ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I'm really a superstar - ตอนพิเศษ : คำตาม 3
เช้าวันหนึ่ง
ในคุก
จางเย่ยืดเหยียดตัวหลังจากตื่น ไม่มีงาน ไม่มีใครให้เล่นด้วย ดังนั้นพอนอนอิ่มร่างกายก็ตื่นขึ้นเอง พอตื่นแล้วเขาก็เดินไปเดินมาในห้องขัง เอามือไพล่หลัง ฝึกท่านั่งม้าและวิทยายุทธ์อื่นๆ บางครั้งก็ร้องเพลง ‘น้ำตาหลังลูกกรง’ ออกมาด้วยความคุ้นเคยกับชีวิตที่นี่
“วันใดจะได้กลับคืนบ้านเรา
วันใดจะได้กลับคืนบ้านเรา
โซ่ตรวนแท่งเหล็กกักฉันไว้
เพื่อนเอ๋ยฟังฉันร้องสักเพลง…”
ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา
ผู้คุมหนุ่มเดินเข้ามา พูดยิ้มๆ “อาจารย์จาง ร้องเพลงอีกแล้วเหรอ?”
“อืม” จางเย่ว่า “วอร์มเสียงน่ะ จะได้ไม่ลืมพื้นฐานไง”
ผู้คุมหนุ่มพูดด้วยความนับถือ “คุณนี่เป็นมืออาชีพจริงๆ อ้อ เตรียมตัวหน่อยครับ มีคนมาเยี่ยม”
จางเย่แค่นเสียง “มากันทำไมอีกเนี่ย?”
ผู้คุม “ไม่ใช่ครอบครัวคุณครับ ครั้งนี้เป็นทางเรือนจำส่งมา น่าจะเป็นพวกระดับสูง แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
จางเย่กลอกตา “ระดับสูง? งั้นผมไม่พบแล้วกัน”
ผู้คุม “อาจจะเป็นคนของพรรคฯ นะครับ”
“ก็ช่างสิ!” จางเย่โบกปัด “ปฏิเสธการเข้าพบ”
ผู้คุมหนุ่มยิ้มเจื่อน “งั้น ให้ผมไปถามดูก่อนนะครับว่าได้รึเปล่า?”
เขาจากไป
ไม่นานพัศดีก็มาด้วยตนเอง
พัศดีท่านนี้เป็นคนรูปร่างท้วม “อาจารย์จาง คนเข้าเยี่ยมรออยู่ครับ”
จางเย่ปฏิเสธ “ผมไม่ไปหรอก”
พัศดีนั้นพูดไม่ออก “คนจากวิทยาศาสตร์บัณฑิตสภาแห่งชาตินะครับ”
จางเย่เบ้ปาก “เหล่าเฉียน ถ้าเป็นครอบครัวผมผมต้องไปพบแน่นอน แต่ผมจะไม่พบกับใครอื่นทั้งนั้น จะเป็นสภาอะไรก็ไม่สนใจ ถ้ามีคนมาขอพบ แปลว่าผมต้องออกไปพบแต่โดยดีเหรอ? ใครมาก็ต้องไป? งั้นผมยังมีหน้ามีตาอะไรเหลืออีกกัน?”
พัศดีนั้นตะลึง “เพราะเหตุผลแบบนี้เหรอ?”
จางเย่ “แน่นอน ถึงผมจะไม่มีตำแหน่งอะไรเหลือมากแล้ว ผมก็ยังต้องมีศักดิ์ศรีบ้างสิ”
พัศดีนั้นว่า “ทางโน้นว่ามีเรื่องด่วนขอพบคุณจริงๆ ครับ ทางกระทรวงฯ โทรมาหาผมให้จัดการให้พบคุณให้ได้ ต้องการพบคุณด่วนที่สุด แต่ว่ากลางดึกจะให้ผมมาพบคุณได้ยังไง? ยังไงก็มาปลุกคุณไม่ได้จริงไหม? แบบนั้นก็ไม่ดีนักนะครับ”
จางเย่ถึงค่อยยินยอม “ก็ได้ นี่ผมไว้หน้าคุณนะเหล่าเฉียน”
***
สิบนาทีให้หลัง
ในห้องเข้าเยี่ยม จางเย่พบกับผู้มาเยือนแล้ว
เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายอายุราวหกสิบ สวมแว่นอ่านหนังสือคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงวัยสี่สิบกว่า ไม่สวยแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร พอจางเย่เข้ามาในห้องปุ๊บ ฝ่ายหญิงก็ยิ้มให้ทันที ก่อนแจ้งชายสูงวัยด้านข้าง
ทั้งสองลุกขึ้นอย่างมีมารยาท
บัณฑิตโจวมองจางเย่ “สวัสดีครับศาสตราจารย์จาง ขออนุญาตแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อโจวซื่อจากวิทยาศาสตร์บัณฑิตยสภา” ก่อนผายมือไปทางบุคคลด้านข้าง “นี่คือฉือ…”
“ฉือเสวีย นักวิจัยในภาคคณิตศาสตร์และวิทยาการระบบของสภาฯ” จางเย่ต่อให้
ฉือเสวียยิ้ม “ศาสตราจารย์จางรู้จักฉันเหรอคะ?”
จางเย่ “ในประเทศเรามีคนในวงการคณิตศาสตร์แค่หยิบมือ ถึงไม่เคยเจอกันผมก็ยังพอทราบอยู่ครับ”
บัณฑิตโจวยิ้ม “ในเมื่อพวกคุณรู้จักกันงั้นก็ง่ายแล้วครับ เชิญนั่งลงก่อนครับ”
บัณฑิตโจวกับฉือเสวียให้ความสำคัญกับการพบกันครั้งนี้มาก ทว่าจางเย่กลับไม่ค่อยสนใจนัก
บัณฑิตโจว “เสี่ยวฉือกับผมมาวันนี้ด้วยภารกิจสำคัญ นี่คือโครงการที่สำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ ตอนนี้ผมยังให้ข้อมูลกับคุณไม่ได้ แต่ว่าระหว่างดำเนินโครงการ เราพบกับปัญหาที่ค่อนข้างยากเอามากๆ ติดอยู่ที่การคิดอัลกอริธึมใหม่ให้โครงการครับ”
จางเย่ “ก็ให้คนอื่นคำนวณสิ”
บัณฑิตโจวถอนหายใจ “ไม่มีใครคำนวณได้น่ะสิครับ”
จางเย่ “บัณฑิตหยวนล่ะ?”
บัณฑิตโจว “ถามแล้วครับ ไม่ไหว”
จางเย่นึกชื่ออื่น “ศาสตราจารย์หู?”
บัณฑิตโจวส่ายหน้า “ศาสตราจารย์หูคิดอยู่ครึ่งเดือนแล้วก็ยังไม่ได้ครับ”
ฉือเสวียพูดอีกครั้ง “เอาอย่างนี้ดีกว่าค่ะ ศาสตราจารย์จาง ทุกท่านที่คุณนึกออก พวกเราติดต่อไปหมดแล้ว ไม่มีใครที่คำนวณได้เลย รวมถึงฉันด้วย”
บัณฑิตโจวมองเขา “มีนักวิจัยเกษียณของสภาฯ ดูแล้วบอกว่า ในโลกนี้มีคนไม่เกินห้าคนที่ทำได้ และทั้งหมดล้วนอยู่ในอเมริกา แต่ว่าพ่อของเสี่ยวฉือกับผมไม่เชื่อ สุดท้ายบัณฑิตฉือคนลูกก็บอกว่าไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ทั้งหมดของโลกอยู่ในอเมริกา อย่างน้อยบ้านเรายังมีอยู่คนหนึ่ง”
จางเย่รีบพูด “อย่ายกผมสูงขนาดนั้นครับ ผมไม่คู่มควรกับตำแหน่งนี้เลย”
ฉือเสวีย “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ พวกเราเองก็มีนักคณิตศาสตร์จีนหลายท่าน แต่ถ้าต้องการนักคณิตศาสตร์ระดับโลกจริงๆ เกรงว่าตอนนี้จะมีคุณแค่คนเดียว เราแก้ปัญหานี้ไม่ได้จริงๆ พวกเราพยายามหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากคุณ ช่วยเราและช่วยประเทศเราให้ก้าวข้ามความยากลำบากนี้ ได้ไหมคะ?”
จางเย่มองพวกเขา “ไม่ล่ะ ผมไม่สนใจ”
ฉือเสวียและบัณฑิตโจวพูดไม่ออก
ตัดฉับ!
ไม่มีลังเล!
ผม! ไม่! สน! ใจ!
แล้วพวกเขายังจะพูดอะไรได้อีก? ไม่เหลืออะไรให้พูดแล้ว!
บัณฑิตโจวกระวนกระวาย “นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศและประชาชนเลยนะครับ ศาสตราจารย์จาง คุณจะมีจิตสำนึกต่ำขนาดนี้ไม่ได้สิ? คุณไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ”
จางเย่ผายมือ “ใช่ ผมไม่เคยลังเลถ้าเป็นหน้าที่เพื่อชาติและประชาชน ตอนที่พวกเกาหลีโจมตีประเทศเรา ผมเป็นคนไล่พวกมันกลับไป ไม่ใช่เพราะเพื่อชาติและประชาชนเหรอ? ดูสิ่งที่ผมได้กลับมาสิ เพราะงั้นผมเลยไม่สนใจแล้ว คุณสองคนไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ ผมอยู่ที่นี่ คอยปรับปรุงทบทวนตัวเองผมก็พอใจแล้ว”
บัณฑิตโจวว่า “คุณก็พูดเกินไปแล้ว อยู่ที่นี่มีอะไรดี? ถ้าคุณยอมไปกับเรา ผมจะให้เบื้องบนติดต่อขอย้ายตัวคุณไปที่สถาบันวิจัยเราทันที ถึงจะยังมีข้อจำกัดบางอย่าง ทั้งยังให้คุณกลับบ้านหรือติดต่อครอบครัวคุณไม่ได้ คุณก็ยังไปมาในสถาบันได้ตามใจ ไม่เหมือนที่นี่ที่ต้องนอนต้องเดินไปมาแค่ในห้องขัง…”
ผู้คุมเคาะประตู “อาจารย์จาง ยังคุยกันอยู่เหรอครับ?”
จางเย่หันไป “ใช่ๆ”
ผู้คุมยิ้ม “ถึงเวลาอาหารเช้าแล้วนะครับ วันนี้เรากินที่โรงอาหาร ถ้าพวกคุณยังคุยงานกันไม่จบ ผมจะเปิดประตูทิ้งไว้ ไปที่โน่นเองได้เลยครับ”
จางเย่ถาม “โรงอาหารโซนไหนนะ?”
ผู้คุม “โซนสองครับ”
จางเย่รับคำ “รู้แล้ว”
บัณฑิตโจวชะงัก “หือ? พวกคุณให้นักโทษไปมาได้อิสระเหรอ?”
ผู้คุมยิ้ม “สำหรับคนอื่นคือไม่ได้ครับ แต่สำหรับอาจารย์จาง แน่นอนว่าต้องเป็นข้อยกเว้น”
บัณฑิตโจวนัยน์ตากระตุก ตอนที่ผู้คุมออกไปเขาก็บอกกับจางเย่ทันที “ทางเราไม่มีข้อจำกัดเรื่องการสูบบุหรี่ในสถาบันวิจัยเหมือนกัน แน่นอนว่าคุณสูบในห้องไม่ได้ แต่คุณออกไปในสวนเพื่อ…”
ประตูเปิดกลับมาอีกครั้ง ผู้คุมกลับเข้ามา “ผมเกือบลืมไป พัศดีซื้อบุหรี่มาฝากครับ” ก่อนยื่นให้จางเย่มวนหนึ่ง “สูบที่นี่ได้ตามสบาย ไม่มีคนว่าครับ”
จางเย่ “ไอ้หยา จะดีเหรอ?”
ผู้คุมว่า “แน่นอนครับ”
จางเย่ “ได้ๆ ฝากขอบคุณเหล่าเฉียนด้วยนะ”
ใบหน้าของบัณฑิตโจวยิ่งบิดเบี้ยว “ที่สำคัญที่สุดคือทางสถาบันวิจัยเราไม่ได้มีการใช้แรงงานหรือการปรับปรุงพฤติกรรม คุณไม่ต้อง…”
ประตูยังไม่ปิด
ทั้งยังเปิดออกอีกครั้ง
ผู้คุมยืนอยู่ด้านนอก พูดขึ้นมา “อ้อ อาจารย์จาง หลังมื้อเช้าเป็นเวลาใช้แรงงาน เราจะทำเหมือนเดิมนะครับ ไม่ต้องสนใจกลับห้องขังคุณได้เลย”
จางเย่ “เฮ้ จะดีเหรอ ไม่เข้ากลุ่มกันแบบนี้น่ะ?”
ผู้คุมหัวเราะ “ผมไม่กล้าให้คุณต้องเหงื่อไหลหรอก! คุณจะทำร้ายผมเหรอ?”
คราวนี้ผู้คุมจากไปจริงๆ แล้ว
จางเย่หันกลับมา “เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ? ผมได้ยินไม่ถนัด”
ฉือเสวียกับบัณฑิตโจวพูดไม่ออกอีกแล้ว
พูดอะไร?
ฉันแม่งยังพูดอะไรได้อีก!
บัณฑิตโจวแทบกระอักเลือด!
นี่คือชีวิตในคุกเรอะ?
อยู่บ้านฉันยังไม่สบายแบบนี้เลยโว้ย!
บรรยากาศกลายเป็นแปลกพิกลอย่างยิ่ง
ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านั้นผิดจากที่บัณฑิตโจวคิดไว้โดยสิ้นเชิง ก่อนมาถึงเขาคิดว่าจางเย่คงลำบากอยู่ในคุก ต้องคุดคู้อยู่กับคนอีกหลายคน มีไม่พอกิน ไม่พอให้อบอุ่น ลำบากด้วยความทรมานทางใจ ทั้งยังต้องทำงานหนักเพื่อปรับปรุงพฤติกรรม บัณฑิตโจวคิดว่าขอแค่เขาเชิญจางเย่ไป อีกฝ่ายต้องตกลงแน่นอน คนปกติธรรมดาที่ไหนจะอยากอยู่ในคุกกัน?
แต่ความจริงคือ?
เขามีห้องขังเดี่ยว!
เดินไปเดินมาได้ตามสบายในคุก!
อยากสูบบุหรี่หรือดื่มอะไรก็ได้ ไม่ต้องทำงานหนักสักนิด!
บัณฑิตโจวเตรียมคำพูดมาแล้ว แต่ว่ากลับไม่มีโอกาสพูดแม้แต่น้อย!
จางเย่ “ทำไมพวกคุณสองคนไม่กลับไปก่อนล่ะ? ผมอยู่ที่นี่ก็สบายดี แค่อยากทำตัวเงียบๆ หาความสงบ ไม่อยากไปยุ่งกับอะไรแล้ว”
บัณฑิตโจวพูดเสียงขื่น “ศาสตราจารย์จางน้อย ประเทศนี้ต้องการคุณจริงๆ นะครับ คุณเป็นคนเดียวในประเทศที่จะคำนวณอัลกอริธึมนี้ออกได้ ทำไมคุณไม่…”
จางเย่โบกมือ “อย่าเรียกผมว่าศาสตราจารย์จาง ผมลาออกจากตำแหน่งที่เป่ยต้าและวิทยาลัยสื่อแล้ว ผมไม่ใช่ศาสตราจารย์อีกแล้ว ตอนนี้เป็นแค่นักโทษว่างงาน” เขาลุกขึ้น “เอาล่ะ โรงอาหารจะปิดแล้ว ผมคงต้องไปกินข้าวก่อนล่ะ สิ่งที่คุณต้องการผมคงช่วยอะไรไม่ได้ กลับไปเถอะครับ ผมออกจากที่นี่ไม่ได้ เพราะงั้นคงขอไม่ส่งล่ะนะ” เขาพูดพลางเดินออกไป
คณิตศาสตร์?
อัลกอริธึม?
เขาไม่สนใจเรื่องนี้เลยสักนิด
บัณฑิตโจวกังวลถึงขีดสุด
จางเย่เปิดประตูเรียบร้อยแล้ว
ตอนนั้นเอง ฉือเสวียก็เอ่ยขึ้น “ถ้าเราลดโทษให้คุณได้ละคะ?”
มือของจางเย่ชะงัก เขาหันหน้ากลับมาอย่างตื่นตะลึง “ลดเท่าไหร่?”
ฉือเสวีย “เท่าที่ทางรัฐจะยอมให้ค่ะ อาจจะเหลือหนึ่งปี? หรือสองปี? ทางสภาฯ จะยื่นขอลดโทษให้คุณ และผลักดันข้อเรียกร้องนี้อย่างเต็มที่!”
จางเย่ถลึงตา “เชี่ย แล้วทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ!”
ฉือเสวียอ้าปากค้าง “คะ?”
จางเย่พูดด้วยท่าทีภาคภูมิใจ “ในเมื่อประเทศต้องการความช่วยเหลือ ผมจะปฏิเสธได้ยังไง? ไม่ได้! สิ่งที่มีผลกระทบกับประเทศและประชาชนแบบนี้ ผม นายจางเย่ จะปฏิเสธที่จะไม่ช่วยได้ยังไง? แค่อัลกอริธึม? มันจะยากสักแค่ไหนกัน? ผมจะกลับไปเก็บของที่ห้องขังทันทีเลย เราจะออกไปกันเมื่อไหร่? ให้คนมารับผมได้เลยทันที!”
บัณฑิตโจวแทบเป็นลม!
ว่าไงนะ?!
ไอ้เด็กนี่ เมื่อกี้แกไม่ได้พูดแบบนี้นี่หว่า!
ฉือเสวีย “คุณตกลแล้วใช่ไหมคะ?”
จางเย่ “แน่นอน ประเทศตกอยู่ในความลำบาก ทุกคนก็ย่อมต้องมีหน้าที่รับผิดชอบสิ”
บัณฑิตโจวค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ได้คัรบ ผมจะแจ้งเบื้องบนให้จัดการทันที”
จางเย่ยิ้ม “ครับ ผมจะรอฟังข่าวของพวกคุณก็แล้วกัน”
แล้วเขาก็เดินไปกินข้าวเช้าอย่างสบายใจ
ลดโทษ!
คนโง่เท่านั้นล่ะที่จะปฏิเสธ!
พอออกไป ทั้งสองคนที่เหลือก็ยิ้มฝืดเฝื่อน
ฉือเสวียหัวเราะ “สมชื่อใช่ไหมคะ?”
บัณฑิตโจวถอนใจ “ใช่ นิสัยนั่นเป็นของจริงจริงๆ ถ้าไม่รู้ประวัติแล้วคุยกับเขาปกติล่ะก็ ดูไม่ออกเลยว่าจะเก่งขนาดนั้น”
ฉือเสวียยิ้ม “ศาสตราจารย์จางต่างจากนักวิชาการและนักวิจัยธรรมดาอย่างเราๆ ฝีมือของเขาไม่ได้แสดงออกบนตัวสักหน่อย”
บัณฑิตโจวกังวล “เราคงยังต้องดูว่าศาสตราจารย์จางน้อยจะสร้างอัลกอริธึมนี้ได้รึเปล่าน่ะสิ ถ้าทำไม่ได้ล่ะก็…เฮ้อ ความจริงฉันก็ไม่ได้มั่นใจนักว่าเขาจะทำได้”
ฉือเสวียว่า “ให้ศาสตราจารย์จางลองดูก่อนเถอะค่ะ”
บัณฑิตโจวมองจางเย่ที่เดินจากไป “หวังว่าความช่วยเหลือที่เราต้องการจะพลิกสถานการณ์ได้ละนะ”