Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 72.1 เล่ห์เหลี่ยมใดๆก็ไร้ผล (1)
เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดเดินกะทันหันและจ้องมองไปที่ยังที่ไกลๆ แห่งหนึ่ง โจวเหว่ยชิงมองตามสายตาของเธอไป จากนั้นก็พบว่าไป๋จิ่วและผู้ติดตามของเขากำลังพูดคุยกับหญิงสาวชุดดำคนหนึ่ง ดูจากการสีหน้าท่าทางของพวกแล้ว อีกฝ่ายดูจะเคารพเธอเป็นอย่างมาก
“นางคือผู้หญิงที่ทำร้ายเราเมื่อครั้งที่แล้ว” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดออกมาเบาๆ
“เอ๊ะ?” โจวเหว่ยชิงตกตะลึงไปเช่นกัน เขาไม่ได้ร่วมต่อสู้ในครั้งก่อน แต่เขาก็ได้ยินรายละเอียดจากสมาชิกคนอื่นๆมาก่อนหน้านี้บ้าง แม้ว่าในระหว่างการต่อสู้กับผู้หญิงคนนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มจะกำลังเหนื่อยล้าหรือได้รับบาดเจ็บมาก่อน แต่นั่นก็ยังไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอจัดการกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นหญิงสาวชุดดำผู้นี้ย่อมต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น จากคำบอกเล่าของพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็ยังตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงสาวชุดดำที่เรียกตัวเองว่าแม่มดน้อยนั้นมีทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุปีศาจ นอกจากนี้เธอยังสามารถใช้พืชบางชนิดสนับสนุนตัวเองได้ด้วย และนั่นก็น่าจะเป็นทักษะธาตุชีวิตเหมือนหมิงฮัว สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง นิกายปีศาจสวรรค์
จ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจกำลังถูกทั่วโลกตามล่าตัว ดังนั้นจึงมีเพียงนิกายปีศาจสวรรค์เท่านั้นที่จะสนับสนุนจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจที่ทรงพลังขนาดนี้ได้ นอกจากนี้ เมื่อได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังอายุน้อยมาก ดังนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเธออาจเป็นคนสำคัญในนิกาย
หากตอนนี้แม่มดน้อยร่วมมือกับไป๋จิ่วและหลัวเซียวเย่จริงๆ นั่นอาจเป็นข่าวร้ายสำหรับโจวเหว่ยชิงเลยทีเดียว เขาไม่ได้หวาดกลัวอาณาจักรคาลิเซ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรป่ายต้า แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเพียงกลุ่มลำดับที่ 2 ของอาณาจักรป่ายต้า แต่ถ้าหากนิกายปีศาจสวรรค์ร่วมมือกับพวกเขา นั่นก็อาจจะแตกต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง โจวเหว่ยชิงย่อมรู้ซึ้งดีว่านิกายปีศาจสวรรค์นั้นทรงพลังเพียงใด เพราะถึงอย่างไรเขาเคยเกือบตายด้วยน้ำมือของหมิงอู๋มาก่อน
คล้ายแม่มดน้อยจะรับรู้ได้ว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจ้องมองเธอ หญิงชุดดำผู้นั้นจึงหันหน้ามามองพวกเขา เมื่อสายตาของพวกเขาสบกัน โจวเหว่ยชิงก็เห็นจิตวิญญาณความเฉลียวฉลาดและความมีชีวิตชีวาในดวงตาของเธอ ทว่าในนั้นก็ยังมีความลึกล้ำที่น่าหวาดกลัวซ่อนเร้นเอาไว้ด้วย แม่มดน้อยเองก็มองเห็นความเกรี้ยวกราดผ่านสายตาคุกคามของเขาเช่นกัน จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิง ใบหน้าของเธอฉายแววสงสัยขึ้นมาทันที โดยธรรมชาติแล้วเธอย่อมจดจำการต่อสู้เมื่อ 2-3 วันก่อนได้อย่างชัดเจน แต่ในระหว่างการต่อสู้ครั้งนั้นโจวเหว่ยชิงผู้นี้ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาร่วมต่อสู้กับกลุ่มของเขาด้วย
ไป๋จิ่วและหลัวเซียวเย่มองตามสายตาของเธอมาบรรจบเข้ากับร่างของโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อเห็นว่าเป็นพวกเขา ไป๋จิ่วก็รีบพูดอะไรบางอย่างกับแม่มดน้อยเบาๆ ชัดเจนว่าไป๋จิ่วกำลังอธิบายที่มาของพวกเขาให้อีกคนฟัง
แม่มดน้อยเอียงศีรษะไปทางโจวเหว่ยชิง เผยให้เห็นรอยยิ้มน่ารักขณะที่เธอขยิบตาให้เขา ในขณะนั้นเจ้าแมวอ้วนที่หลับใหลอยู่ในอ้อมอกของโจวเหว่ยชิงพลันลืมตาตื่นขึ้นมาทันที มันโผล่หัวออกมานอกอกเสื้อ ดวงตาสีม่วงเข้มของมันจ้องมองไปที่แม่มดน้อยตาเขม็ง
เมื่อเห็นเจ้าแมวอ้วนอยู่ในอ้อมอกของโจวเหว่ยชิง ร่างของแม่มดน้อยก็สั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาของเธอกระพริบมองอย่างตกใจ เธอสูญเสียความสงบไปชั่ววินาทีเนื่องจากความตกใจนั้น ทว่าการแสดงออกของเธอก็กลับมาเยือกเย็นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากของแม่มดน้อยโค้งขึ้นด้วยความขบขัน เธอทำท่ากรุ่นคิดสักครู่ก่อนจะหันหน้าเดินจากไป
ไป๋จิ่วมองพวกเขาด้วยท่าทางหยิ่งผยองและสายตาเหยียดหยามก่อนจะไล่ตามแม่มดน้อยไป
เมื่อเห็นพวกเขาจากไปแล้ว โจวเหว่ยชิงก็จับมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นมาและพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเราอาจจะมีปัญหาแล้ว ถ้าแม่มดน้อยเป็นตัวแทนจากนิกายปีศาจสวรรค์และพวกเขากำลังสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ อยู่จริงๆ อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราก็อาจตกที่นั่งลำบากในไม่ช้า”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและพูดว่า “เราควรป่าวประกาศเรื่องของพวกเขาไหม? ถึงอย่างไรตอนนี้ทั้งโลกก็กำลังตามล่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจเหล่านี้อยู่ หากเราแจ้งข่าวเกี่ยวกับพวกเขา บางทีพวกเขาอาจจะถูกตัดสิทธิ์จากงานประลองมณีสวรรค์ก็ได้”
โจวเหว่ยชิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ พวกเขาถูกตามล่ามานานแล้ว แต่นิกายของพวกเขาก็ยังอยู่มาได้นานจนถึงตอนนี้ พวกเขาอาจมีวิธีดีๆ ใช้ปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้ก็เป็นได้ แม้ว่าเราจะรายงานเรื่องนี้ออกไป แต่ก็ยากที่จะพิสูจน์อะไรได้ ในทางกลับกัน นั่นจะทำให้นิกายปีศาจสวรรค์ยิ่งโกรธเกรี้ยวหนักกว่าเดิม หากเดิมทีพวกเขาไม่ได้ตั้งใจสนับสนุนอาณาจักรคาลิเซ นั่นอาจผลักดันให้พวกเขาทำเช่นนั้นก็เป็นได้ นั่นไม่เพียงแต่จะทำให้เราตกที่นั่งลำบาก อาณาจักรของเราก็จะตกอยู่ในอันตรายมากยิ่งขึ้นด้วย อย่ากังวลไปเลย พวกเราควรใช้งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้เฝ้าสังเกตว่านิกายปีศาจสวรรค์สนับสนุนอาณาจักรคาลิเซมากแค่ไหนดีกว่า พูดตามตรง อาณาจักรคาลิเซนั้นเล็กเกินไปสำหรับนิกายปีศาจสวรรค์…หากพวกเขาต้องการสนับสนุนอาณาจักรสักแห่ง อาณาจักรนั้นก็ควรจะเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่ๆอย่างเฟยหลี่หรือป่ายต้ามากกว่า ข้าเดาว่าอาณาจักรคาลิเซอาจเป็นเพียงหุ่นเชิดของพวกเขา เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือการไปถึง 4 อันดับแรก และเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ต่างหาก ถ้าข้าเดาถูก แค่นี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเกาะมณีสวรรค์นั้นมีสิ่งของดีๆมากมาย สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คืออย่ารีบร้อน ค่อยๆ ทำตามแผนไปทีละอย่าง เอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดของเราในขณะที่คอยเฝ้าสังเกตสถานการณ์ไปด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเหว่ยชิง รอยยิ้มที่อ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้างดงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอพูดขึ้นเบาๆ “อ้วนน้อยของข้าโตขึ้นแล้วจริงๆ”
โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้างพลางเอนศีรษะไปที่ใบหูของเธอแล้วกระซิบว่า “ฮิๆ ถูกต้อง ข้าโตแล้ว…หมายความว่าเจ้าจะให้ข้าทำความสนิทสนมกับเจ้าได้แล้วใช่หรือไม่? ไม่ต้องกังวล ข้าจะระมัดระวังให้มากๆ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีอ้วนน้อยตัวเล็กๆอยู่แล้วล่ะ ข้อเสนอนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หัวเราะคิกคักขณะที่เธอพูดว่า“เสือดาวเปลี่ยนลายไม่ได้ฉันใด ทรชนก็ไม่อาจเปลี่ยนนิสัยได้ฉันนั้น! เจ้าแสดงความซื่อสัตย์ได้เพียง 2 วัน จากนั้นก็กลับไปเป็นพวกไร้ยางอายเหมือนเดิมอีกแล้ว! ทั้งๆ ที่งานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้มีความสำคัญมาก แต่จิตใจของเจ้าก็ยังเต็มไปด้วยความคิดสกปรกอยู่อีก!”
โจวเหว่ยชิงรีบเอ่ยแย้ง “ข้าสกปรกยังไง? ข้ากำลังจริงจังอยู่ต่างหาก! อย่างไรก็ตาม…เจ้ากำลังหมายความว่า… หลังจากงานประลองมณีสวรรค์….พวกเราสามารถ…”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าขึ้นสีแดงก่ำ “กลับกันเถอะ ทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอพวกเราอยู่นะ!”
เมื่อพวกเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม โจวเหว่ยชิงก็อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้คนอื่นๆ ฟังทันที เมื่อได้ยินว่าพวกเขาได้อยู่สายการประลองเดียวกับอาณาจักรป่ายต้า ไม่มีสมาชิกคนใดรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม ทุกคนกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาแทน
“สุดยอดไปเลย! เหว่ยชิง เจ้าโชคดีเกินไปแล้ว!” สี่น้อยกล่าวด้วยสีหน้าชื่นชม “ข้าอยากสอนบทเรียนให้พวกสารเลวป่ายต้ามาตลอด เหว่ยชิง พวกเจ้าต้องจัดการกลุ่มแรกๆ ให้ดีล่ะ หากได้พบกับอาณาจักรป่ายต้าเมื่อไหร่ พวกข้าจะต้องลงไปกำจัดพวกมันอย่างแน่นอน! ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้าเราจัดการกลุ่มอาณาจักรป่ายต้าได้ในรอบอุ่นเครื่อง แม้ว่าเราจะไปไม่ถึง 4 อันดับแรก ตอนกลับบ้านเราก็จะยังคงเป็นวีรบุรุษอยู่ดี”
ขี้เมาเป่าถูมือเข้าด้วยกันอย่างยินดี “ข้าแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าบาดแผลของข้าฟื้นตัวเร็วขึ้นทันตาเห็นเลยทีเดียว เหว่ยชิง ฝีมือจับฉลากของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ! ไม่ได้การละ ข้าต้องรีบกลับไปฝึกปราณแล้ว ต้องรีบฟื้นตัวให้ทันรอบที่พวกเราจะได้ต่อสู้กับกลุ่มป่ายต้า”
เซียวเอี๋ยนไม่ได้เปล่งเสียงโวยวายเหมือนอีก 2 คน เพียงแค่พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าฟื้นตัวได้เกือบ 7 ใน 10 ส่วนแล้ว แม้จะต้องผลาญพลังชีวิตตัวเองอีกครั้ง ข้าก็ยังจะออกไปต่อสู้”
แสงเยียบเย็นผุดขึ้นมาในดวงตาของหลินเทียนอ้าว “อาณาจักรป่ายต้า หึ! อาณาจักรป่ายต้า ดีจริงๆ!”
โจวเหว่ยชิงจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง “พอได้ยินว่าเป็นพวกเขา ทำไมพวกท่านถึงได้ดูตื่นเต้นกันขนาดนี้? นี่มันเกินเหตุไปหน่อยมั้ยเนี่ย?”
ขี้เมาเป่ากล่าวว่า “เหว่ยชิง เจ้ามาจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์สินะ ถ้าได้พบกับกลุ่มคาลิเซ เจ้าจะรู้สึกยังไง ล่ะ?”
โจวเหว่ยชิงรีบตอบโดยไม่ลังเลว่า “ แน่นอนข้าจะอัดพวกมันให้น่วมจนคลำทางกลับบ้านไม่ถูกเลยทีเดียว!”
ขี้เมาเป่ายิ้มและพูดอย่างตื่นเต้น “หึ! พวกข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ! อาณาจักรของเราเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับอาณาจักรป่ายต้า ความเกลียดชังของพวกเรานั้นลึกล้ำมากจนสามารถเล่าย้อนกลับไปได้ถึงประวัติศาสตร์ยุคแรกๆ ได้เลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นความเกลียดชังที่ส่งผ่านกันมาทางสายเลือด ความเกลียดชังระดับเผ่าพันธุ์! เมื่อครั้งเราต่อสู้กับอาณาจักรวั่นโซ่ว อาณาจักรป่ายต้าก็ก่อปัญหาให้เรามากมาย ข้ากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าประชาชนชาวเฟยหลี่ทุกคนเกลียดชังอาณาจักรป่ายต้ามากกว่าอาณาจักรวั่นโซ่ว!”
อู่หยาลุกขึ้นยืนกะทันหันและเดินจากไปทันที โจวเหว่ยชิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อู่หยา เจ้าจะไปไหน?”
อู่หยากล่าวหน้าตาย “ลับขวาน”
เย่เป่าเปากล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ไม่เอาน่า นายท่านที่เคารพทั้งหลาย พวกท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ! ข้าก็อยากสู้เหมือนกัน! เหว่ยชิง ทำไมโชคของเจ้าถึงไม่ดีเพิ่มขึ้นไปอีกสักหน่อยนะ ถ้าเพียงพวกเราได้ต่อสู้กับป่ายต้าได้ในรอบแรก…”
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “ให้ตายเถอะ! การเป็นผู้นำชั่วคราวนี่ง่ายดายมากจริงๆ เล้ย! ข้าไม่จำเป็นต้องปลุกขวัญกำลังใจพวกท่านเลยด้วยซ้ำ ดูความกระเหี้ยนกระหือรือของพวกท่านสิ ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วกระมัง พวกท่านทั้งหมดจงไปฝึกฝนตามที่ต้องการเถอะ ปิงเอ๋อร์ มาเร็ว กลับไปที่ห้องแล้วทำเรื่องที่พวกเราชอบกันเถอะ…”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงก่ำอีกครั้ง เธอจ้องเขาตาเขม็งและพึมพำบางอย่าง ก่อนจะหันหลังและวิ่งออกไป
นับตั้งแต่ที่ทั้งกลุ่มได้รับบาดเจ็บหนัก พวกเขาก็ค่อนข้างเก็บกดและเกือบกลายเป็นโรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ฟังผลการจับฉลากของกลุ่ม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่คาดคิดมาก่อนด้วยซ้ำ!
…
เช้าวันใหม่ที่สดใส
ในที่สุดงานประลองมณีสวรรค์ก็กำลังจะเริ่มขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มนักรบจำนวน 24 กลุ่ม แต่ละรอบจึงมีการต่อสู้ 12 ครั้ง โดยแต่ละกลุ่มจะได้ออกไปต่อสู้ 3 ครั้ง และการประลองทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันเดียว ส่วนการประลองครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อมา
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มชั่วคราว เมื่อโจวเหว่ยชิงนำกลุ่มของเขาออกจากโรงเตี๊ยม เขาก็ค่อนข้างรู้สึกกลุ้มใจ เหตุผลง่ายๆคือกลุ่มของเขาไม่มีสมาชิกครบ 5 คน แม้จะนับตัวเองเข้าไปด้วย แต่ทั้งหมดก็มีเพียง 4 คนเท่านั้น
หลังจากได้ยินว่าสายการประลองของพวกเขามีกลุ่มป่ายต้าอยู่ด้วย สมาชิกในกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บก็รีบฝึกฝนและเร่งฟื้นฟูร่างกายกันอย่างบ้าคลั่ง จิตวิญญาณของพวกเขาเต็มไปด้วยการต่อสู้ จากผลการจับฉลาก พวกเขาจะได้พบกับกลุ่มนักรบป่ายต้าในรอบที่ 3 ดังนั้นพวกเขาส่วนใหญ่จึงพยายามจะฟื้นตัวให้เร็วที่สุดเพื่อให้พร้อมออกไปต่อสู้ได้ในเวลานั้น ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่แม้แต่จะเข้าชมการประลองในวันนี้ ทั้งยังไม่ห่วงใยกลุ่มของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไร ด้วยจำนวนคนเพียง 4 คน กลุ่มของพวกเขาก็ยังสามารถผ่านการประลองทั้ง 5 ครั้งไปได้อยู่ดี แน่นอนว่าอาจมีคนต้องออกไปต่อสู้ 2 ครั้ง แม้จะเป็นการทำร้ายคนๆ นั้นมากเกินไปก็ตาม
เมื่อเทียบกับเมื่อวาน ลานจตุรัสในวันนี้ดูพลุกพล่านและมีชีวิตชีวามากกว่าเมื่อวันก่อนมาก เวลานี้ยังคงเช้าตรู่ แต่จตุรัสและบริเวณโดยรอบก็มีผู้คนอัดแน่นอยู่ตั้งแต่บริเวณรอบนอกไปจนถึงสนามประลองที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางจตุรัสแล้ว หากไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ได้จัดเตรียมทางเดินสำหรับกลุ่มนักรบเอาไว้ให้โดยเฉพาะแล้วล่ะก็ พวกเขาก็อาจมีปัญหาในการเดินทางเข้าสู่สนามประลองก็เป็นได้