Hell mode - ตอนที่ 158 ปะทะเฮลมิออส 3
บทที่ 158 ปะทะเฮลมิออส 3
เฮลมิออสกระเด็นไปพร้อมกับพื้นลานประลอง
สกิลโจมตีของผู้กล้าที่ถูกกล่าวว่าสเตตัสแข็งแกร่งที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ กับดาบที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างโอริฮารูกอน
อเลนรอให้เงื่อนไขทุกอย่างเพียบพร้อม
อเลนไม่มีสกิลของดาบ แถมต่อให้เฮลมิออสโดนสกิลปลุกพลังของสัตว์อัญเชิญมังกร B ที่เป็นตัวโจมตีหลักเข้าไปก็แทบไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย
(การจะปราบผู้กล้ายังไงก็ต้องใช้การโจมตีของผู้กล้า มิลเลอร์ทำได้ดีมาก)
‘……’
ถึงสัตว์อัญเชิญหิน B จะพูดไม่ได้ แต่ดูภาคภูมิใจอยู่
ทักษะพิเศษของสัตว์อัญเชิญหิน B คือ “สะท้อน” เป็นความสามารถที่จะสะท้อนความเสียหายจากการโจมตีกายภาพกลับไป อนึ่ง ระหว่างใข้งานทักษะพิเศษจะได้รับความเสียหายจากการโจมตี
ถึงระหว่างใช้งานทักษะพิเศษจะทำให้ความทนทานเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ถ้าทนการโจมตีของอีกฝ่ายไม่ได้ ผลของทักษะพิเศษจะไม่ทำงาน
เนื่องจากมีพลังกายค่อนข้างเยอะ ทำให้ใช้ยาฟื้นฟูกับสัตว์อัญเชิญหิน B เพื่อให้อยู่ในสภาพพลังกายเต็มได้ ทั้งโล่และเกราะที่ร้าวก็ฟื้นสภาพทันที
(เอาละ สำเร็จหรือเปล่านะ?)
เฮลมิออสที่โดนซัดกระเด็นนอนแผ่หลาอยู่
แต่ถ้ามองดูดีๆ เหมือนกับนอนอาบแดดมองท้องฟ้ามากกว่า
“สุดยอดไปเลยนะ นี่รอโอกาสมาตลอดเลยเหรอ”
เฮลมิออสตระหนักได้ว่าตัวเองโดนล่อให้ใช้สกิล เลยรู้สึกดีใจมากที่โดนอเลนซัดไปหนึ่งดอก
“ว่ายังไงครับ? ถ้าไม่ยอมแพ้จะสะท้อนการโจมตีทั้งหมดกลับไปนะครับ? ถ้ายอมยกแหวนฟื้นพลังเวทมาจะยอมยกโทษให้ก็ได้นะครับ?”
พอรู้ว่าสะท้อนสกิลของเฮลมิออสได้ เลยบอกไปว่าจะสะท้อนการโจมตีของเขากลับไปให้หมด
อัญเชิญความเร็วสูงของอเลนเหนือกว่าการเคลื่อนไหวของเฮลมิออส และการสะท้อนไม่ได้จำกัดอยู่ที่สกิลอย่างเดียว พอรู้ว่าเฮลมิออสไม่มีเวทมนตร์โจมตี หลังจากนี้จะสะท้อนการโจมตีทั้งหมดของเขากลับไป
เลยบอกให้ยอมแพ้และมอบแหวนมาเพื่อหยุดการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์
“น่ากลัวนะเนี่ย ฮะๆ งั้นเหรอๆ เยี่ยมเลย เยี่ยมจริงๆเลย”
“อะไรเหรอครับ?”
ถามออกไปว่าทำไมถึงดูดีใจในสภานการณ์อย่างนี้
“งั้นเหรอ คำพูดของราชาแห่งภูตเป็นจริงสินะ ที่บอกว่ามนุษย์ยังมีความหวังอยู่เนี่ย”
(ผู้กล้าพูดเรื่องความหวังเหรอ)
รู้สึกแปลกๆที่ ผู้กล้าซึ่งถูกเรียกว่าความหวังของมวลมนุษย์ กลับมาพูดถึงเรื่องความหวังซะเอง
พอเขาพูดอย่างนั้นร่างของเฮลมิออสก็ส่องแสงที่มาจากเวทมนตร์ฟื้นฟูออกมา ดูเหมือนจะฟื้นพลังกายกลับมาเต็มเหมือนเดิมแล้ว ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นและหันมาทางอเลน
“เอ๊ะ? ยังจะสู้ต่อเหรอครับ?”
“แน่นอน การสอนอเลนคุงให้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ไง”
“ไม่หรอกครับ รับรู้ความยอดเยี่ยมอยู่แล้วนี่ครับ? ผู้กล้าสุดยอดมากเลย”
(เพราะอย่างนั้นรีบๆเอาแหวนมาได้แล้ว ฟื้นทั้งพลังกายกับพลังเวทได้อย่างนี้ ถ้าสู้ไปมากกว่านี้จะสิ้นเปลืองหินเวท นี่เองก็ใช้ไปมากพอควรแล้วด้วย)
“ฮะๆ อเลนคุงเนี่ยไม่เปลี่ยนเลยนะ มองอย่างเดียวไม่ต้องพูดก็ได้ นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์ไง”
ร่างของเฮลมิออสเกิดไอร้อนราวกับเกิดการหักเหของแสงพร้อมกับคำพูดนั้น
(หา? อะไรอีกเนี่ย โดเบิร์กก็ด้วย ไอ้นั่นสินะ? เกลียดความพ่ายแพ้กันเหรอ? เอ็กซ์ตร้าสกิลของผู้กล้าจะมาแล้ว ถึงจะฟื้นฟูมิลเลอร์แล้ว แต่เทคโคแค่ 2 ตัวคงไม่พอ อย่างนี้ 5 ตัว ไม่สิ 10 ตัวจะป้องกันได้หรือเปล่าเนี่ย?)
อเลนรีบเปลี่ยนการ์ดในที่เก็บ แล้วเฮลมิออสก็ตั้งดาบขึ้นมา
ก่อนจะวิ่งมาทางอเลน
“รับไปซะ! ชินเซคเคน(ดาบผ่าเทพ)!!”
(ยะ แย่แล้ว ครั้งนี้ไม่ถามว่าจะยอมแพ้เหรอ)
สัตว์อัญเชิญหิน B โผล่ขึ้นมาระหว่างอเลนกับเฮลมิออสอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โล่แหกกระจาย ทักษะพิเศษ “สะท้อน” ไม่เกิดผลก่อนจะสลายกลายเป็นฟองแสง โดนเล่นงานโดยไม่สามารถสะท้อนเอ็กซ์ตร้าสกิลของเฮลมิออสได้
“อึ้ก!”
ให้สัตว์อัญเชิญหิน C 10 ตัว ใช้ตัวตายตัวแทนรับความเสียหายแทน ซึ่งทั้ง 10 ตัวสลายกลายเป็นฟองแสงพร้อมกันจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของเฮลมิออสส ไม่สามารถรับความเสียหายแทนอเลนได้ทั้งหมด
ตัวอเลนเองก็ตั้งดาบขึ้นมากัน แต่ดาบโอริฮารูกอนที่ใช้งานเอ็กซ์ตร้าสกิลทำให้ดาบของอเลนแหลกเป็นผุยผง จนแขนทั้งสองข้างขาดกระเด็น
พื้นของลานประลองเองยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่
ขนาดใช้ทักษะพิเศษ “ตัวตายตัวแทน” ของสัตว์อัญเชิญหิน C 10 ตัวลดทอนความรนแรงไปแล้วยังมีพลังขนาดนี้
“แค่ก……”
“เป็นไงบ้าง? การโจมตีของผู้กล้า? ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ?”
“……ยังมีชีวิตอยู่ครับ”
(เฮ้อ อย่างนี้คงเป็นศึกยาว ไปหยิบแหวนที่ร่วงก่อนดีกว่า คงไม่ต้องหวังความเมตตาแล้ว)
อเลนเรียกหนังสือเวทออกมาบนฟ้า และให้ผลไม้หนึ่งอันร่วงลงมาจากที่เก็บเพื่อสัมผัสตัวอเลน
แขนของอเลนงอกขึ้นมาใหม่ ถึงเครื่องป้องกันและอาวุธจะโดนซัดจนเละไปแล้ว แต่เขาก็ยืนขึ้นมาจ้องเฮลมิออส
“อะไรเนี่ย? ฟื้นฟูในพริบตาอย่างนี้ หรือว่ายาวิเศษของเอล์ฟ?”
“ก็ประมาณนั้นแหละครับ”
ที่จริงแล้วเป็นยาฟื้นฟูของพืช B แต่ก็ตอบส่งเดชกลับไป ยาฟื้นฟูของพืช E ไม่สามารถงอกแขนขากลับมาได้
หยิบดาบอาดามันเที่ยมสำรองออกมาจากที่เก็บ
เฮลมิออสที่เห็นอย่างนั้นถึงกับตกตะลึง เพราะจิตใจที่คิดจะต่อสู้ของอเลนไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่นิดเดยว
“เอ๊ะ? ทำไมอเลนคุงต้องพยายามขนาดนี้ด้วย?”
“เพราะอยากได้แหวนไงครับ?”
(ใช้เอ็กซ์ตร้าสกิลโจมตีมาอย่างนี้ยังจะพูดอะไรอีก อ๊ะ? หรือคิดจะผิดสัญญา?)
“ไม่ใช่อย่างนั้น เห็นความต่างชั้นแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ยอมล้มเลิก?”
“ถ้าล้มเลิกเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าก็จบสิ้นไม่ใช่เหรอครับ แล้วศัตรูแข็งแกร่งกว่าแต่แรกมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่ครับ”
โลกก่อนก็เป็นอย่างนี้ตลอด ศัตรูแข็งแกร่ง ส่วนตัวเองอ่อนแอ ดังนั้นเพื่อที่ตัวเองจะแข็งแกร่งจำเป็นต้องใช้เวลานาน
“ถ้าหากได้พลังมาแล้ว เบื้องหน้ายังเป็นความสิ้นหวังล่ะ?”
อเลนมองเฮลมิออสราวกับอยากจะบอกว่าถามอะไรออกมา สีหน้ายิ้มแย้มอย่างเคยของเฮลมิออสหายไป ราวกับคาดหวังคำตอบอะไรบางอย่าง
(งั้นเหรอ คงเห็นความสิ้นหวังมาหลายปีสินะ ดังนั้นเลยยิ้มออกมาเพื่อปิดบังจิตใจของตัวเอง)
คงคิดว่าถ้าหากความหวังของมนุษย์ไม่ยิ้มแล้วละก็ เหล่าผู้คจะต้องตกอยู่ในความสิ้นหวัง เลยยิ้มออกมาตลอดเพื่อปิดบังจิตใจของตนเอง
เพื่อดำรงความหวังของมวลมนุษย์เอาไว้ต่อไป
“คุณเฮลมิออส ถ้าหากก้าวข้ามไปแล้วยังเป็นความสิ้นหวังละก็ จะก้าวข้ามความสิ้นหวังนั้นให้ดูเองครับ”
“มันมีจริงเหรอปลายทางของความสิ้นหวัง เธอเป็นใครกันแน่?”
เฮลมิออสถามออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยถามต่อคำพูดของอเลนออกไป
“อยากรู้ว่าผมเป็นใครอย่างนั้นเหรอครับ?”
“แน่นอน ขอฟังคำตอบหน่อยสิ”
สายตาของผู้กล้าที่กลับมาเป็นเหมือนเด็กน้อยจ้องมองไปที่อเลน
“จอมมารบอกว่าตัวเองคือ ‘จอมมารแห่งการสิ้นสุด’ ใช่ไหมครับ”
“ใช่แล้ว ถ้างั้นเธอคือ?”
“ถ้าอย่างนั้น ผมคือ ‘อเลนนักอัญเชิญแห่งการเริ่มต้น’ ไงครับ”
(เพิ่งคิดเมื่อกี้เลย)
“……อเลนนักอัญเชิญแห่งการเริ่มต้น”
อเลนเป็นนักอัญเชิญคนแรก และจะต้องเผชิญหน้ากับจอมมาร ดังนั้นเลยบอกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้าม
เฮลมิออสพูดย้ำชื่อของอเลนออกมา
ทันใดนั้นเฮลมิออสก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาอเลน และหยิบของเล็กๆออกมาจากกระเป๋าคาดเอวเพื่อมอบให้กับเขา
อเลนรับอย่างไม่ขัดขืน สิ่งนั้นคือแหวนฟื้นพลังเวท
“เอ๊ะ? จะดีเหรอครับ?”
(อืม ได้แหวนฟื้นพลังเวทแล้ว จะว่าไป? เงื่อนไขคือทนเอ็กซ์ตร้าสกิลให้ได้งั้นเหรอ? หรือแค่สู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีก็พอ?)
อเลนคิดว่าเงื่อนไขการได้แหวนฟื้นพลังเวทมันแตกต่างกับตอนที่เฮลมิออสพูดในห้องผู้อำนวยการ เลยตรวจสอบกับสิ่งที่จดไว้ในสมุดเวทมนตร์
“แน่นอนอยู่แล้ว ราชาแห่งภูตบอกไว้ว่าจงมอบสิ่งนี้ให้กับ ‘อเลนนักอัญเชิญแห่งการเริ่มต้น’ ไง”
(โอ้ว เงื่อนไขการได้คือต้องบอกว่าตัวเองเป็น “อเลนนักอัญเชิญแห่งการเริ่มต้น” งั้นเหรอ)
พอได้ฟังคำพูดของเฮลมิออส คำทำนายของโรเซนเองคงบอกไว้ว่าอเลนจะเอ่ยชื่อนี้ออกมา
“แต่ว่าไม่เป็นไรแน่เหรอครับ? การต่อสู้มันยากลำบากนี่ครับ?”
คิดว่าถ้าได้แหวนฟื้นพลังเวทมาแล้วเป็นสาเหตุให้เฮลมิออสตายมันคงไม่ดีสักเท่าไร
“เอ้า มีเหมือนกันอยู่แล้ว ราชาแห่งภูตใจกว้างบอกว่าขอให้สิ่งนี้กับ ‘ผู้กล้าเฮลมิออส’ ไง”
เฮลมิออสแสดงแหวนฟื้นพลังเวทที่สวมไว้ให้เห็น ดูเหมือนราชาแห่งภูตโรเซนไม่ได้ให้แหวนฟื้นพลังเวทมาแค่วงเดียว
(โอ้ ถ้างั้นขอรับไปก่อนเลยก็แล้วกัน แล้วเหลือเรื่องที่ต้องทำอีกหนึ่งอย่าง)
อเลนชูมือข้างหนึ่งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เด็ดเดี่ยว
เฮลมิออสถึงกับส่งเสียง “เอ๊ะ?” ออกมาด้วยความประหลาดใจ
สนามประลองยังคงอยู่ในสภาพเดิม ตอนนี้ยังมีผู้ชมจำนวนมากดูอยู่
แน่นอนว่าพวกพ้องของอเลนเองก็มองการต่อสู้กับผู้กล้าอยู่ตลอด
มกุฎราชกุมารเองรวมไปถึงเหล่าขุนนางเองก็อยู่ ที่จริงแล้วพวกเชื้อพระวงศ์กับเหล่าขุนนางคงอยากจะหนีจากสถานการณ์นี้ แต่จะให้เหล่าแขกผู้ทรงเกียรติของแต่ละประเทศเห็นสภาพนั้นไม่ได้
และแขกผู้ทรงเกียรติของแต่ละประเทศเองก็มาในนามของตัวแทน แน่นอนว่าคงอยากจะหนีตั้งแต่ตอนที่มังกรออกมาแล้ว แต่จะแสดงความขี้ขลาดอย่างนั้นให้ราชอาณาจักรเห็นไม่ได้เลยดูการต่อสู้จนถึงท้ายที่สุด
เหล่าอัศวินคอยคุ้มกันในสถานการ์แข่งวัดความกล้านี้ คนดูยังคงอยู่เหมือนตอนเริ่มประลอง และเห็นว่าทั้ง 2 คนคุยอะไรกันอยู่บนลานประลอง
ถึงเฮลมิออสใช้เอ็กซ์ตร้าสกิลจนสนามประลองยุบลงไป แต่ก็เห็นทั้ง 2 คนชัดเจนดี
เหล่าคนดูเห็นว่าผู้กล้ามอบอะไรบางอย่างให้เด็กชายผมดำก่อนที่เขาจะยกมือขึ้น ถึงจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นไปครู่หนึ่ง แต่ก็นึกออกว่าที่นี่คือลานประลอง
“ยอมแพ้แล้วครับ แข็งแกร่งสมเป็นผู้กล้าจริงๆ ใช้พลังจนหมดแล้ว เจ็บใจมาก”
(ไม่มีเหตุผลให้ต่อสู้แล้ว แต่ก็เหนื่อยจริงๆนั่นแหละ)
อเลนทำท่ายอมแพ้พร้อมกับพูดเหมือนท่องบท
เฮลมิออสไม่เข้าใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทำหน้าเอือมๆพร้อมกับบอกออกมาว่า “สมกับเป็นอเลนคุงจริงๆ”
ด้วยเหตุนี้ การประลองระหว่างอเลนกับเฮลมิออสก็จบลงด้วยชัยชนะของเฮลมิออส
เหล่านักเรียน แขกผู้ทรงเกียรติของแต่ละประเทศ มกุฎราชกุมารและเหล่าขุนนางตามสถานการณ์ไม่ทัน
ทำได้แค่มองผู้ชายสองคนยืนคุยกันอยู่บนลานประลองที่พังยับเยินเท่านั้น