I Was Kidnapped By The Strongest Guild - ตอนที่ 4 กลับบ้าน (2)
พวกเรามาถึงเชิงเขาซึ่งเป็นลูกเดียวกับที่บ้านของฉันตั้งอยู่
หลังจากที่ฉันลงมาจากรถ ฉันก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับหญิงสาวโดยการหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า
หวืด หวืด—
ฉันเช็ดเบาะรถตรงที่ฉันนั่งอย่างตั้งใจ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่บนรถจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เธอถึงกับขั้นถอนหายใจออกมา
ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า?
ฉันหยุดเช็ดและมองไปที่ใบหน้าของหญิงสาว
“ทำไม…?”
“พี่ก็แค่… ไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่น่ะ”
เป็นเพราะฉันทำให้รถสกปรกเหรอ?
ฉันเหลือบมองหญิงสาวก่อนที่ฉันจะเริ่มขัดเบาะรถให้แรงมากยิ่งขึ้น
มันเป็นหนทางเดียวที่จะแสดงให้เห็นว่าฉันพยายามขัดมันจนสุดความสามารถ ดังนั้นอย่าตำหนิฉันเลย
หวืด หวืด—
ฉันใช้แรงในร่างกายของฉันทั้งหมดในการขัดเบาะ ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ที่ดูเหมือนกับนักปีนเขาก็เริ่มซุบซิบอะไรกันบางอย่าง
“นี่ นั่นมันฮันยอรึมไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ ทำไมเธอถึงให้เด็กทำเรื่องแบบนั้น…?”
พวกเขาหมายความว่ายังไงที่พูดว่า ‘ให้เด็กทำเรื่องแบบนั้น’?
ฉันเงยหูที่ประสาทสัมผัสไวของฉันขึ้นและตั้งใจฟังบทสนทนาของคนเหล่านี้
ฉันหวังว่าพวกเขาจะเปิดเผยจุดอ่อนของ ‘ฮันยอรึม’ ออกมาให้ฉันได้ยิน
แต่ดูเหมือนว่าเธอจะอ่านความคิดของฉันออก เธอรีบปิดประตูรถและตรงดิ่งมาหาฉัน
“หยุดเถอะ ไม่ต้องแล้ว ปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ!”
เธอดึงฉันออกมา
ความแข็งแกร่งของเธอและฉันห่างกันมาก จนฉันไม่สามารถต่อต้านเธอได้เลย
ฉันรู้สึกไม่พอใจกับร่างกายที่อ่อนแอของฉัน
“แต่ฉันยังทำความสะอาดไม่เสร็จเลย…”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวยังไงพวกเราก็ต้องขี่มันอีกครั้งอยู่แล้ว เธอจะทำความสะอาดมันตอนนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?!”
“อีกครั้ง?”
คำพูดที่น่าตกใจของเธอทำให้ฉันตัวแข็งทื่อไปหมด
โง่เง่าชะมัดเลย ฉันคิดว่าพอถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันก็จะเป็นอิสระ
ฉันคิดว่าพอฉันถึงบ้านเมื่อไหร่ ฉันก็จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ฉันนี่มันโง่จริง ๆ เลย
หลังจากที่เธอดูบ้านของฉันเสร็จแล้ว เธอก็คงจะพาฉันกลับไป
ด้วยความสิ้นหวัง ฉันจึงหยุดทำความสะอาดและมองไปที่เธอ
“งั้นเราไปที่บ้านของเธอกันเลยไหม? พี่อยากเห็นบ้านของเธอแล้ว”
“โอเค…”
เนื่องจากยังไงเราก็ต้องขี่มันอีกครั้งอยู่แล้ว
อย่างที่เธอพูดเลย เราไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดมันในตอนนี้
ดังนั้นฉันจึงพาหญิงสาวไปยังที่ตั้งเต็นท์ของฉัน
ที่อยู่ลึกเข้าไปในใจกลางภูเขา
——————————————————————————————————————————
เพื่อที่จะไปยังบ้านของฉัน เราต้องปีนไปตามเส้นทางที่ลาดชันของภูเขา มันไม่ใช่เส้นทางปีนเขาที่ได้รับการดูแลอย่างดีแต่เป็นเส้นทางที่ขรุขระตามเนินป่า
หญิงสาวดูเหมือนจะสงสัยกับสิ่งนี้และจ้องมองมาที่ฉัน
“ใช่ทางนี้แน่เหรอ…?”
“ใช่ อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”
ฉันพบว่าการปีนภูเขาที่ขรุขระนั้นง่ายขึ้น อาจจะเป็นเพราะร่างกายที่เบาขึ้นของฉัน
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่ดี
เนื่องจากร่างกายของฉันเล็กลง ฉันเลยต้องก้าวเท้ามากขึ้น
“การอาศัยอยู่ที่นี่มันไม่อันตรายเกินไปหน่อยเหรอ?”
“ก็ใช่อยู่ แต่ว่า… ดูนั่นสิ ดอกแดนดิไลออน!”
“แดนดิไลออน?”
ในขณะที่ฉันกำลังจะตอบเธอ ฉันก็เหลือบเห็นดอกแดนดิไลออนที่เติบโตอยู่ใต้ต้นไม้เน่า ๆ
มันมีรสขมนิดหน่อย แต่ก็ดีต่อสุขภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันตัดสินใจที่จะขุดมันอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รากของมันเสียหาย
หวืด หวืด—
ฉันใช้มือเล็ก ๆ ของฉันขุดดินอย่างกระตือรือร้น
ฉันรู้สึกเจ็บมือที่แสนนุ่มนิ่มของฉัน
มือที่นุ่มนิ่มของฉันรู้สึกเจ็บจากการขุดดิน แต่ฉันก็อดทนเพื่อให้ได้ดอกแดนดิไลออน
“หยุดก่อน เดี๋ยวพี่ทำให้เอง”
หญิงสาวรีบคว้ามือของฉันออกไปและเริ่มขุดดินโดยใช้มีดที่ถูกผูกเอาไว้ที่เอวของเธอ
ถึงฉันจะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงช่วยฉัน แต่ฉันก็ตัดสินใจที่จะเปิดปากพูด
“ร-ระวังอย่าให้รากเสียหาย…”
“เข้าใจแล้ว พี่เก่งเรื่องนี้ดี”
เธอใช้มีดหมุนไปรอบ ๆ และหลังจากนั้นดอกแดนดิไลออนก็เริ่มโผล่ออกมาจากดินพร้อมกับรากทั้งหมด
“ว้าว”
ฉันไม่เคยรู้เลยว่าแม่มดจะมีทักษะแบบนี้
ฉันรีบเก็บดอกแดนดิไลออนที่ถอนรากออกมาแล้วใส่ลงไปในกระเป๋าของฉันอย่างรวดเร็ว
“เธอชอบดอกไม้เหรอ?”
“ใช่ ถึงแม้ดอกแดนดิไลออกจะขมนิดหน่อยแต่มันก็ดีต่อสุขภาพ”
“เอ่อ… นี่เธอกินมันงั้นเหรอ?”
ฉันเอียงคอให้กับคำพูดที่ติดอ่างของเธอ
ถ้าไม่ได้ขุดมันออกมาเพื่อกิน มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่จะขุดมันขึ้นมา
“ดอกแดนดิไลออนดีต่อเมื่อเราเป็นหวัดและเมื่อเราเหนื่อย”
“จริงเหรอ?”
“ใช่ แล้วก็…”
ในขณะที่ฉันกำลังบอกสรรพคุณของดอกแดนดิไลออนให้เธอฟัง พวกเราก็มาถึงที่บ้านของฉันแล้ว
ถึงมันจะเป็นเต็นท์ขาด ๆ แต่มันก็เป็นที่ที่สุขใจที่สุดในโลกสำหรับฉัน
“ท-ที่นี่น่ะเหรอ บ้านของเธอ?”
“ใช่!”
ในที่สุดก็ถึงบ้านแล้ว
หวังว่ามะเขือเทศและผักกาดขาวจะยังอยู่ดีนะ
ฉันวิ่งไปที่สวนอย่างมีความสุข แต่พอไปถึงแล้วฉันก็รู้สึกสิ้นหวัง
มะเขือเทศ ผักกาดหอม และผักชนิดอื่น ๆ อีกบางส่วนมันเหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว
“อั๊ก”
พืชอันลํ้าค้าของฉันมันตายไปหมดแล้ว
นี่ฉันหมดสติไปนานแค่ไหนกัน?
ฉันอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องฝืนไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
หลังจากความอยุติธรรมที่ฉันเคยเผชิญมาตลอดทั้งชีวิต ฉันไม่ควรมาเสียนํ้าตาให้กับเรื่องแบบนี้
ดีละ
ฉันวางแผนจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักพัก
——————————————————————————————————————————
พอเห็นบ้านของคยออุล ยอรึมก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจอย่างไม่ได้ตั้งใจ
บ้านของคยออุลเป็นเพียงแค่เต็นท์ที่ทรุดโทรม มันเรียกว่าบ้านไม่ได้ด้วยซํ้า
‘มีคนอยู่ในที่แบบนี้ได้จริง ๆ งั้นเหรอ…’
เต็นท์ที่ดูเหมือนว่าจะพังแล้วถูกยึดไว้ด้วยกิ่งไม้เพียงแค่ไม่กี่กิ่ง มันดูราวกับจะปลิวหายไปได้ทุกเมื่อหากมีลมแรง ๆ พัดมา
“โอ้พระเจ้า”
เนื่องจากมีรูอยู่ทั่วเต็นท์ หากมีฝนตกลงมา ภายในเต็นท์ก็คงจะเปียกอย่างแน่นอน
ยอรึมกลืนนํ้าลายลงคออย่างแรงและเดินเข้าไปในเต็นท์
‘เพดานต่ำมาก’
เธอต้องก้มตัวลงเพื่อที่จะเข้าไปภายในเต็นท์
เดิมที คยออุลก็สูงพอ ๆ กับยอรึม
พอมาคิดถึงการใช้ชีวิตที่ต้องทนทุกข์ของคยออุลแล้ว ยอรึมก็รู้สึกไม่สบายใจ
“เรื่องจริง…”
ภายในเต็นท์ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าด้านนอกเลย
มีเชื้อราที่เกิดจากความชื้น และแมลงที่ไม่ทราบชื่อคลานยั้วเยี้ยเต็มพื้นไปหมด
ดูเหมือนกล่องที่อยู่ตรงนั้นจะถูกใช้เป็นเตียง พร้อมกับผ้าห่มบาง ๆ หนึ่งผืน
ไม่มีองค์ประกอบพื้นฐานในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมอยู่เลย
มันไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เด็กแปดขวบจะทนได้อย่างแน่นอน
‘ฉันทำอะไรลงไป…’
ภายในเต็นท์เก่า ๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าที่เงียบสงบ เด็กคนนี้มีชีวิตอยู่แบบไหนกัน?
ยอรึมสูญเสียกำลังในการยืน และเธอก็ทรุดตัวลงกับพื้น
เธอรู้สึกขยะแขยงตัวเองที่มักจะดุด่าและไล่เด็กที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ตลอด แม้แต่ในตอนที่คยออุลมองไปรอบ ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือฉันก็ยังทำแบบนั้น
เป็นเพราะเด็กตัวใหญ่เกินไปเหรอ?
ฉันจะปลอบใจตัวเองด้วยข้อแก้ตัวแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด
ท้ายที่สุด เด็กอาจจะไม่เคยรู้แนวคิดเรื่องการพักผ่อนเลย
“คยออุล”
ยอรึมมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบคยออุลในเต็นท์เลย
เธอออกไปด้านนอกเหรอ?
ยอรึมรีบออกมาจากเต็นท์
คยออุลอยู่ที่สวนผักเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ไม่เกินสองถึงสามตารางเมตร
“ทำอะไรอยู่เหรอ คยออุล?”
คยออุลสะดุ้งกับเสียงที่จู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา
กลัวการพูดคุย เธอมักจะแสดงท่าทีหวาดกลัวอยู่เสมอเมื่อพูดด้วย อาจเนื่องมาจากการปฏิบัติที่รุนแรงของผู้ใหญ่
“…ดึงพืชผลที่ตายแล้วอยู่”
คยออุลกำลังดึงผักกาดหอมที่เหี่ยวเฉาออกมา
แถมเธอยังขูดดินด้วยหินแหลมคม เพื่อเกลี่ยแปลงผักให้เรียบ
ไหล่และหูที่ตกของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังรู้สึกเสียใจอย่างมาก
“ขอโทษนะคยออุล เธอหลับไปสัปดาห์กว่า เพราะงั้นมันคงจะเหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว”
“สัปดาห์?”
“ใช่ มันเป็นความผิดของพี่เอง เพราะงั้นให้พี่ช่วยนะ”
ยอรึมจับดินรอบ ๆ มะเขือเทศ
เมื่อเธอดึงดินขึ้นมา มะเขือเทศก็ถูกดึงออกมาจากรากด้วยเช่นกัน
[TL/ น่าจะเป็นการเอานิ้วจิ้มลงไปในดินแล้วงัดมันขึ้นมา น่าจะ?]
“ว้าว”
คยออุลเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ
ดินที่เลอะอยู่บนใบหน้าสีขาวของคยออุลไหลลงมาที่แก้มอันนุ่มนิ่มของเธอ
“เป็นไง? พี่แข็งแกร่งใช่ไหมล่ะ?”
ยอรึมเกร็งแขนของเธออย่างสนุกสนาน
กล้ามเนื้อเรียบ ๆ ภายใต้แขนเสื้อของเธอทำให้คยออุลตกใจและลดสายตาลง
‘อ่า’
เธอคงจะกลัวผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง
มันไม่น่าแปลกใจเลย หลังจากที่เธอโดนพวกผู้ใหญ่ทารุณมาอย่างยาวนาน
เมื่อตระหนักได้ถึงความผิดพลาด ยอรึมก็ลดแขนลง
“พี่จะดึงของพวกนี้ออกมาให้ แต่คยออุลจะทำอะไรเหรอ?”
“จะไปตรวจกับดัก”
กับดัก?
เด็กน้อยทำอะไรมากมายเพื่อความอยู่รอด
ยอรึมรู้สึกเจ็บปวดที่ใจในขณะที่หันไปมองลำธารที่อยู่ข้าง ๆ เต็นท์
“โอเค พี่จะถอนพืชในขณะที่เธอไปตรวจสอบกับดัก ตกลงไหม?”
“ตกลง…”
คยออุลวิ่งไปที่ลำธาร
ถึงแม้หูและหางของเธอจะกระเด้งขึ้นลงอย่างน่ารัก แต่ยอรึมกลับอดที่จะยิ้มไม่ได้
เมื่อมองดูร่างที่ค่อย ๆ ห่างออกไปของคยออุล ยอรึมก็เอื้อมมือไปหยิบมะเขือเทศลูกต่อไปอย่างระมัดระวัง
และในขณะนั้นเอง
“ว้าว!”
ฉันได้ยินเสียงร้องอุทานของคยออุลดังก้องออกมาจากลำธาร
“คยออุล?”
มันไม่ใช่เสียงกรีดร้องเพราะเจออันตราย
แต่ถึงกระนั้น ยอรึมก็วิ่งไปที่ที่คยออุลอยู่เผื่อว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น
“คยออุล เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“จับปลาตัวใหญ่ได้!”
คยออุลแสดงกับดักออกไปให้ยอรึมเห็นอย่างภาคภูมิใจ
ภายในกับดักที่ดูเหมือนว่ามันจะพังได้ทุกเมื่อ มีปลาซิวที่ตัวไม่ได้ใหญ่ไปกว่านิ้วก้อยอยู่
มันเรียกว่าปลาใหญ่ไม่ได้ด้วยซํ้า
“เห็นไหม? มันเป็นปลาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยจับได้เลย”
คยออุลจับกับดักไว้อย่างมีชัย
นํ้าจากกับดักไหลย้อยลงมา ทำให้ผมและหูของคยออุลเปียก
หูแมวสีขาวของเธอสั่นเมื่อเปียกนํ้า
‘เอ่อ…’
ถัดจากปลาซิวขนาดเท่านิ้วก้อยก็มีเพียงปลาซิวขนาดเท่าเล็บมือ
มันคงจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเธออย่างแน่นอน
ยอรึมยิ้มด้วยสายตาของเธอและยื่นมือออกไปทางคยออุล
“ใช่ มันใหญ่มากเลย พี่ขอดูมันใกล้ ๆ หน่อยได้ไหม?”
“ใกล้ ๆ …?”
คยออุลกอดกับดักไว้ที่น่าอกของเธอ โดยไม่สนเลยว่าเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่เธอสวมอยู่จะเปียกหรือเปล่า
ในขณะนั้นคยออุลคิดเพียงแต่ว่า
‘เธอพยายามจะเอาปลาไปจากฉัน’
ปลาที่ใหญ่ที่สุดที่เธอเคยจับได้
คยออุลไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอต้องมอบปลาที่น่าประทับใจนี้ให้กับยอรึม