ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I'm really a superstar - ตอนที่ 1360
วันที่ 4 ของปีใหม่
ตอนเช้าตรู่ หนังสือพิมพ์ก็ออกจำหน่าย
‘กำเนิดสตาร์คิง!’
‘จางเย่สุดแข็งแกร่งบนจุดสูงสุด!’
‘วงการบันเทิงอาจเข้าสู่ยุคใหม่!’
‘เหล่าดาราต่างพากันอวยพรผ่านเวยป๋อ!’
‘จางเย่ต้อนรับคะแนนนิยมสูงสุดใหม่!’
เมื่อเปิดโทรทัศน์ดูก็มีแต่ข่าวของจางเย่
CCTV : คืนนี้ รายการ ‘นัดกับเหยียนเหมย’ จะมีโปรแกรมพิเศษค่ะ พิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดังอย่างเหยียนเหมยจะเข้าไปเยี่ยมเยือนจางเย่ที่บ้าน เพื่อนำตัวตนที่แท้จริงของจางเย่มาเปิดเผยให้ผู้ชมดูกันค่ะ เราจะใช้กล้องบันทึกการทำงานและชีวิตประจำวันของเขาตลอดหนึ่งวัน การปรากฏตัวครั้งแรกของจางเย่ในฐานะสตาร์คิง พวกคุณเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?
บนเวยป๋อ
“ว้าว!”
“มาแล้ว มาแล้ว!”
“ฮ่าๆ ‘นัดกับเหยียนเหมย’ มาแล้ว!”
“ฉันตั้งตารอเลย”
“ใช่ ฉันยังไม่เคยเห็นชีวิตประจำวันของจางเย่มาก่อนเลย”
“รายการแรกในฐานะสตาร์คิง!”
“รายการนี้ฉันดูอยู่ตลอด น่าสนใจนะ!”
“ฉันแค่อยากดูอู๋เจ๋อชิงเท่านั้นแหละ!”
“พรูด ที่จริงฉันก็เหมือนกัน รองบังคับการอู๋สวยมากจริงๆ!”
“ถ้าปีนี้ภรรยาของจางเย่ลาออกแล้วมาเข้าวงการบันเทิง ความนิยมต้องสูงกว่าไอ้หมอนี่แน่นอน!”
“ฮ่าๆๆๆ เห็นด้วย!”
“เพราะรองบังคับการอู๋ ฉันถึงเป็นแฟนคลับของสมาคมสื่อฯ!”
“พรูด นี่เป็นการสัมภาษณ์จางเย่นะ พวกนายคุยให้ถูกเรื่องหน่อยสิ”
“น่าจะเริ่มการบันทึกเทปแล้วมั้ง?”
“คืนนี้จะรอดูนะ!”
“+1!”
……
ในบ้าน
เวลาเจ็ดโมงกว่า
วันนี้จางเย่ตื่นเช้าเพราะนัดสัมภาษณ์เอาไว้ แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าเหยียนเหมยและทีมงานจะมาเร็วกว่า เขาเพิ่งลืมตา เสียงกริ่งชั้นล่างก็ดังขึ้นแล้ว
“พวกเขามากันแล้วเหรอ?”
“น่าจะใช่”
“คุณไปเปิดประตูเถอะอู๋”
“โอเค”
อู๋เจ๋อชิงมาเปิดประตู
จางเย่เดินอ้าปากหาวลงบันไดมา เขากับเหยียนเหมยเป็นคนคุ้นเคย ตอนทำรายการคืนส่งปีก็ได้ร่วมงานกัน
นอกประตู เหยียนเหมยแต่งตัวในชุดลำลองยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ด้านหลังมีเพียงตากล้องหนึ่งคนกำลังแบกกล้องอยู่ เลนส์กล้องถูกเปิดใช้งานแล้ว มีไฟสีแดงขึ้นอยู่ ตั้งแต่วินาทีที่เหยียนเหมยกดกริ่ง กล้องก็ได้เริ่มการบันทึกแล้ว พวกเขาต้องการบันทึกชีวิตประจำวันและการทำงานหนึ่งวันของจางเย่ ดังนั้นจึงต้องบันทึกทุกอย่างไว้
เหยียนเหมยยิ้มทักทาย “รองบังคับการอู๋ สวัสดีปีใหม่ค่ะ”
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม “มาแล้วเหรอคะ? เชิญเข้ามาด้านในก่อนค่ะ”
กล้องแพลนไปถ่ายที่เธออยู่ครู่หนึ่ง
“ไอ้หยา รบกวนด้วยนะคะ” เหยียนเหมยเดินเข้าไปในบ้าน ก้มหน้ามอง “ฉันต้องเปลี่ยนรองเท้าไหมคะ?”
จางเย่เดินเข้ามาพอดี เขาพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “โอ๊ย ไม่จำเป็นหรอก ตามสบายเลย ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเองนั่นแหละ”
ตากล้องหันกล้องไปทางจางเย่ทันที
เหยียนเหมยยิ้ม “ผู้กำกับจาง วันนี้ฉันต้องอยู่กับคุณทั้งวันเลย คุณไปที่ไหนฉันไปที่นั่น คุณกินอะไรฉันกินอันนั้น ขอกินอาหารฟรีนะคะ”
จางเย่ขำ “นั่นต้องดูว่าคุณกินเยอะขนาดไหนแล้วล่ะ”
เหยียนเหมยหัวเราะ “ฉันกินจุไม่เบาเลยค่ะ”
จางเย่ร้องโอ้ “งั้นผมต้องขอคิดก่อนแล้ว”
ทุกคนต่างหัวเราะร่วน
เหยียนเหมย “การสัมภาษณ์วันนี้ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกค่ะ ปกติคุณทำอะไรก็ทำอย่างนั้นเหมือนเดิม คุณมีเวลาก็หันมาคุยกับฉันสักสองประโยค เวลายุ่งก็ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันยืนดูอยู่ด้านข้างก็พอแล้วค่ะ”
จางเย่กะพริบตา “ปกติทำอะไร วันนี้ก็ทำอย่างนั้นเหรอ?”
เหยียนเหมยยิ้มและพยักหน้า “ใช่ค่ะ พวกเราต้องการรูปแบบการดำเนินชีวิตประจำที่แท้จริงของคุณ”
จางเย่หมุนตัวเดินจากไป “โอเค”
“หืม? คุณจะไปไหนคะ?” เหยียนเหมยตกใจ
จางเย่ตอบ “ผมจะไปนอนอีกสองชั่วโมง ปกติผมนอนถึงเก้าโมงน่ะ”
เหยียนเหมย “พรูด!”
ตากล้องก็หัวเราะจนท้องแข็งแล้ว!
อู๋เจ๋อชิงยิ้มอย่างอ่อนใจ “อย่าสนใจเขาเลย เขาก็เป็นแบบนี้แหละ”
จางเย่ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ได้กลับไปนอนจริงๆ
เหยียนเหมยมองไปทางคุณอู๋ “ปกติแฟนของคุณก็เป็นแบบนี้เหรอคะ?”
อู๋เจ๋อชิงหัวเราะ “ปกติเขาก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ น่าเหนื่อยหน่ายนะคะ”
เหยียนเหมย “ฉันขอเดินชมบ้านหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้สิคะ เชิญตามสบายเลยค่ะ” อู๋เจ๋อชิงก็ไม่ได้สนใจพวกเขาอีก เธอเดินไปทำกับข้าวแล้ว
ชั้นบน
เหยียนเหมยขึ้นมาพร้อมกับตากล้อง
จางเย่กำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำเห็นเธอขึ้นมาก็งับแปรงสีฟันไว้ในปาก ก่อนจะพูดงึมงำ “เหล่าเหยียน ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม?”
เหยียนเหมย “ยังไม่ได้กินค่ะ”
จางเย่อารมณ์ดี “ไม่ใช่ผมขี้โม้นะ อีกเดี๋ยวถ้าคุณได้ลองชิมฝีมือทำอาหารของแฟนผม รับรองได้เลยวันนี้คุณมาบ้านพวกเราหนึ่งวันแล้วคุณจะไม่อยากกลับเลยล่ะ” เขาคายฟองยาสีฟันออกมาอย่างลวกๆ ก่อนจะบ้วนปาก และพ่นน้ำออกมา “คุณต้องเชื่อผมนะ ไม่ได้หลอกคุณจริงๆ”
เหยียนเหมยก็ตั้งตารอ “พูดจนฉันหิวเลยค่ะ”
จางเย่เช็ดหน้า แล้วใส่รองเท้าแตะเดินออกไป “หิวแล้วเหรอ? งั้นไปกันเถอะ”
พอลงไปถึงอาหารเช้าก็เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เหยียนเหมยพูดอย่างเกรงใจ “ขอบคุณนะคะรองบังคับการอู๋”
อู๋เจ๋อชิง “ไม่ต้องเกรงใจค่ะ”
เหยียนเหมยถาม “ปกติคุณเป็นคนทำกับข้าวเหรอคะ?”
อู๋เจ๋อชิงยิ้ม “ฉันก็ทำได้ไม่กี่มื้อค่ะ เขางานยุ่ง ฉันก็งานเยอะ น้อยมากที่จะกินข้าวพร้อมกัน”
จางเย่เร่ง “ชิมสิ รีบชิมดู”
“โอเค” เหยียนเหมยคีบอาหารเข้าปาก ทันใดนั้นก็ต้องตะลึง “อร่อยมากเลยค่ะ!”
จางเย่หัวเราะฮาๆ เสียงดัง “ไม่ได้หลอกคุณจริงๆ ใช่ไหมล่ะ?”
เหยียนเหมยหันหน้าไปทางกล้องทันที “ฉันไม่ได้ยอนะคะ มันอร่อยมากจริงๆ”
จางเย่โม้ “คุณยังไม่เคยเจออาหารจานพิเศษของแฟนผม รอตอนกลางวันจะให้คุณกิน”
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
จางเย่รับสาย “เหล่าฮา มีอะไรเหรอ โอเค ได้ อืม ผมรู้แล้ว เดี๋ยวผมไปถึงค่อยคุยกัน อืม โอเค”
หลังจากวางสายเรียบร้อย
จางเย่พูดกับคุณอู๋ “มีเรื่องนิดหน่อย ผมกลับไปที่สตูดิโอนะ”
อู๋เจ๋อชิง “กลับมากินมื้อเที่ยงไหม?”
จางเย่พูดอะไรไม่ถูก “ค่อยบอกนะครับ ถ้ายุ่งมากก็ไม่แน่แล้ว”
หลังจากทานข้าว จางเย่สวมเสื้อแจ็กเกตเสร็จก็ออกไป
เหยียนเหมยกับตากล้องก็ขึ้นรถไปกับเขา
บนรถ จางเย่เหยียบคันเร่งขับรถออกจากชุมชน เขาหันมาพูดกับเหยียนเหมยที่นั่งด้านข้างคนขับ “มีบางเวลาที่ผมรู้สึกผิดต่อภรรยาผม บ่อยครั้งที่เธอเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ผมหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้ว แต่มีสายโทรเข้า มีธุระด่วนผมก็ต้องรีบออกบ้าน มีบางครั้งที่ผมรู้สึกอยากจะพักผ่อนสักครึ่งปี แต่ก็ทำไม่ได้ พวกเราทำอาชีพนี้ จะพักผ่อนได้ยังไง? ไม่เอาผู้ชมแล้วเหรอ? ไม่ทำงานแล้วเหรอ? ไม่เอาแฟนคลับแล้วเหรอ? มีคนมากมายแค่ไหนที่รอคุณอยู่ มีคนเยอะขนาดไหนที่ชี้มาทางคุณที่กำลังกินข้าวอยู่ คุณจะไม่สนใจไม่ถามได้เหรอ? ต่อให้เป็นอัมพาตอยู่คุณก็ต้องลุกขึ้นมา!”
เหยียนเหมยถอนหายใจ “ฉันดีกว่าคุณนิดหน่อย งานไม่ได้เยอะมาก แต่มีเวลาที่งานยุ่งมากจริงๆ ออกนอกสถานที่อยู่บ่อยครั้งก็กลับบ้านไม่ได้”
จางเย่ถาม “เหล่าเหยียนคุณโสดหรือเปล่า?”
เหยียนเหมยหัวเราะ “ตอนนี้โสดค่ะ การแต่งงานครั้งสุดท้ายจบลงเพราะความไม่เข้าใจกันเรื่องหน้าที่การงาน ดังนั้นก่อนเกษียณ ฉันจึงไม่คิดจะมีครอบครัวแล้วค่ะ”
บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม
ทั้งสองคนต่างจมอยู่กับความคิด
จางเย่ขับรถ ทันใดนั้นเขาก็พูดกับตัวเอง
“ใคร่บำเพ็ญ พาลเกรงกลัว ต้องร้างรา”
“ขอวิงวอน หากสวรรค์ ยังเมตตา”
“ให้ข้ามีรัก แลคงอยู่ คู่พระธรรม”
เหยียนเหมยนิ่งเงียบ ในใจรู้สึกประทับใจกับบทกวีนี้อย่างยิ่ง!
ตากล้องก็สูดหายใจลึก
“ผู้กำกับจางคะ”
“หืม?”
“ขอผลงานการเขียนอักษรของคุณหน่อยนะคะ”
“การเขียนอักษรอะไรครับ?”
“กวีบทนี้ค่ะ”
“ได้สิ กลับไปผมเขียนเสร็จแล้ว จะส่งไปให้คุณนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”