Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 7.2 ข้อตกลง (2)
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ผลักโจวเหว่ยชิงออกให้พ้นทางและพุ่งตัวไปยังประตูทางออก เมื่อเธอเปิดกระโจม อากาศบริสุทธิ์เย็นสบายก็พัดเข้ามาภายใน เธอหายใจลึกๆ เพื่อให้ตนเองสงบลง
เวลาผ่านมาหนึ่งวันเต็มแล้ว และด้วยพลังปราณสวรรค์ในร่าง ร่างกายของเธอก็ฟื้นฟูจนหายเป็นปกติแล้ว อย่างไรก็ตาม บาดแผลที่หัวใจจะสามารถสมานได้ง่ายดายเพียงนั้นหรือ? หลังจากกรุ่นคิดมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจวางเหตุผลอยู่เหนือความโกรธ จากนั้นเธอจึงมุ่งหน้ามาหาโจวเหว่ยชิง
“เจ้าอ้วนน้อยโจว” เธอหันกลับมาพร้อมกับปิดกระโจมลงอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับโจวเหว่ยชิง
“ขอรับ?” เมื่อได้ยินเธอเรียกเขา โจวเหว่ยชิงก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว สีหน้าท่าทางที่คล้ายกับสุนัขทำตาละห้อยทำให้เธออยากจะฟาดกำปั้นลงบนใบหน้าของเขานัก!
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หายเข้าใจลึกๆ อีกครั้งก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “จำไว้ว่า เมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าข้าได้ยินข่าวลือแพร่สะพัดออกไป เจ้าจะได้รู้ผลที่ตามมาแน่… ”
“เอ๋?” โจวเหว่ยชิงเบิกตากว้าง ในขณะนี้ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงออกว่านอบน้อมเชื่อฟัง แต่ในใจกลับรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่คิดจะฆ่าเขาแน่นอน และเมื่อมองใบหน้างดงามของเธอในขณะนี้ เขาก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าเมื่อคืนนี้เธอตกอยู่ใต้ร่างของเขา จากนั้นหัวใจของเขาก็ลุกเป็นไฟด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดชัดเจนหรือไม่?!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้างอง้ำ
“ได้ยิน…ข้าได้ยินชัดเจนขอรับ ตะ แต่ว่า ท่านผู้บัญชาการกองพัน ข้า ข้า…” โจวเหว่ยชิงมองอย่างลังเล
“เจ้าเป็นอะไร? ทำไมต้องพึมพำเสียงเบาๆ ด้วย? มีอะไรจะพูดก็พูดออกมาซะ!!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างโมโห อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าและเตะเขาอย่างจัง
โจวเหว่ยชิงส่ายหัวทันที “ข้าไม่ควรพูด…ข้ากลัวท่านจะตีข้า!”
“พูดออกมาซะ ข้าจะไม่ตีเจ้า” มนุษย์ย่อมอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มีอายุแค่เพียง 15 ปี เท่านั้น ถึงแม้ว่าเธอจะยังโกรธโจวเหว่ยชิง แต่เธอก็ยังอยากรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร
โจวเหว่ยชิงมองเธออย่างกล้าๆ กลัวๆ จากนั้นก็กระซิบเบาๆ “ท่านจะไม่ตีข้าจริงๆ ใช่ไหม?”
“เมื่อไหร่เจ้าจะพูดสักที!?” สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นในพริบตา
“เอาล่ะๆ! ข้าจะบอกแล้ว ตกลงไหม?
ผู้บัญชาการกองพัน เมื่อคืนเป็นครั้งแรกของข้า เพราะฉะนั้นข้าย่อมลืมเรื่องเมื่อคืนไม่ลง! แม้ว่าท่านจะไม่รับผิดชอบข้า ข้าก็จะไม่ต่อว่าท่าน…แต่…มันก็ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะยังจดจำมันไว้…” โจวเหว่ยชิงพลันมีสีหน้าโศกเศร้าราวกับว่าเขาเป็นผู้เสียสละตนเองเมื่อคืนนี้
“ผู้บัญชาการกองพัน อย่าจ้องข้าเช่นนั้นได้หรือไม่…ข้ากลัวนะขอรับ! ขะ ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น อ้ากกกกกกกกกก!! ช่วยด้วย! มีคนจะฆ่าข้าแล้วววว!!!”
ขณะที่โจวเหว่ยชิงกล่าวประโยคแรก ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าคนพาลผู้นี้ไม่ได้จะพูดอะไรที่มีสาระเลยสักนิด และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ยิ่งเธอได้ฟัง ความโกรธของเธอก็ปะทุเพิ่มมากขึ้น และท้ายที่สุด ใบหน้าที่งดงามของเธอก็กลายเป็นสีเขียวสลับขาวด้วยความโกรธ ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เขาพอดีจึงหยิก และบิดเข้าที่เอวของโจว เหว่ยชิงเป็นมุม 180 องศาด้วยความเร็วราวกับพายุ ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกเชือดก็ดังขึ้นมาลั่นกระโจม
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากโจวเหว่ยชิงเอาไว้ เธอไม่ต้องการให้ลูกน้องคนอื่นๆ ของเธอรู้ว่าเธออยู่ในกระโจมของเจ้าคนหน้าด้านนี้ตอนดึกๆ
“ถ้าเจ้าพูดอะไรไร้สาระอีก ข้าจะจับเจ้าตอนซะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งโกรธและอับอาย ในที่สุดเธอก็ใช้เสียงข่มขู่เขาให้เงียบ
โจวเหว่ยชิงถูกมือปิดปากทำให้เขาสงบลงทันที ทันใดนั้นมือของเขาก็กวาดลงไปปกปิดร่างกายส่วนล่างอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็มองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าตกใจ คราวนี้เขากลัวสิ่งที่เธอขู่เข้าจริงๆ
“เจ้า…นั่งลง” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดีใจมากที่เธอไม่ได้พกดาบมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอคงรับประกันไม่ได้ว่าคนกลิ้งกลอกนี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
โจวเหว่ยชิงนั่งลงบนเตียงอย่างเชื่อฟัง คราวนี้เขาพยาพยามทำตัวดีอย่างมาก แม้ว่าเขาจะชอบมองดูเธอทำสี หน้าโกรธๆ แต่เขาก็รู้ว่าจะแกล้งรุนแรงเกินไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมากในอนาคต เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นความสุขเพียงอย่างเดียวที่เขาตั้งตาคอยในชีวิตการเป็นทหารของเขา
“อ้วนน้อยโจว ข้าขอถามเจ้า เจ้ารู้เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์มากแค่ไหน?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั่งไขว่ห้างที่ปลายเตียงอีกด้านเพื่อรักษาระยะห่างหนึ่งเมตรระหว่างโจวเหว่ยชิง และตัวเธอเอง
“เอ่อ…รู้แค่พื้นๆ เท่าที่ท่านบอกกับข้าเมื่อวาน” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างไม่ลังเล
เสียง *ผัวะ* ดังขึ้นพร้อมกับที่สมุดหนังเล่มหนึ่งถูกเหวี่ยงมาใส่เขา โจวเหว่ยชิงคลำดูและพบว่ามันเป็นคัมภีร์วิชาเทพอมตะที่หายไปของเขานั่นเอง
“บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้? ในวันนั้นข้าสัมผัสถึงปราณสวรรค์จากตัวเจ้าไม่ได้เลย เหตุใดเจ้าถึงสามารถปลุกมณีสวรรค์ของเจ้าได้ในตอนกลางคืน? ยิ่งไปกว่านั้นมณีธาตุของเจ้ายังมีจำนวนมากกว่าปกติด้วย อย่าบอกข้านะว่ามันเป็นเพราะวิชาเทพอมตะนี่?
สิ่งนี้มัน…แม้ว่ามันอาจจะเป็นไปได้ แต่มันก็คือการฆ่าตัวตายดีๆ นี่เอง! และแม้ว่าเจ้าจะฝึกวิชานี้ได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าเจ้าจะโชคดีแค่ไหน เจ้าก็คงไม่สามารถเพิ่มพลังปราณสวรรค์แบบพรวดพราดจากระดับ 0 ไประดับ 4 ได้แน่ๆ”
โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบอย่างไฟแล่บ “อาจเป็นเพราะไข่มุกสีดำแปลกๆ ที่ข้ากลืนเข้าไป ก่อนที่ข้าจะเข้าร่วมกองทัพ ข้าได้ไปเดินเล่นแถวๆ ป่าดารา จากนั้นไม่นานข้าก็เหนื่อยและก็เผลอหลับไปในป่า ใครจะไปรู้ ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลงและข้าก็พบว่าตัวเองขยับไม่ได้ มีรอยแยกเกิดขึ้นบนท้องฟ้า ไข่มุกสีดำที่มีแสงสีเขียว สีน้ำเงิน และสีเงินล้อมรอบอยู่ก็โผล่ขึ้นมาจากรอยแยกนั่นด้วย มันพุ่งเข้ามาในปากของข้า ในเวลานั้นข้ารู้แค่ว่าร่างกายของข้าเย็นมาก จากนั้นข้าก็สลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่เจออะไรผิดปกติ ข้าก็เลยกลับไปที่เมือง พอมาถึงเมือง ข้าก็เห็นประกาศรับสมัครทหาร ดังนั้นข้าก็เลยสมัครซะเลย แล้วเมื่อคืนนี้ข้าพยายามจะฝึกวิชาเทพอมตะจริงๆ ข้าก็ได้ลองทะลวงจุดตายแรกตรงกระดูกไหปลาร้าดู และในที่สุดข้าก็ทะลวงมันสำเร็จจนได้ แต่ว่าทันทีที่ทำสำเร็จข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดมันชาไปแทบทุกส่วน จะขยับก็ขยับไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆ ก็มีไอความเย็นขุมหนึ่งปะทุออกมาจากตันเถียนของข้า จากนั้นข้าก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย พอข้าตื่นขึ้นมาก็เจอผู้หญิงยืนเปลือยอยู่ตรงหน้า จากนั้นข้าก็รู้ว่าจุดตายทั้ง 4 จุดของข้าถูกทะลวงเรียบร้อยแล้ว…”
“หุบปาก…” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าขึ้นสี เธอยกมือขึ้นมาโบก จากนั้นกลุ่มพลังสีเขียวอ่อนสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าโจวเหว่ยชิง เสียง *ตูม* ดังขึ้นก่อนที่เตียงนอนด้านหน้าของเขาจะหักลงเป็นสองท่อน นั่นทำให้เขากลัวจนหยุดส่งเสียง
ถ้าพลังนั่นระเบิดใกล้เข้ามาอีก 2-3 นิ้ว นกเขาตัวน้อยในกางเกงของเขาก็คงจะไม่เหลือรอด…
หลังจากตวัดสายตาจ้องมองโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ครุ่นคิดกับตนเอง เธอไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย แต่ด้วยวิธีการเล่าของคนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เธอจะเชื่อเขาได้หรือไม่? แต่ถ้าเธอไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด ก็คงไม่มีวิธีอื่นที่จะสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่เขาพูดเธอก็มองตาเขาไปด้วย ดังนั้นเธอจึงเห็นว่าโจวเหว่ยชิงนั้นมีความจริงใจแฝงอยู่ในสายตา และดูเหมือนว่าคำพูดของเขาก็ค่อนข้างจะน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
“เจ้ามาจากไหน?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถามอย่างเคร่งขรึม เธอไม่ได้ถามเพื่อตอบข้อสงสัยของตนเอง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือมณีธาตุในตำนานของเขาต่างหาก คนเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะมีความสามารถอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ถ้าเขามีต้นกำเนิดที่ไม่รู้จัก เธอก็ไม่แน่ใจว่าเธอควรจะสอนวิธีการฝึกปราณให้เขาดีหรือไม่
โจวเหว่ยชิงลังเลสักครู่ก่อนจะพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ ท่านอยากได้ยินความจริงหรืออยากให้ข้าแต่งเรื่องให้ฟังดี?”
เมื่อได้ยินเขาเรียกเธอด้วยชื่อจริง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตอบอย่างโกรธๆ “เรียกข้าว่าผู้บัญชาการกองพัน! และแน่นอนว่าข้าต้องการฟังความจริง!”
………………………………………………………..