม่วงเหล่านั้น รู้สึกราวกับว่าตนถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ ทั้งร่างสั่นสะท้าน สมองพลันรู้สึกว่างเปล่า
เจ้าแมวอ้วนร่างยักษ์ยังคงมีอาการสั่นเทาขณะที่มันค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง ไม่นานเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หมอกสีขาวทองค่อยๆ ตรงเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของมันเอาไว้ แมวอ้วนเริ่มกระบวนการเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง แขนขาของมันเริ่มยาวขึ้นและร่างกายก็ค่อยๆ หดเล็กลง ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มันก้าวเดิน ท่ามกลางแสงสลัวของไอหมอก มันก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์จากเสือขาวตัวใหญ่กลายเป็นมนุษย์คนหนึ่ง…นั่นคือบุคคลที่โจวเหว่ยชิงเคยพบมาก่อน…ผู้ที่เคยช่วยจักรพรรดิสีเงิน…และช่วยโจวเหว่ยชิง…เธอก็คือเทียนเอ๋อร์!
ตอนนี้ร่างกายของเทียนเอ๋อร์กำลังเปลือยเปล่า ศีรษะปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาวที่ยาวคลอเคลียลงไปตั้งแต่แผ่นหลังจรดบั้นท้าย ช่วยปกปิดร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายเอาไว้ได้พอดี ดวงตาของเธอเรืองรองไปด้วยแสงสีม่วงเข้ม ร่างกายยังคงสั่นเทาเหมือนเคย ผิวขาวบริสุทธิ์ดุจน้ำนมด่างพร้อยไปด้วยลายเสือ แม้ว่าจะมันจะเป็นสีฟ้าซึ่งแตกต่างจากลายเสือสีดำของโจวเหว่ยชิงก็ตาม ลวดลายบนลำตัวของพวกเขาทั้ง 2 ดูเหมือนจะดึงดูดซึ่งกันและกัน และเมื่อเทียนเอ๋อร์กลายร่างเป็นมนุษย์ ลวดลายเหล่านั้นก็ยิ่งดูชัดเจนขึ้นในความมืด
เธอโบกมือขึ้นทีหนึ่ง ร่างที่หมดสติของโจวเหว่ยชิงพลันลอยขึ้นมาในอากาศและตรงเข้าสู้อ้อมอกของเธอทันที
เวลานี้ดวงตาของเทียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยรังสีสังหารอย่างรุนแรง เล็บของเธอดูเหมือนจะงอกออกมาจนกลายเป็นกรงเล็บเสือที่ทรงพลัง ทั้ง 5 นิ้วเปล่งประกายไปด้วยแสงเยียบเย็นขณะที่มันตะปบเข้าที่ไหล่ของโจวเหว่ยชิง
ทันใดนั้นเทียนเอ๋อร์ก็ยกมือขวาโฉบขึ้นเหนือศีรษะของโจวเหว่ยชิง ด้วยแรงผันผวนของพลังปราณสวรรค์ หากกรงเล็บของเธอตวัดลงไปเมื่อไหร่ มันจะก็สามารถทะลุเข้าไปในศีรษะของโจวเหว่ยชิงได้ทันที
ทว่าในเวลาเดียวกันแววตาของเธอก็ฉาวแววลังเล ราวกับว่าตนเองกำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไป ในห้วงความคิดของเทียนเอ๋อร์ ภาพความทรงจำในเวลา 2 ปีที่ผ่านมากำลังฉายชัดอยู่ภายในนั้น นั่นคือช่วงเวลาที่พวกเขาเคยใช้ร่วมกันมาอย่างยาวนาน
เธอยกกรงเล็บขึ้นอีกครั้ง กัดริมฝีปากแน่นในขณะที่พยายามจะข่มใจตวัดมันลงไปอีกครั้ง แต่ในขณะที่กรงเล็บอยู่ห่างจากศีรษะของโจวเหว่ยชิงเพียงไม่กี่นิ้ว มือของเธอก็หยุดชะงักลงอีกครั้ง …
“ทำไม? ทำไมข้าถึงฆ่าเขาไม่ได้?” น้ำเสียงสั่นๆของเทียนเอ๋อร์ดังลอดออกมา “ข้าควรจะฆ่าเขา นั่นเป็นแผนของข้ามาโดยตลอด…หลังฆ่าเขา ข้าก็จะได้ประโยชน์มหาศาล แต่…แต่…ทำไมข้าถึงทำไม่ได้ล่ะ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือ ว่า…จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า…ไม่! เป็นไปไม่ได้…ข้าจะชอบเจ้าคนไร้ยางอายและน่ารังเกียจที่ชอบกลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าจะต้องฆ่าเขาทิ้งซะ!”
น้ำเสียงของเทียนเอ๋อร์นั้นฟังดูแน่วแน่มาก แต่กรงเล็บที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของโจวเหว่ยชิงกลับยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิมและไม่อาจตัดใจตวัดมือลงไปได้
ทันใดนั้นเธอก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครึ่งก้าว กางแขนและสวมกอดโจวเหว่ยชิงเอาไว้แน่น ขณะนี้ทั้งคู่กำลังเปลือยเปล่าและร่างกายของพวกเขาก็กำลังบดเบียดเข้าหากัน หากโจวเหว่ยชิงยังมีสติอยู่ เลือดกำเดาก็คงจะพุ่งกระฉูดออกมาจากจมูกของเขาเป็นแน่
หลังจากสวมกอดโจวเหว่ยชิงแล้วเธอก็กัดเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างรุนแรง
ในขณะที่ร่างกายของทั้งคู่แนบชิดกัน ลายเสือบนร่างกายของพวกเขาก็ดูเหมือนจะดึงดูดซึ่งกันและกัน ลายเสือสีดำและสีฟ้ากำลังยืดขยายเข้าหากันคล้ายระรอกคลื่นที่กำลังขยับด้วยท่าทางแปลกแปลกประหลาด
เทียนเอ๋อร์ตกตะลึงขึ้นมาทันที เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น สิ่งที่แปลกที่สุดคือแม้เธอจะกัดลงไปบนไหล่ของเขา แต่มันก็ไม่ได้ระคายเคืองผิวของเขาแม้แต่น้อย กระทั่งรอยฟันก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นด้วยซ้ำ
ความร้อนที่ลุกโชนภายในร่างของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะกำลังถูกถ่ายเทไปยังร่างของเทียนเอ๋อร์ ลายเสือสีดำและสีฟ้าคล้ายจะพุ่งเข้าคลอเคลียกันท่ามกลางระรอกคลื่นที่แสนบ้าคลั่ง
ใบหน้าของเทียนเอ๋อร์ซึ่งเดิมฉายแววเจ็บปวดค่อยผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อลายเสือบนตัวของทั้งคู่ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน แสงสีดำและสีฟ้าจากร่างกายของพวกเขาเคลื่อนไหวอย่างน่าแปลกประหลาด ราวกับเส้นแสงเหล่านั้นกำลังเต้นระบำด้วยกันรอบๆ ร่างของคนทั้งคู่
เมื่อเวลาผ่านไป แสงสีดำและสีฟ้าก็เข้มข้นและหมุนวนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มองไม่เห็นร่างของคนทั้งคู่
บริเวณด้านบนของรังไหมนี้ จู่ๆ ดวงแสงที่มีสีแตกต่างกัน 4 สีก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น ดวงแสงด้านบนศีรษะของเทียนเอ๋อร์เป็นสีทองและสีม่วง ในขณะที่ดวงแสงที่หมุนวนอยู่เหนือร่างของโจวเหว่ยชิงเป็นสีเทาและไม่มีสีตามลำดับ แสงทั้ง 4 ดวงต่างสาดแสงลงมา ก่อให้เกิดกำแพงแสงลักษณะแปลกประหลาดรอบๆ ร่างของพวกเขาทั้งคู่ สิ่งนี้ทำให้รังไหมแสงดูน่าอัศจรรย์มาก
แน่นอนว่าภาพแปลกๆ ภายในถ้ำนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ฟังดูเงียบสงบเท่าไหร่เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เมื่อทางเข้าถ้ำถูกปิดกั้นด้วยแสงสีขาว ทุกคนต่างก็รู้สึกตกตะลึงอย่างควบคุมไม่อยู่ ทว่าพวกเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านั่นต้องเป็นความสามารถในการป้องกันตนเองของเจ้าแมวอ้วนแน่นอน อีกทั้งจากไอพลังที่แผ่ออกมาจากกำแพงที่เจ้าแมวอ้วนสร้างขึ้น หลินเทียนอ้าวและคนอื่นๆ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าเจ้าแมวอ้วนนั้นมีความพิเศษเพียงใด
“ทุกคนระวังตัวด้วย แม่นางปิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่กับข้า ส่วนสี่น้อยออกลาดตระเวนแถวๆ นี้ ขี้เมาเป่า อู่หยา เจ้าทั้ง 2 คนเฝ้าที่ด้านข้าง เซียวเอี๋ยน เจ้ากับเย่เป่าเปามีทักษะธาตุไฟและธาตุน้ำ พวกเจ้ามีหน้าที่ช่วยโจมตีจากระยะไกล”
หลินเทียนอ้าวสามารถมอบหมายหน้าที่ให้ทุกคนด้วยประโยคที่เรียบง่าย ในฐานะผู้นำ ความสุขุมเยือกเย็นและความหนักแน่นของเขาจะทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในฐานะคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา หลินเทียนอ้าวต้องเป็นตัวประสานที่ยึดพวกเขาไว้ด้วยกัน หน้าที่ของเขาคือรีบลงมือแบ่งงานทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
เมื่อทุกคนเข้าได้รับมอบหมายหน้าที่ของตนเองแล้ว สี่น้อยก็ทะยานขึ้นไปในอากาศอย่างว่องไวและหายไปกลางพงไม้อย่างเงียบเชียบ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ หลินเทียนอ้าว เธอรีบหยิบของขวัญที่หัวเฟิงมอบให้เธอออกมาจากแหวนมิติ แน่ นอนว่านั่นคือธนูวิญญาณมรกต ธนูยาวสีเขียวคันนี้มีขนาดเล็กและเห็นได้ชัดว่าไม่เทอะทะเหมือนธนูอุษาดำของโจวเหว่ย ชิง เพียงแค่กวาดตาดูก็รู้สึกว่ามันต้องน้ำหนักเบาและเร็วมากแน่
เมื่อมองไปที่คันธนูในมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หลินเทียนอ้าวก็รีบถามขึ้นมา “แม่นางปิงเอ๋อร์ เจ้าก็เป็นนักธนูด้วยหรือ?”