ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I'm really a superstar - ตอนที่ 1343
บนทีวี
โพธิสัตว์กวนอิมพันมือปรากฏกายอย่างมีชีวิตเสมือนจริง!
พันกรเบ่งบานดุจบุปผา!
พันเปลี่ยนหมื่นแปลง!
เคลื่อนตามใจปรารถนา!
ดุจภาพฝันดุจมายา!
แสงสีทองเปล่งประกายสว่างจ้าไปทั่วทั้งเวที
งดงามจนบางคนถึงกับหยุดหายใจ กระทั่งหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น!
เมื่อการแสดงดำเนินไปได้ครึ่งหนึ่ง นักแสดงก็ค่อยๆ ขยับปลายแถว เคลื่อนตัวออกมาทีละคน ชั่วขณะนี้เองทั่วโลกจึงได้เห็นใบหน้าของพวกเธออย่างชัดเจน!
ทั้งตื่นเต้น
ทั้งจริงจัง
ทั้งพิถีพิถัน
นักแสดงคนแรกเป็นเด็กสาวชื่อว่าซุนเยี่ย อายุยี่สิบสองปี เป็นคนเหอเป่ย เกิดมาก็หูหนวกเป็นใบ้ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือการได้ขึ้นเวทีรายการคืนส่งปีในสักวันหนึ่ง
พ่อคะ
แม่คะ
หนูได้ขึ้นเวทีคืนส่งปีแล้ว!
หนู หนู-
พ่อกับแม่ดูอยู่รึเปล่า?
หนูได้ขึ้นเวทีคืนส่งปีแล้วจริงๆ นะ!
ด้านหลังเธอ เด็กหญิงคนที่สองชื่อว่าหลิวเหม่ยเหม่ยอายุยี่สิบปี เป็นคนอานฮุย เกิดมาก็หูหนวก ความฝันคือสักวัน เทคโนโลยีจะก้าวหน้าจนเธอสามารถได้ยินเสียงของโลกนี้ได้เหมือนกับคนทั่วไป
คนที่สามคือหูลี่เจวียน อายุสิบเก้าจากเทียนจิน ไม่มีความฝันอะไร แค่สนุกกับการเต้น หวังเพียงยังสามารถเต้นต่อไปได้แม้เมื่ออายุเข้าวัยสามสี่ห้าสิบปีแล้ว นี่คือสิ่งที่เธอมีความสุขที่สุด
คนที่สี่คือจ้าวฉี เด็กสาวอายุยี่สิบเอ็ดจากส่านซี ความฝันสูงสุดคือการได้พบกับคนรักในฝัน แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
เด็กสาวคนที่ห้าคือฉือซีอัน
คนที่หกคืออู๋เซิ่งหนาน
คนที่เจ็ดคือเจี่ยฟาง
……
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
คนกว่าครึ่งหมู่บ้านต่างมารวมตัวกัน
“เสี่ยวเยี่ย!”
“ลูกฉัน!”
“นั่นลูกสาวฉันเอง!”
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งหลั่งน้ำตาขณะชี้ไปยังจอโทรทัศน์
……
ที่เมืองเมืองหนึ่ง
กลุ่มวัยรุ่นกำลังตื่นตะลึง
“นั่น!”
“นั่นหลิวเหม่ยเหม่ย!”
“หลิวเหม่ยเหม่ยจากคลาสเรียนการเต้นข้างๆ เราตอนนั้นนี่!”
“เธอจริงๆ!”
“เธอได้ขึ้นรายการคืนส่งปีเลยเหรอเนี่ย?”
……
ณ เมืองใหญ่แห่งหนึ่ง
“เชี่ย!”
“หา!”
“นั่นมันจ้าวฉีไหม?”
“ทำไมเธอถึงได้ขึ้นเวทีคืนส่งปีล่ะ?”
……
ที่นครแห่งหนึ่ง
“เหล่าหลี่ เหล่าหลี่ รีบมาดูเร็ว!”
“ว่าไง?”
“หูลี่เจวียน!”
“หูลี่เจวียน?”
“เพื่อนนักเรียนเราลี่เจวียนไง! นายลืมแล้วเรอะ?”
“หา! ฉันนึกออกแล้ว! ทำไมฉันถึงน้ำตาไหลล่ะ?”
“ฉันยินดีกับเธอด้วยนะ! ยินดีกับเธอจริงๆ!”
……
บ้านคุณอู๋
หลี่ฉินฉินปาดน้ำตา “ดีมากเลย”
อู๋ฉางเหอเองก็ยอมรับนับถือ “เย่น้อยเก่งจริงๆ”
เจ๊อ้วนตะลึง “นี่จางเอ้อร์ออกแบบท่าเต้นหมดเลยเหรอ?”
หลี่ฉินฉินพยักหน้า
อู๋ม่อร้อง “พี่จางผมสุดยอดจริงๆ!”
เจ๊อ้วนหันมองค้อน “อย่าเรียกมั่ว แกต้องเรียกว่าลุงเขยเล็กต่างหาก”
……
บนเวยป๋อ
ทั้งการถกเถียง?
ทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์?
ทุกอย่างต่างหายวับไปในพริบตา!
“ขอโทษนะ”
“ผมก็ด้วย!”
“เชี่ย ฉันขอถอนคำพูดของตัวเองแล้ว!”
“ใครแม่งบอกว่าคนหูหนวกเต้นรำไม่ได้วะ? กลุ่มคนหูหนวกจะทำให้คุณภาพรายการคืนส่งปีลดลง? ไร้สาระ! การแสดงชุดนี้ต้องถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์แน่นอน!”
“เห็นด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“พูดตามตรง ฉันไม่เคยเห็นการเต้นระบำที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา!”
“เด็กๆ พวกนี้ต้องพยายามแค่ไหนถึงทำงานออกมาระดับนี้ได้?”
“ประทับใจจริงๆ เป็นการแสดงที่ชวนตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่า ‘โบยบินสู่สรวงสวรรค์’ ซะอีก!”
“ใช่ ‘โบยบินสู่สรวงสวรรค์’ ทำให้เราตื่นตาไปกับเทคนิค ขณะที่ ‘กวนอิมพันมือ’ นั้นทำให้เราสะเทือนไปถึงอารมณ์! การเต้นระบำก็แสดงได้ถึงขั้นนี้!”
“ใครเป็นคนออกแบบการแสดงนะ? สุดยอดมาก!”
“จางเย่ไง!”
“ใช่ เขาทำทุกอย่างเลย”
“เขาคิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ยังไง!”
“ประวัติศาสตร์ของรายการคืนส่งปี ไม่เคยมีการแสดงระบำไหนที่ได้รับการกล่าวถึงระดับเดียวกับ ‘กวนอิมพันมือ’ อีกแล้ว!”
“ฉันร้องไห้แล้ว”
“ฉันด้วย ประทับใจมากจริงๆ!”
“เด็กสาวพวกนั้นต้องลำบากมากแน่ๆ!”
“รู้สึกเหมือนตัวฉันได้รับการชำระเลย”
“ขอบคุณนะ ทุกคนเลย ฉันจะไม่ลืมการเต้นนี้เลยตลอดชีวิต!”
“ทั้งตะลึง ทั้งหัวเราะ ทั้งประทับใจ รายการคืนส่งปีปีนี้ช่างมหัศจรรย์จริงๆ!”
“ใช่ ที่แท้รายการคืนส่งปีก็ทำได้ถึงระดับนี้เลยจริงๆ!”
……
การเต้นระบำจบแล้ว
การแสดงก็สิ้นสุดลงแล้ว
แต่ทุกคนก็ยังไม่อาจข่มใจให้สงบได้
เสียงปรบมือทั้งเวทีดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ฉีเสี่ยวเม่ยที่นั่งอยู่ในที่นั่งผู้ชมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก เธอไม่เคยเป็นคนโอ้อวด แต่ช่วงเวลานี้ เธอขอนั่งยืดตัวตรงรับมันเถอะ
ทั้งคำร่ำลือ
คำวิจารณ์
สายตาแปลกประหลาด
แววตาเคลือบแคลง
ตั้งแต่เกิด เธอผ่านอะไรมามากมาย โดยเฉพาะตอนที่ลิสต์รายการแสดงของรายการคืนส่งปีถูกประกาศออกมา เธอและเหล่าเด็กๆ ต้องแบกรับความเครียดมหาศาล รู้สึกเกินทนทานจนแทบหายใจไม่ได้ แต่พวกเธอทั้งหมดก็ทนกัดฟันฝึกซ้อมทั้งวันทั้งคืน ร่างกายของพวกเธอเสียเปรียบแต่แรก ได้แต่ใช้ความพยายามเข้าชดเชย พวกเธอรู้ว่าทุกคนย่อมทำได้เหมือนกับคนธรรมดา ถ้าคนทั่วไปเต้นแบบนี้ได้ พวกเธอเองก็ต้องทำได้ และความจริงแล้วอาจถึงกับทำได้ดียิ่งกว่า
น้ำตาที่ฉีเสี่ยวเม่ยอดทนกลั้นไว้ตลอดมา เริ่มรินไหลลงตามสองแก้ม!
หลายปีที่อดทน!
หลายปีที่รอคอย!
หลายปีที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ!
วันนี้ ในที่สุดโลกก็ได้เห็นการเต้นของพวกเธอแล้ว
วันนี้ ในที่สุดพวกเธอก็ได้เบ่งบานกลางแสงอันเจิดจ้า!
……
บนเวที
เสียงเพลงดังขึ้น
ความฝันของเด็กสาวและครูฝึกของคณะเต้นรำคนหูหนวก จากคณะดนตรีและศิลปะการแสดงชนกลุ่มน้อยแห่งชาติเพิ่งจะจบไปบนเวที ต่อมา พี่น้องผู้ใช้แรงงานสองคนก็ก้าวขึ้นมาเติมเต็มฝันของตนเอง
ยังจำได้ ถึงฤดูใบไม้ผลิเมื่อหลายปีก่อน
ตัวฉันในตอนนั้น ผมยาวของฉันยังไม่ตัด
ไม่มีบัตรเครดิตและไม่มีเธอ
บ้านไม่มีน้ำอุ่นอาบยี่สิบสี่ชั่วโมง
แต่ฉันกลับมีความสุขถึงปานนั้น
แม้มีเพียงกีตาร์ผุพังตัวเดียว
บนถนน ใต้สะพาน ในท้องนา
ร้องบทเพลงที่ไม่มีคนสนใจ
หากวันใด ฉันแก่เฒ่าไร้ที่พึ่งพิง
โปรดทิ้งฉันไว้ ในช่วงเวลานั้น
หากวันใด ฉันจากโลกนี้ไป
โปรดฝังฉันไว้ ท่ามกลางฤดูใบไม้ผลินี้
คำว่าความฝันนี้ มีเสน่ห์ตลอดกาล
ทั้งสองไม่มีทักษะการร้องที่ยอดเยี่ยม ไม่มีใบหน้าหล่อเหลา ไม่มีออร่าบนเวทีเหมือนดาราใหญ่ แต่เสียงแหบและกว้างนั้นกำลังบอกเล่าเรื่องราวของตนแก่ทุกคน คือเรื่องราวของความฝันที่ชำแรกลึกถึงจิตวิญญาณ
……
ที่ชานเมือง
เพื่อนร่วมงานต่างส่งเสียงเชียร์
“มาแล้ว!”
“พวกเขาล่ะ!”
“เมียฉันเธอเห็นไหม นั่นเพื่อนร่วมงานฉันเองนะ!”
“เป็นหน้าเป็นตาแก่พวกเราคนใช้แรงงานเสียจริง!”
“สู้ๆ นะ!”
“สู้ๆ!”
……
ในอินเทอร์เน็ต
“ยอดมาก!”
“เพลงแต่งดีมาก!”
“เพลงใหม่ของจางเย่เหรอ?”
“เพลงนี้แทงใจดำมาก!”
“มีแค่สองคนนี้แหละถึงร้องเพลงนี้ได้!”
“ทำไมฟังแล้วประทับใจนัก? ฉันว่าพวกเขาร้องดีกว่าดาราบางคนเสียอีก!”
……
บทเพลง ‘ในฤดูใบไม้ผลิ’ พี่น้องแรงงานคู่หนึ่ง
การร้องเพลงของพวกเขาทำให้ผู้ฟังประทับใจ!
วันนี้ พวกเขาเองก็เบ่งบานกลางแสงจ้าเช่นกัน
รายการคืนส่งปีพุ่งทะยานสู่ฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง!