Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา - บทที่ 92 ข้อตกลงที่สมบูรณ์แบบ (3)
สมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มนักรบเฟยหลี่ต่างก็รู้สึกประทับใจวังกักเก็บทักษะขนาดใหญ่แห่งนี้เช่นกัน พวกเขาจึงไปที่ประตูของแต่ละทักษะธาตุเพื่อถามพนักงานเกี่ยวกับการกักเก็บทักษะของตนเอง
เมื่อโจวเหว่ยชิงเดินไปถึงประตูด้านขวาสุด เขาก็ถามพนักงานที่ยืนอยู่ข้างประตูว่า “สวัสดี ข้าอยากถามว่าพวกท่านมีอสูรสวรรค์ทักษะธาตุกาลเวลาอยู่ข้างในประตูทักษะธาตุ “อื่นๆ” นี้หรือไม่? ”
แน่นอนว่าพนักงานผู้นี้สังเกตเห็นกลุ่มของพวกเขาก่อนหน้านี้แล้ว ชายหนุ่มจึงย่อมรู้ว่าพวกเขามาจากกลุ่มนักรบเฟยหลี่ หรือก็คือกลุ่มที่สามารถเข้าสู่ 4 อันดับแรกของงานประลองมณีสวรรค์ได้นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงแสดงท่าทีมีมารยาทในขณะที่เอ่ยตอบว่า “ได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะตรวจสอบให้ท่านเดี๋ยวนี้”
ในขณะที่พูดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกวาดผ่านอัญมณีขนาดใหญ่ซึ่งแขวนอยู่ด้านข้าง ภาพที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้นเมื่ออัญมณีสว่างเรืองรองเป็นแสงสีทองสลัว จากนั้นจึงมีภาพปรากฏขึ้นบนนั้นอย่างน่าอัศจรยย์
กรามของโจวเหว่ยชิงอ้าค้างขณะที่เขาจ้องมองด้วยความประหลาดใจ “นั่นคืออะไรน่ะ?!”
พนักงานกล่าวด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจว่า “นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่วังกักเก็บทักษะของเราสร้างขึ้นและสามารถพบได้ที่นี่เท่านั้น ในอัญมณีนี้ประกอบด้วยทักษะธาตุมิติ ธาตุแสง และธาตุมืด นี่เป็นรูปแบบทักษะปิดผนึกเฉพาะผสานกับวิชาลับอื่นๆ ของเรา มันช่วยให้พวกเราสามารถจัดเก็บภาพและข้อมูลไว้ได้ สะดวกอย่างยิ่งสำหรับการค้นหา เราเรียกมันว่า ‘มณีสะท้อน’ ”
แสงสว่างพลันปรากฏขึ้นเมื่อเขาควบคุมอุปกรณ์ต่อไป พนักงานหันกลับไปหาโจวเหว่ยชิงและกล่าวว่า “เอาล่ะ มีอสูรสวรรค์ทักษะธาตุกาลเวลาอยู่ทั้งหมด 27 ตัว ในนั้นมี 12 ตัวเป็นระดับปฐม 8 ตัวเป็นระดับปรมะ และ 7 ตัวเป็นระดับเทวะหรือสูงกว่านั้น ท่านสามารถตรวจสอบทักษะและพลังของพวกมันได้ที่นี่ก่อนที่จะตัดสินใจว่าต้องการลองกักเก็บทักษะไหน นั่นจะช่วยประหยัดเวลาได้มากทีเดียว เมื่อท่านตัดสินใจแล้ว เราจะส่งคนนำทางท่านไปยังห้องกักเก็บทักษะที่ท่านเลือก ในวังกักเก็บทักษะอาณาจักรจ้งเทียนของเรา อสูรสวรรค์ล้วนมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง แม้จะเป็นตัวที่มีระดับต่ำที่สุดก็ตาม”
โจวเหว่ยชิงอุทานด้วยความประหลาดใจ “อสูรสวรรค์ทุกตัวมีห้องของตัวเอง? นั่นคงต้องทุ่มเทพลัง ความพยายาม และพื้นที่จำนวนมาก!”
พนักงานยิ้มน้อยๆ และกล่าวว่า “นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านมาเมืองจ้งเทียนใช่ไหม? จริงๆแล้วนี่ไม่ใช่ความลับอะไร แต่พื้นที่ใต้ดินทั้งหมดของจตุรัสจ้งเทียนล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของวังกักเก็บทักษะของพวกเราจริงๆ ที่แห่งนี้สามารถกักขังอสูรสวรรค์ได้มากกว่า 3,000 ชนิดเลยทีเดียว!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา โจวเหว่ยชิงก็สูดลมหายใจเย็นๆเข้าปอด ต้องมั่งคั่งขนาดไหนถึงจะฟุ่มเฟือยแบบนี้ได้! เฮ้อ…อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ไม่มีแม้แต่วังกักเก็บทักษะด้วยซ้ำ แต่ลองดูที่วังกักเก็บทักษะของพวกเขาที่นี่สิ นี่คืออำนาจของยอดอาณาจักรอย่างแท้จริง…ทั้งอิจฉา ทั้งริษยา ทั้งเกลียดชัง!
หลังจากตกใจอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็จดจ่อสายตาไปบนหน้าจออัญมณี กวาดมองผ่านตัวเลือกต่างๆเพื่อเตรียมเลือกทักษะกักเก็บธาตุกาลเวลา 2 ชนิด หากเขาสามารถกักเก็บทักษะธาตุกาลเวลาเพิ่มได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อการประลองที่กำลังจะมาถึงแน่นอน
“หากเจ้ายังมีมณีธาตุที่ยังไม่ผ่านการกักเก็บทักษะ ตอนนี้ข้าขอแนะนำให้เจ้าหยุดคิดก่อนชั่วคราว” ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังกวาดสายตาหาตัวเลือกต่างๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังออกมาจากด้านหลังของเขา ในเวลาเดียวกัน พนักงานที่อยู่ข้างๆเขาก็ค้อมตัวลงเป็นมุมฉากอย่างนอบน้อม
โจวเหว่ยชิงหันไปด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นว่าซ่างกวนหลงหยินปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับยิ้มให้
“คาราวะผู้อาวุโสซ่างกวน” แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงประทับใจซ่างกวนหลงหยินมาก
ซ่างกวนหลงหยินโบกมือให้กับพนักงานผู้ซึ่งรีบเดินทิ้งห่างออกไปไกล ทิ้งทั้งสองไว้ตามลำพังดั่งที่ชายหนุ่มตั้งใจไว้
“เหว่ยชิง ข้าได้รายงานเงื่อนไขของเจ้าไปยังท่านจ้าววังทั้งสองและพวกเขาก็พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว น่าเสียดายที่เราไม่มีมังกรและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าในเรื่องนั้นได้ รองเจ้าวังยังระบุว่าเขาจะไม่ใช้การแต่งงานของคุณหนูสามเป็นข้อต่อรองเช่นกัน”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าอย่างไม่ทุกข์ร้อนพลางกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มย่อมเข้าใจหลักจิตวิทยาอย่างถ่องแท้ เขารู้ดีว่าในการต่อรองซื้อขาย หากอยากได้รับผลประโยชน์สูงสุดต้องห้ามแสดงท่าทีร้อนรน
ตามที่คาดไว้ ซ่างกวนหลงหยินรีบเอ่ยขัดอย่างรวดเร็ว “ช้าก่อน เจ้าอย่าเพิ่งด่วนสรุปไป ให้ข้าพูดให้จบก่อน ท่านจ้าววังทั้งสองกล่าวว่าหากเจ้าต้องการขายวิชาเทพอมตะให้กับพวกเรา พวกเราสามารถมอบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า 3 ใบเพื่อแลกเปลี่ยนกับเจ้า ทั้งยังสามารถออกแบบให้เจ้าเป็นพิเศษได้อีกด้วย ในขณะเดียวกัน เราก็จะให้เจ้าอยู่ในเกาะมณีสวรรค์ได้นานเท่าที่ต้องการ และวังกักเก็บทักษะบนเกาะมณีสวรรค์ก็พร้อมจะให้เจ้ากักเก็บทักษะได้เสมอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซ่างกวนหลงหยิน โจวเหว่ยชิงก็แทบจะน้ำลายไหลด้วยความยินดี คราแรกเขาคิดว่าหลังจากต่อรองกันไปสักพักแล้ว เขาอาจจะได้รับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าที่สร้างขึ้นเฉพาะเพื่อเขาและนั่นก็จะกลายเป็นผลกำไรที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ทว่าโจวเหว่ยชิงกลับไม่คาดคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเสนอกลับมาครั้งแรกจะเป็น 3 เท่าของที่คิดไว้! ทั้งยังเพิ่มทักษะกักเก็บให้ด้วย! ถึงอย่างไรอสูรสวรรค์บนเกาะมณีสวรรค์ก็มีแนวโน้มว่าจะมีคุณภาพยอดเยี่ยมกว่าวังกักเก็บทักษะในเมืองจ้งเทียน และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ซ่างกวนหลงหยินหยุดเขาไม่ให้เลือกกักเก็บทักษะจากที่นี่
เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนนั้นยอดเยี่ยมเสียจนโจวเหว่ยชิงไม่อาจสามารถปฏิเสธได้ และแม้แต่ผิวหน้าหนาเตอะของเขาก็ยังไม่อาจควบคุมรอยยิ้มได้อีกต่อไป เพื่อสงบอารมณ์พลุ่งพล่านเขา เด็กหนุ่มจึงไม่ได้รีบร้อนตอบรับในครั้งเดียวแต่กลับเอ่ยถามว่า “ผู้อาวุโสซ่างกวน อยู่บนเกาะมณีสวรรค์ตราบเท่าที่ต้องการหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?”
ซ่างกวนหลงหยินกล่าวว่า “นั่นเป็นสิทธิพิเศษของผู้มีสายเลือดหลักของวังสวรรค์ไพศาลเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วความหมายก็คือเจ้าสามารถเข้าออกเกาะมณีสวรรค์ได้ตลอดเวลาตามต้องการและจะไม่มีใครขัดขวางเจ้าได้ พูดง่ายๆ ก็คือเจ้าจะได้รับ ‘ป้ายมณีสวรรค์ไร้สิ้นสุด’ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกาะมณีแห่งสวรรค์ ทว่าจะไม่มีการจำกัดเสรีภาพของเจ้า”
ความจริงแล้วสาเหตุที่ซ่างกวนหลงหยินมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับโจวเหว่ยชิงเป็นเพราะท่านจ้าววังทั้งสองได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของโจวเหว่ยชิงโดยละเอียดและตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนนี้ทั้งหมดแล้ว
ซ่างกวนเทียนเยว่ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าลูกเขยของเขาคนนี้จะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างแท้จริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเหมาะสมในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ตั้งแต่ยังเด็กและอาจกล่าวได้ว่าขาดความรู้ความเข้าใจในแง่นั้นเป็นอย่างมาก แต่หลังจากปลุกมณีสวรรค์ได้เพียง 3 ปี เขาก็มีพลังสูงส่งอย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว! นั่นถือว่ามีความสามารถเหนือกว่าบรรดาสาวกหรือสายเลือดหลักของพวกเขาด้วยซ้ำ ในความเป็นนี่จริงอาจไม่ใช่แค่กับวังสวรรค์ไพศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้ โจวเหว่ยชิงยังอายุเพียง 17 ปีและเขาก็ยังมีอนาคตสดใสมากมายรออยู่ข้างหน้า
เมื่อซ่างกวนเทียนเยว่ได้ยินรายงานของซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ ในที่สุดเขาก็ยอมรับโจวเหว่ยชิงเป็นลูกเขยในอนาคตของเขา อย่างน้อยก็เริ่มยอมรับในระดับหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นไม่นานซ่างกวนหลงหยินก็กลับมาพร้อมกับข่าวเกี่ยวกับวิธีฝึกปราณของโจวเหว่ยชิงและความกระตือรือร้นที่จะทำการค้ากับเด็กหนุ่ม หลังจากที่เขาและพี่ชายของเขา จ้าววังลำดับที่ 1 ซ่างกวนเทียนหยางพูดคุยกัน ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเงื่อนไขที่กำหนดโดยวังสวรรค์ไพศาลนั้นเอื้อประโยชน์ให้อีกฝ่ายอย่างน่าเหลือเชื่อ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่สนใจจะต่อรองด้วยซ้ำ ทั้งยังเสนอผลกำไรสูงสุดให้เขาโดยตรง ลำดับแรกเพราะพวกเขาต้องการรู้ว่าพื้นฐานนิสัยของโจวเหว่ยชิงจะเป็นอย่างไรเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งล่อใจครั้งใหญ่ และเหตุผลอื่นที่อาจสำคัญกว่านั้นคือพวกเขาจะได้มีข้ออ้างในการเคี่ยวกรำและฝึกโจวเหว่ยชิงอย่างถูกต้องเป็นทางการ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้โจวเหว่ยชิงมีความรู้สึกดีๆ กับวังสวรรค์ไพศาลด้วย แม้วังสวรรค์ไพศาลจะมีขนาดใหญ่มากและจ้าววังทั้ง 2 ก็อาจมีพลังสูงส่งกว่าใคร แต่พวกเขาก็ยังต้องสนใจความคิดของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย
หลังจากฟังคำพูดของซ่างกวนหลงหยิน โจวเหว่ยชิงก็หยุดคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบในที่สุด “ข้าขอขอบคุณผู้อาวุโสซ่างกวนและท่านจ้าววังทั้งสองสำหรับความกรุณาและความเอื้ออาทรของพวกเขา ด้วยเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ หากข้ายังไม่ยอมรับข้าก็คงจะโลภมากเกินไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้าก็ยังมีคำขออยู่เล็กน้อย ข้าไม่ต้องการให้พวกท่านออกแบบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าให้ข้าเนื่องจากข้ามีแบบร่างอยู่ในมือหลายชิ้นแล้ว ตัวข้าเองเป็นก็เป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์และหวังว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าทั้ง 3 ชุดจะเป็นไปตามแบบที่ข้ามี ในขณะเดียวกัน ข้าก็หวังว่าจะได้สังเกตการณ์ระหว่างที่เหล่าอาจารย์สร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 3 ด้วย นอกเหนือจากเรื่องนี้ ข้าก็พอใจกับเงื่อนไขทั้งหมดมาก”
“ เจ้า…เจ้ามีแบบร่างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า! หรือว่าจะเป็น…..ชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำ นาน?” ซ่างกวนหลงหยินอุทาน มองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ
โจวเหว่ยชิงพยักหน้ากล่าวว่า “ก็อย่างที่ท่านเห็น ข้ามีชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าอยู่แล้วและค้อนนั่นก็เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกของชุดในตำนานของข้า ดังนั้นข้าจะหลอมรวมกับศาสตรามณียุทธ์ชิ้นอื่นๆ ที่มาจากชุดในตำนานของข้าเท่านั้น”
ซ่างกวนหลงหยินพยักหน้าพลางกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก แน่นอนว่าถ้าเจ้ามีแบบร่างก็ย่อมดีกว่าแน่นอน ทั้งยังจะช่วยให้เราประหยัดได้มากขึ้นด้วย ทว่าการเข้าชมระหว่างอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเราทำงานนั้นอาจเป็นเรื่องยากไปเสียหน่อย เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าก็มีสถานะสูงส่งมากในเกาะมณีสวรรค์ แม้แต่ท่านจ้าววังของเราก็ยังไม่สามารถสั่งให้พวกเขาทำสิ่งที่ไม่ต้องการได้ ดังนั้นมันจึงขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าเอง เราสามารถส่งคำขอไปยังอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ผู้ที่จะสร้างชุดศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าได้ แต่จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ล้วนขึ้นอยู่กับพวกเขา หากพวกเขาเห็นด้วยก็ดีไป แต่ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วย เราจะพยายามหาอย่างอื่นเพื่อชดเชยให้เจ้าแทนก็แล้วกัน”
โจวเหว่ยชิงไม่ลังเลอีกต่อไป เขายิ้มขณะที่กล่าวว่า “เอาล่ะ ข้ายอมรับเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนทั้งหมดอย่างเต็มที่ แต่หากผู้อาวุโสไม่ต้องการ นั่นก็ไม่เป็นไร”
การที่โจวเหว่ยชิงเสนอแบบร่างของตนเองให้ย่อมง่ายกว่าการปรับแต่งศาสตรามณียุทธ์ให้เข้ากับชุดที่เขามี ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยหากใช้แบบร่างของเขา อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าเหล่านั้นย่อมสามารถจดจำวิธีสร้างมันได้โดยปริยายและแน่นอนว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่เกาะมณีสวรรค์มาก! นี่จึงเป็นเหตุผลที่ซ่างกวนหลงหยินกล่าวว่าพวกเขาจะชดเชยให้โจวเหว่ยชิง
ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มก็ชัดเจนมากเกี่ยวกับประเด็นนั้น ในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาจะไม่รู้ถึงความสำคัญและคุณค่าของแบบร่างชุดในตำนานได้อย่างไร? ทว่า เด็กหนุ่มก็จะไม่นำแบบร่างออกมาทั้งชุดแน่นอน ไม่ว่าจะให้เงินมากแค่ไหนหรือแลกเปลี่ยนอย่างสมน้ำสมเนื้ออย่างไร เขาก็ไม่มีวันทำเช่นนั้นแน่นอน อย่างไรเขาก็ต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าชุดในตำนานของเขาจะไม่เหมือนใครและมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นี่คือผลงานของผู้ก่อตั้งนิกายของอาจารย์เขา เป็นการใช้แรงกายแรงใจและความอุตสาหะหล่อหลอมมันขึ้นมา นี่คือผลงานคุณภาพเยี่ยมที่อาจสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่บนผืนแผ่นดินนี้ได้ เขาจะขายหรือแลกเปลี่ยนมันกับสิ่งอื่นได้อย่างไร?
แน่นอนว่าหากเป็นเพียงแบบร่าง 3 แผ่นจากทั้งชุด เรื่องนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไปเนื่องจากความลับโดยรวมของทั้งชุดจะยังคงถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นอกจากนั้น ม้วนคัมภีร์ 3 ชุดนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาสามารถปกป้องตนเองไปจนถึงระดับมณี 6 ชุด เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็มั่นใจเช่นกันว่าทักษะการสร้างม้วนคัมภีร์ของตัวเองจะได้รับการขัดเกลาให้สูงส่งยิ่งขึ้น และบางทีในตอนนั้นความสามารถของเขาก็อาจจะอยู่ไม่ไกลจากการสร้างม้วนคัมภีร์ในตำนานจากแบบร่างของตนแล้ว ถึงอย่างไรม้วนคัมภีร์ชุดแรกๆ ก็ไม่ต้องอาศัยพลังของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าอยู่ดี เพียงแค่ต้องใช้พลังของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเท่านั้น
แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งในการฝึกปราณสวรรค์ แต่เขาก็ไม่เคยถอดใจเกี่ยวกับความฝันที่จะเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้า เพราะท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่นักรบหรือนักผจญภัยธรรมดา แต่เป็นผู้นำ ผู้นำที่จะนำอาณาจักรของเขาไปสู่จุดสูงสุด แรงดึงดูดที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์มีต่อจ้าวมณีนั้นล้ำเลิศกว่ายอดฝีมือธรรมดาๆมากนัก เขารู้สึกลึกๆว่าแม้จะเป็นเพียงแค่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง เขาก็ยังสัมผัสถึงความสำคัญของการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจะละทิ้งความฝันได้อย่างไร? นอกจากนี้เขายังแบกความหวังและความฝันของอาจารย์ของเขา ฮูเหยียนเอ้าป๋อพร้อมทั้งให้สัญญากับอีกฝ่ายไว้แล้วด้วย
ด้วยเหตุนี้ หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงจึงได้เพิ่มคำขอเกี่ยวกับการเฝ้าดูเหล่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์สร้างม้วนคัมภีร์เข้าไปด้วย แม้การได้รับม้วนคัมภีร์จะยอดเยี่ยมมากแค่ไหน แต่หากเขาสามารถเรียนรู้วิธีสร้างมันได้ด้วยตัวเองก็ย่อมดีกว่ามาก การได้เฝ้าดูอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าสร้างม้วนคัมภีร์ขึ้นมาจะช่วยสอนอะไรหลายๆ อย่างให้แก่เขา เป็นการปูทางไปสู่อนาคตในฐานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าที่โดดเด่น ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ต้องการเพิ่มคำขอให้ดูมากเกินไป อย่างน้อยก็พยายามให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาซื่อสัตย์และไร้พิษสง เพราะถึงอย่างไรวิชาเทพอมตะของเขาก็อาจจะไม่คุ้มค่าขนาดนั้น! ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของเขากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ บางทีโจวเหว่ยชิงก็กลัวว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะต้องเจรจาตกลงกันใหม่หลังจากที่พวกเขาตระหนักถึงความลับที่แท้จริงของวิชานี้ในภายหลัง
ซ่างกวนหลงหยินผู้น่าสงสารจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กหนุ่มหน้าตาซื่อๆ เบื้องหน้าเขา ผู้ซึ่งความจริงแล้วฉลาดและเจ้าเล่ห์กว่าลิงได้คิดคำนวณทุกอย่างไว้ในใจหมดแล้ว เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้พยายามเพิ่มเงื่อนไขอีก เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าความประทับใจที่มีต่อเด็กหนุ่มได้เพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ในช่วงเวลาที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น กลุ่มนักรบที่เหลืออีก 3 กลุ่มก็มาถึงอย่างช้าๆ ทีละกลุ่ม ทั้ง 3 กลุ่มยืนอยู่ห่างกันโดยไม่มีใครพูดกับใคร แม้ว่าพวกเขาจะจ้องมองกันและกันอย่างเย็นชานานๆ ครั้งก็ตาม