Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 68.2 หญิงสาวชุดดำผู้ลึกลับ (2)
เมื่อเทียบกับความโกลาหลภายนอกถ้ำแล้ว ภายในถ้ำนั้นกลับเงียบสงบกว่ามาก ดวงแสงทั้ง 4 สีกำลังส่องสว่างอยู่เหนือรังไหมขนาดใหญ่ พลังปราณค่อยๆ แทรกผ่านออกมาในรูปแบบที่แปลกประหลาด สามารถมองเห็นเส้นแสงสีดำและสีฟ้าที่ขยับเคลื่อนไหวไปมาอย่างชัดเจน ในตอนแรกดูเหมือนว่าแสงสีฟ้าจะมีพลังมากกว่า แต่เมื่อเวลาผ่านไปแสงสีดำก็ดูเหมือนจะได้รับแรงกระตุ้นและมีพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันมีพลังเทียบเท่ากับแสงสีฟ้า
ในขณะที่เส้นแสงทั้งสอง 2 กำลังพัวพันเกี่ยวรัดและคลอเคลียซึ่งกันและกัน ดวงแสงทั้ง 4 ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
…
โชคของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ยังถือว่าค่อนข้างดี ทุกอย่างเป็นเหมือนดังที่หลินเทียนอ้าวเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าใกล้ๆ กับถนนสายหลักของอาณาจักรจ้งเทียนไม่มีสัตว์สวรรค์มากนัก แต่ก็แน่นอนว่ายังมีอสูรสวรรค์อีกมากมายอยู่ลึกเข้าไปในป่า ทว่าพวกมันก็อาศัยอยู่ค่อนข้างห่างจากจุดที่พวกเขาเฝ้าอยู่และกลิ่นอายที่เสือขาวตัวน้อยปล่อยออกมาเมื่อเข้าสู่การวิวัฒน์ระดับก็มีระยะทางจำกัดเช่นกัน
หลังจากรับการโจมตี 2 ระรอกแรกจากสิงโตโลหิตเพลิงและลิงปีศาจธาตุมืด อีก 6 ชั่วโมงต่อมา การโจมตีระรอกที่ 3 ก็มาถึง หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกโจมตีอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง แต่ก็เป็นการโจมตีเล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้ดุเดือดมากนัก แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดจะรับมือได้ยากมาก แต่พวกเขาก็ยังสามารถผ่านพ้นไปได้
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกในกลุ่มก็ตระหนักถึงบางสิ่งที่สำคัญ อสูรสวรรค์ที่โจมตีพวกเขาทั้งหมดสูญเสียการควบคุมตนเอง พวกมันบางตัวถึงกับบ้าคลั่งและสูญเสียสติสัมปชัญญะ นั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกมันไม่สามารถใช้พลังของตนเองได้อย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น อสูรสวรรค์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นระดับเทวะทั้งหมด หรือไม่ก็ถูกนำมาโดยอสูรสวรรค์ระดับเทวะ
…
เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ล่วงเลยไป 3 วันแล้ว ในช่วงเวลานั้นพวกเขาถูกโจมตีเป็นระยะๆ และการต่อสู้ที่ยากลำบากที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาถูกโจมตีโดยอสูรสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดจำนวน 2 ตัว ในช่วงเวลาสุดท้าย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงปล่อยหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งทั้ง 2 ตัวออกมาช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดพวกเขาก็สามารถพักหายใจได้บ้าง ด้วยการทำงานประสานกันเป็นกลุ่มและการเสียสละของสมาชิกหลายคน แม้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักแต่ในที่สุดก็สามารถเอาชนะอสูรสวรรค์ระดับเทวะขั้นสูงสุดไปได้แบบแทบกระอักเลือด
สี่น้อยทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างหมดแรง เขาหอบหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง “ข้าสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว หัวหน้า ข้ากำลังจะตาย! หากพวกเรายังคงปักหลักสู้ต่อไป แม้ว่าเราจะไม่ถูกอสูรสวรรค์ฆ่าตาย พวกเราก็ต้องกลายเป็นบ้า!”
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พวกเขาใช้เวลาทุกๆ วินาทีไปกับการระแวดระวังภัย ประสาทสัมผัสของพวกเขาจึงถูกขึงจนตึงอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีอสูรสวรรค์โผล่เข้ามาโจมตี เนื่องจากพวกเขาต้องตื่นตัวอยู่เสมอและต้องอสู้กับอสูรสวรรค์ระรอกแล้วระรอกเล่า สิ่งเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจพวกเขาอย่างมาก ถึงแม้ว่าอสูรสวรรค์เหล่านี้จะกำลังบ้าคลั่งจนทำให้ความฉลาดและทักษะของพวกมันจึงลดลงไปมาก แต่นั่นก็ยังทำให้พวกมันไม่ยอมล่าถอยกลับไปเช่นกัน พวกมันจึงทำได้เพียงแค่ต่อสู้จนตัวตายเท่านั้น
บาดแผลบนร่างกายและพลังปราณที่สูญเสียไปอย่างต่อเนื่องกำลังส่งผลร้ายต่อทุกคน แต่สิ่งที่แย่ที่สุดคือจิตวิญญาณของพวกเขา หลังจากต่อสู้มา 3 วัน 3 คืนอย่างต่อเนื่องและได้พักผ่อนเป็นเวลาที่จำกัด แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังรู้สึกอ่อนล้า อีกทั้งจิตวิญญาณก็บอบช้ำอย่างรุนแรง คนที่หนักแน่นมั่นคงเช่นหลินเทียนอ้าวหรือคนหนังหนาอย่างอู่ หยายังพอจะรับมือกับสิ่งนี้ไหว แต่สมาชิกในกลุ่มที่เหลือนั้นกำลังย่ำแย่ถึงขีดสุด
มาถึงจุดนี้ ความแตกต่างของพลังและลักษณะนิสัยของแต่ละคนก็ถูกเปิดเผยออกมาจนหมด ส่วนคนที่ล้มลงเป็นคนแรกไม่ใช่คนที่มีระดับพลังปราณต่ำสุดอย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่กลับเป็นเย่เป่าเปา
แม้ว่าเย่เป่าเปาจะเป็นมีมณี 4 ชุด แต่ในฐานะลูกชายของเสนาบดีใหญ่ เขาจึงได้ใช้ชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก แม้เขาจะได้รับการฝึกฝนมาบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก นับประสาอะไรกับการต่อสู้ที่ดุเดือดและกินเวลายาวนานเช่นนี้ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงนอนหมดสติพิงทางเข้าถ้ำอยู่อย่างหมดสภาพ
คนต่อมาที่ประสบปัญหาก็ยังไม่ใช่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ หลังจากฝึกหนักมา 2 ปีและมีประสบการณ์ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ยากลำบากเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พวกเขาปกป้องอยู่คืออ้วนน้อยคนสำคัญของเธอ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เธอจึงไม่อาจยอมแพ้ ไม่ว่าจะเหนื่อยล้าแค่ไหนเธอก็จะเอาชนะมันไปด้วยความมุ่งมั่น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจไม่มีพลังมากนัก เมื่อเทียบกับอสูรสวรรค์ระดับเทวะก็แทบจะไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้นอกจากโจมตีก่อกวน แต่หากเป็นอสูรสวรรค์ระดับเทวะที่นำฝูงอสูรสวรรค์ระดับปรมะมาหลายๆ ตัว เธอก็จะกลายเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่สุดในการป้องกันกลุ่ม แค่ทักษะการยิงธนูเร็วของเธอเพียงอย่างเดียวก็สามารถยับยั้งอสูรสวรรค์ระดับปรมะจำนวนมากเอาไว้ได้แล้ว และนั่นก็ช่วยยื้อเวลาให้เพื่อนในกลุ่มสามารถจัดการกับศัตรูทั้งหมดได้อย่างสบายๆ
ตอนนี้เรี่ยวแรงของสี่น้อยใกล้จะหมดลงเต็มที หน้าที่ของเขาคือวิ่งวุ่นไปทุกที่ๆต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้น ความเร็วของเขาก็มักเป็นกุญแจสำคัญที่สนับสนุนให้แผนการประสบความสำเร็จ
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังต้องลาดตระเวนเพื่อสอดแนมไปทั่ว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพลังวิญญาณของเขาก็ถูกใช้ไปมากเช่นกัน
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วและมองกลับไปที่ทางเข้าถ้ำ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม จะไม่ให้เขาได้อย่างไร? เมื่อมองไปที่สภาพที่อ่อนแอของสมาชิกทุกคนรวมถึงการโจมตีต่อเนื่องจากเหล่าอสูรสวรรค์ เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้น เพราะทันทีที่พวกเขาไม่สามารถรับมือกับการโจมตีของเหล่าอสูรสวรรค์ได้ นั่นหมายความว่าพวกมันอาจจะโผล่มาที่นี่ หลินเทียนอ้าวสูดหายใจเข้าลึกและตัดสินใจด้วยความเด็ดเดี่ยว “อู่หยา ขี้เมาเป่า เจ้าทั้ง 2 พาคนที่เหลือมุ่งหน้าไปในเมืองก่อน ส่วนตัวข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องถ้ำ”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ตกละตึงจนตาค้าง ขี้เมาเป่ารีบร้อนเอ่ยแทรกขึ้นมา “พวกเราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวเนี่ยนะ!?”
3 วันที่ผ่านมา ผู้ที่รับแรงกดดันมากที่สุดย่อมเป็นหลินเทียนอ้าว อสูรสวรรค์ระดับเทวะถูกเขากันเอาไว้ทุกตัว เป็นเพราะพลังป้องกันและทักษะต่อสู้ของเขาที่ทำให้กลุ่มของพวกเขายืดหยัดอยู่ได้นานขนาดนี้ ดังนั้นในแง่ของการใช้เรี่ยวแรง ใครจะกล้าพูดว่าเหนื่อยมากกว่าเขา!
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างเคร่งขรึม “นี่เป็นคำสั่ง ด้วยจำนวนของพวกเจ้า กลุ่มของเราก็จะยังคงสามารถเข้าร่วมงานประลองมณีสวรรค์ได้ แม้ว่าข้าและโจวเหว่ยชิงจะไม่รอด นั่นก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งกลุ่ม รีบออกไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด ตราบใดที่ไม่อยู่ใกล้ทางเข้าถ้ำ พวกเจ้าก็น่าจะปลอดภัย ถ้าโจวเหว่ยชิงและข้ารอดไปได้ พวกเราหาทางจะติดต่อพวกเจ้าภายหลัง”
“พี่ใหญ่หลิน ข้าจะไม่จากไปแน่นอน ข้าจะอยู่ที่นี่และปกป้องสถานที่นี้ร่วมกับท่าน” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่ลังเล ตอนนี้อ้วนน้อยของเธอยังอยู่ข้างในนั้น เธอจะยอมจากไปได้อย่างไร?
สี่น้อยรวบรวมพลังทั้งหมดของเขาเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง “ข้าจะไม่ทิ้งท่านไว้ที่นี่คนเดียวเช่นกัน หัวหน้า ถ้าพวกเราจากไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ถ้าท่านต้องการจะจากไป พวกเราก็จะออกไปด้วยกัน แต่ข้าคิดว่าเราทุกคนควรอยู่ อย่างไรพลังของข้ายังอยู่ได้อีกสักพัก” ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะแนะนำให้ทุกคนรีบออกไปจากที่นี่และละทิ้งโจว เหว่ยชิงเอาไว้ แต่ทว่าโจวเหว่ยชิงก็เคยช่วยเหลือเขาและขี้เมาเป่าเอาไว้ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาติดหนี้บุญอีกฝ่ายอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าสี่น้อยจะดูเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจใครที่สุดในบรรดาสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด แต่ ณ เวลานี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่าตนจะอยู่เพื่อปกป้องโจวเหว่ยชิง
“เหลวไหล ข้าบอกว่านี่เป็นคำสั่ง!” หลินเทียนอ้าวร้องออกมาด้วยความโกรธ แสดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีและอำนาจของผู้นำ
อนิจจา น่าเสียดายที่ในขณะนี้ไม่มีใครยอมเชื่อฟังคำสั่งของเขา อู่หยาหันหน้าหนีไปทางอื่น ยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้านพลางบริหารกล้ามเนื้อ ต้องบอกว่าอู่หยาคู่ควรกับตำแหน่งอัจฉริยะอันดับต้นๆ ของเผ่าอีกาทองจริงๆ หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือด 3 วัน 3 คืน เธอก็เป็นคนเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลย เมื่อใดก็ตามที่อสูรสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น การโจมตีของเธอก็มักจะโหดเหี้ยมที่สุด แม้จะมีบาดแผลตามร่างกายอยู่บ้าง แต่เธอก็ยังดูเฉยเมยและผ่อนคลาย บางทีในแง่ของระดับพลังปราณและพละกำลัง เธออาจจะไม่ทรงพลังเท่าขี้เมาเป่าหรือเซียวเอี๋ยนที่มีมณี 5 ชุด แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้ที่บ้าคลั่งสุดชีวิต ผลลัพธ์สุดท้ายก็ย่อมเป็นชัยชนะของเธออย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรเผ่าอีกาทองมีชื่อเสียงด้านความกล้าในการสู้รบ และเธอก็ถือเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆในยุคนี้! ในบรรดาสมาชิกเผ่าทั้งหมด แม้ไม่นับรวมว่าเธอมีมณีสวรรค์ เพียงเพราะความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงอย่างเดียว เธอก็ยังมีชื่อเสียงสูงส่งมากในเผ่า
สี่น้อยปิดปากเงียบขณะที่ขี้เมาเป่านั่งแหมะลงบนพื้นและฮัมเพลงกับตัวเองเบาๆ เซียวเอี๋ยนมองไปที่หลินเทียนอ้าวและพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “พวกเราคือกลุ่มเดียวกัน”
ทันใดนั้นเสียงที่กระจ่างชัดก็ดังขึ้น “หวาาาา! ทำไมมีซากศพเยอะจัง! น่ากลัวมาก!”
ทุกคนชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้น ตลอด 3 วันที่ผ่านมาพวกเขาได้เผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์มากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบกับมนุษย์คนอื่นๆ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ค่อนข้างไกลจากถนนหลัก และแม้ว่าจะมีนักเดินทางเลือกพักผ่อนอยู่ข้างทางบ้าง พวกเขาก็จะไม่มุ่งเข้ามาในป่าลึกมากนัก
หญิงสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างต้นไม้พร้อมกับเสียงหวานใสคล้ายกระดิ่งต้องลม เธอดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยซ้ำ อายุน่าจะราวๆ 16-17 ปี ผมเปียสีดำสองข้างทำให้อีกฝ่ายมีบรรยากาศคล้ายน้องสาวข้างบ้าน ดวงตากลมโตของเธอดูสดใสและน่าประทับใจ ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพวกเขามากที่สุดคือการที่ม่านตาดำของเธอเป็นสีเทาสลัว เพราะนั่นถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก!
หญิงสาวคนนี้สูงไม่มากนัก เธอสูงเพียงแค่ 1.6 เมตร ทว่าเธอก็ยังมีสัดส่วนงดงามเหมาะสมกับวัยเด็กแรกรุ่น เต็มไปด้วยแรงเสน่ห์ของคนรุ่นเยาว์ เธอสวมชุดคลุมสีดำที่ยาวไปถึงพื้น หญิงสาวคนนี้ดูน่ารักน่าชังมาก แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในป่า แต่เท้าของเธอกลับเปลือยเปล่า อีกทั้งยังดูเหมือนไม่รู้สึกรู้สาขณะเดินย่ำไปบนพื้นดินแข็งๆ
เวลานี้เธอกำลังจ้องมองไปที่กองเลือดในบริเวณนั้น รวมถึงซากศพของเหล่าอสูรสวรรค์ที่ตายแล้ว เธอยกมือขึ้นทาบหน้าอก ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้างราวกับแสดงความหวาดกลัว
อู่หยาหัวเราะและพูดว่า “น้องสาว เจ้ามาจากไหนหรือ? พ่อแม่ของเจ้าอยู่ไหน? เข้าป่าคนเดียวมันอันตรายนะ”
หญิงสาวชุดดำมองดูอู่หยาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ว้าว! พี่สาว ท่านสูงมาก! ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่สูงเท่าท่านมาก่อน สูงกว่าข้ามากๆๆๆๆ!” ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น เธอใช้มือของเธขยับขึ้นลงให้เห็นความแตกต่างระหว่างความสูงของทั้ง 2 คน
อู่หยาหัวเราะอีกครั้ง เธอเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นพร้อมกับยกมือขึ้นราวกับจะลูบศีรษะเธอ แต่ทว่าในขณะที่อู่ หยาอยู่ห่างจากเด็กหญิงไปประมาณ 1 หลา จู่ๆ มือของเธอก็พุ่งออกไปกำรอบคอของหญิงสาวคนนั้นเอาไว้
จู่ๆ หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ปรากฏตัวขึ้นมาดื้อๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่มีใครสงสัยได้อย่างไร? แม้ว่าอู่หยาจะมีหนังหนา แต่เธอก็ไม่ได้โง่ ในความเป็นจริงเธอซ่อนความฉลาดของเธอไว้เบื้องหลังรูปลักษณ์ที่ดูทึมทื่อและโง่เขลา ในจังหวะนั้นเธอลงมืออย่างกะทันหันมาก ไม่เพียงแต่หญิงสาวชุดดำที่ถูกเธอคว้าตัวเอาไว้ แม้แต่คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
อู่หยาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน? ด้วยความแข็งแกร่งของเธอ แม้หลินเทียนอ้าวที่มีระดับพลังปราณสูงกว่าจะถูกเธอคว้าคอ เขาก็คงไม่สามารถหลบหลีกได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มือของอู่หยากำลังจะเอื้อมไปถึงลำคอของอีกฝ่าย ร่างของหญิงสาวผู้นั้นกลับลอยวูบหลบออกไปข้างๆ เหมือนควันไฟ ดูเหมือนจะขยับอย่างเชื่องช้า แต่ก็หลุดลอดออกไปจากมือของอู่หยาได้อย่างง่ายดาย ดวงตากลมโตของเธอดูไร้เดียงสาเมื่อมองไปที่อู่หยาด้วยใบหน้ารู้สึกผิด
ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ดวงอาทิตย์กำลังลอยอยู่เหนือศีรษะด้านบน มันสาดแสงทะลุผ่านเหล่าแมกไม้ลงมา นำพาความอบอุ่นอ่อนโยนมาสู่ทุกคนท่ามกลางร่มเงาของใบไม้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางการขยับหลบหลีกที่แสนเรียบง่ายของหญิงสาวชุดดำ หัวใจของทุกคนก็พลันหนาวสั่นขึ้นมาทันที