I Just Want To Play Games Quietly ฉันก็แค่อยากเล่นเกมเงียบๆเท่านั้นเอง - ตอนที่ 872
ชายแก่
วิชาลมปราณที่สลักบนประตูนั้นค่อนข้างแปลกมากๆ มันเป็นวิชาลมปราณดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสกัดลมปราณบริสุทธิ์
แต่ละครั้งที่เขาใช้ลมปราณนั้นมันจะทำให้ของเสียที่อยู่ในลมปราณถูกสกัดออกไป ทำให้ลมปราณที่ได้นั้นมันบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าถ้าเขาฝึกวิชานี้แล้วจะทำให้เขาสามารถเข้าไปในสุสานได้แต่มันก็ไร้ผล หลังจากที่เขาดึงวิชาลมปราณนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเองแล้ว เขาลองผลักประตูแล้วแต่มันก็ยังล๊อคอยู่ไม่เปิดออก ทำให้โจวเหวินผิดหวัง
ตอนแรกเขาอยากที่จะเข้าไปในโถงภายใน ในเกมส์ก่อน เพื่อดูว่ามันจะมีทางไหนที่จะสามารถฝ่าดาบหินนั้นไปได้ไหม แต่ตอนนี้เข้าไปในเมืองยังไม่ได้เลย เขาเลยถอดใจ
มารพยัคฆ์เกราะวิญญาณเองก็แข็งแกร่งขึ้น และแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้มันสามารถสู้กับรูปปั้นทั้ง12ตัวได้แล้ว มันวิ่งไปมาในเมืองโบราณ ระหว่างทางทหารทองแดงก็ล้มตายเป็นเบือ เหลือทิ้งไว้แค่รูปปั้นทองคำ12ตัวเท่านั้น
“ไอ้เจ้านั้นมันพลังเหลือล้นจริงๆแหะ ถ้าเกิดเวลามีพอละก็ มันคงอาจจะได้แกร่งกว่าเบม่อนแน่ๆ”โจวเหวินรู้สึกโล่งใจแต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่ เพราะด้วยการที่มันมีสกิลด้านลบอยู่ จอมบงการกับมารวารีปฐพีทลาย ทำให้โจวเหวินสบายใจไม่ได้เลย
“นี้เจ้ารุ่นน้อง ฉันจำได้ว่าสิงโตตัวนั้นมันเป็นสัตว์อสูรแค่ระดับมหากาพย์นี้ ทำไมพลังมันถึงได้เยอะแบบนั้นละ” หลิวหยุนถามขึ้นมา
“นายไม่รู้เหรือว่าสัตว์อสูรน่ะมันพัฒนาร่างได้”โจวเหวินพูด
หลิวหยุนอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่คือสิงโตเกราะเวทกลับไปให้กับโจวเหวินในตอนนั้น สัตว์อสูรที่สามารถพัฒนาร่างได้นั้นมันมีน้อยตัวมาก แล้วส่วนมากก็จะเป็นสัตว์อสูรที่ฟ้าประธานมาให้หรือได้เป็นของรางวัลจากพื้นที่ต่างมิติพิเศษๆถึงจะพัฒนาร่างได้ ในมุมมองของหลิวหยุน สิงโตเกราะเวทเองก็น่าจะเป็นประมาณนั้น
ในระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือนนั้นเอง รูปปั้นทองคำตัวนึง รับแรงกระแทกไม่ไหว แล้วแตกร้าวพังลงมา ร่างใหญ่โตของมันร่วงลงมากับพื้น แต่ร่างที่เคยแข็งแกร่งของมันนั้นกลับเปราะบางและแตกหักไปทั่ว
โจวเหวินเห็นผลึกดรอปออกมาจากตัวของรูปปั้นทองคำ
หลังจากที่เสียรูปปั้นไปตัวนึง พลังในการต่อสู้ของรูปปั้นทั้งหมดนั้นลดลงอย่างมาก ในขณะที่มารพยัคฆ์เกราะวิญญาณนั้นแกร่งขึ้น ในสถานการณ์แบบนี้พลังของมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณก็ยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้รูปปั้นทองคำนั้นโดนกดดันอย่างหนัก
มารพยัคฆ์เกราะวิญญาณตอนนี้เหมือนเครื่องจักรสังหารแห่งสงครามที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันกระหายเลือดเนื้อและการต่อสู้ มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่รูปปั้นทองคำ11ตัวยังรับไม่ไหว ในที่สุด แปปนึงต่อมา รูปปั้นอีกตัวก็ได้พังทลายลง
จนสุดท้ายพลังของรูปปั้นทองคำก็ตกต่ำลงมากจนไม่สามารถรับมือกับมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณไหว พวกมันก็โดนฆ่าไปทีละตัวจนกระทั้งไม่เหลือสิ่งมีชีวิตต่างมิติอยู่ในสุสานโบราณอีกเลย
โจวเหวินเดินลงไปเก็บกวาดซากสงคราม แล้วเก็บไข่สัตว์อสูรกับผลึกที่ดรอปมาจากรูปปั้นทองคำกับทหารทองแดง
รูปปั้นทองคำนั้นดรอปออกมาแต่ผลึก แต่มันเป็นผลึกสกิล
โจวเหวินดูข้อมูลในโทรศัพท์แล้ว เขาก็พบว่ามันต้องใช้วิชาลมปราณของที่นี้ แถมยังต้องการค่าลมปราณ 41 กับค่าร่างกาย41อีกด้วย น่าเสียดายที่ตอนนี้โจวเหวินมีแค่ค่าลมปราณเท่านั้นที่41 แถมเขายังไม่ได้เรียนรู้วิชาลมปราณ สกัดปราณอีกด้วย เพราะงั้นเขาจึงทำได้แค่เก็บไว้ก่อน
หลังจากที่เอาชนะได้แล้วไฟบนตัวของมารพยัคฆ์เกราะวิญญาณก็ดับไปทำให้มันสงบลงมาก พลังของมันก็หายไปด้วยเหมือนกัน
โจวเหวินยังไม่สั่งให้มารพยัคฆ์เกราะวิญญาณพุ่งเข้าไปในปราสาทต่อ เพราะถึงแม้ว่ามันจะมีพลังมหาศาล แต่เขาก็ยังคิดว่ามารพยัคฆ์เกราะวิญญาณยังไม่ก้าวข้ามระดับความกลัวอยู่ดี การสู้กับดาบหินนั้นอาจจะมีแต่สียก็ได้
“นี้เราต้องรออยู่ตรงนี้ รอจอมมารอย่างผู้วิเศษจิงเต้ากลับมาโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆเหรอ”หลิวหยุนดูไม่ค่อยชอบใจ แต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้
เขาเลยลองอัญเชิญสัตว์อสูรระดับมหากาพย์หลายๆตัววิ่งเข้าไปในปราสาท แต่หลังจากที่เข้าไปแล้วพวกมันก็โดนลำแสงที่ปล่อยออกมาจากดาบนั้นฆ่าตายทุกตัวทันทีโดยที่ดาบยังไม่ถูกชักออกจากฝักซะด้วยซ้ำ
โจวเหวินเองก็มองไปที่ดาบหิน แต่ดวงตาของเขากลับจ้องมองไปที่ตำราไม้ไผ่มากกว่า
“ถึงดาบหินนั้นจะแข็งแกร่งแต่ดูเหมือนพลังทั้งหมดของมันจะมาจากตำรานั้นเลย บางทีถ้าเกิดทำลายตำราไม้ไผ่นั้นได้ พลังของดาบหินนั้นอาจจะลดลงไปมากเลยโอกาสที่จะเข้าไปยังมีอยู่ซินะ”โจวเหวินคิด แต่ประเด็นก็คือ การจะเข้าไปทำลายตำราได้นั้น ยังไงก็ต้องฝ่าด่านดาบหินให้ได้ก่อน เพราะงั้นถ้าอยากจะทำลายตำราก่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
โจวเหวินคิดมาซักพักก่อนจะลองอัญเชิญหนอนเลือดตัวเล็กๆออกมาแล้วให้มันคลานเข้าไปในปราสาท เขาอยากจะเห็นว่าดาบหินนั้นจะตอบสนองยังไงกับสัตว์อสูรขนาดเล็ก
แต่ทันทีที่มันคลานเข้าไปในปราสาท แสงดาบก็ฟาดลงมาใส่หนอนเลือดทันที
“สัตว์อสูรขนาดเล็กก็ใช้ไม่ได้เหรอ”โจวเหวินคิด
ตอนนี้โจวเหวินเริ่มหมดหนทาง อีกหนทางนึงคือตัวของเขาเองต้องเข้าไปในโถงนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้ได้ผลไหมด้วย
แต่เขาไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น แถมรูปปั้นหินเองยังแกร่งเกินกว่าที่เขาจะสู้ได้ด้วย
“นั้นอะไรหน่ะ”หลิวหยุนชี้ไปที่ด้านในของเมืองโบราณแล้วร้องออกมา
โจวเหวินหันหลังกลับไปมองข้างในเมือง แล้วเขาก็เห็น ลำแสงที่ยิงตรงลงมายังใจกลางเมือง แสงนั้นส่องสว่างทำให้ทั้งเมืองใต้ดินสว่างจ้า
โจวเหวินขมวดคิ้ว ตอนนั้นเองที่เขาใช้สดับวานรตรวจสอบดู แล้วเขาก็พบว่า มีอะไรบางอย่างอยู่ภายในลำแสงนั้น
“มนุษย์เหรอ… ไม่ใช่ ผู้พิทักษ์เหรอ ก็ไม่ใช่อีก”โจวเหวินมองแล้วสงสัย
รูปร่างของมันเหมือนมนุษย์แต่งกายเหมือนมนุษย์แต่ก็ยังแอบๆมีกลิ่นอายเหมือนผู้พิทักษ์
“เป็นไปไม่ได้หน่ะ…”โจวเหวินเริ่มคิดถึงหวังหมิงหยวนขึ้นมา สิ่งมีชีวิตตรงหน้าของเขานั้นเหมือนเป็นการรวมร่างกันระหว่างมนุษย์กับผู้พิทักษ์ แต่มันต่างจากหวังหมิงหยวนตรงที่หวังหมิงหยวนนั้นรวมร่างกับผู้พิทักษ์โดยที่ตัวของหวังหมิงหยวนคือหัวหลักที่คอยควบคุมร่าง
แต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้านั้น ความรู้สึกมันเอียงไปทางผู้พิทักษ์ซะมากกว่า
หลิวหยุนเองก็จ้องสิ่งมีชีวิตตัวนั้นตาไม่กระพริบ เขาเห็นมันค่อยๆเดินบนอากาศ เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาเรื่อย เสื้อผ้าของมันเป็นผ้าคลุมยาวที่ดูพริ้วไหวและไม่มีผลต่อแรงโน้มถ่วงทำให้เขาลอยได้แม้ไม่มีลม
หลังจากเข้ามาใกล้แล้ว พวกเขาก็เห็นหน้าตาที่แท้จริงของสิ่งมีชีวิตตัวนั้น มันเป็นชายแก่ที่มีผมและหนวดยาวสีขาว แต่งชุดเหมือนเทพจีน
แต่มันต่างจากมนุษย์ปรกติตรงที่ผิวหนังของเขานั้นมันผ่องใสเหมือนกับหินหยก ใสซะจนแทบจะโปร่งแสง
ชายแก่คนนั้นค่อยๆเดินตรงมาทางประตูปราสาท ส่วนโจวเหวินกับหลิวหยุนก็ค่อยๆถอยล่นลงมาเรื่อยๆ แต่ชายแก่กลับดูไม่สนใจพวกเขาเลย เหมือนกับว่าทำเป็นไม่เห็นพวกเขาแล้วเดินต่อไปที่ประตูปราสาท