ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I'm really a superstar - ตอนที่ 1361
ตอนเช้า
ตรงประตูตะวันออก สวนเถาหรานถิง
สตูดิโอตั้งอยู่นอกเขตที่พักอาศัย รถของจางเย่เพิ่งขับเข้ามาก็ถูกนักข่าวล้อมเอาไว้แล้ว
แล้วก็ยังมีแฟนคลับกลุ่มใหญ่เบียดเสียดกันอยู่ตรงนั้นพลางตะโกนชื่อจางเย่
“จางเย่!”
“ขอลายเซ็นให้ฉันหน่อย!”
“ยินดีด้วยนะ!”
“สตาร์คิง!”
“สตาร์คิง!”
“จางเย่ฉันรักคุณ!”
ในเขตที่อยู่อาศัยคึกคักสุดขีด
เหยียนเหมยที่อยู่ในรถลอบประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ประสบกับความนิยมของจางเย่แบบต่อหน้าต่อตาในระยะประชิดถึงเพียงนี้ “ตอนนี้จะทำยังไงดี?”
เห็นได้ชัดว่าจางเย่รับมืออย่างคุ้นเคยมาก “คุณอยู่ในรถไปแล้วกัน”
เขาเปิดประตูลงจากรถก่อนเดินไปเบื้องหน้าแฟนคลับ เซ็นลายเซ็นให้พวกเขาทีละคน ปากเองก็ไม่ได้ว่าง เขาเผชิญหน้ากับปากกาและไมโครโฟนของนักข่าวที่อยู่ด้านข้างพลางตอบคำถามไปด้วย ไม่นาน ฮาฉีฉี จางจั่วและคนอื่นๆ เองก็รีบร้อนเดินมา รับผิดชอบจัดการกับนักข่าวไป ทางฝั่งจางเย่ก็เซ็นชื่อให้แฟนคลับเสร็จพอดีแล้วก็ถ่ายรูปคู่ตามคำขอร้องไปทีละคนจนพอใจ สุดท้ายก็เอ่ยขอตัว เหล่าแฟนคลับเองก็เข้าใจดี ค่อยๆ เว้นที่ว่างหน้าประตูใหญ่จนเกิดเป็นทางสายหนึ่ง
“ขอบคุณ!”
“ขอบคุณจางเย่!”
“รักคุณมากเลยนะ!”
“ท่านจาง จะสนับสนุนคุณตลอดไปเลย!”
“อาจารย์จาง ชอบดูคุณด่าคนนะ!”
“ฮ่าๆๆ ได้รูปคู่กับอาจารย์จางมาแล้ว!”
“ฉันได้ลูบมือเขาด้วยนะ! คิกๆ ฉันตัดสินใจแล้วว่าสามวันนี้จะไม่ล้างมือ!”
จางเย่ขึ้นรถแล้วก็ขับเข้าไป
เหยียนเหมยไม่เข้าใจเล็กน้อย “คุณทำแบบนี้ทุกวันเหรอ?”
จางเย่เอ่ยยิ้มๆ “หมายถึงอะไรเหรอ?”
เหยียนเหมยถาม “ไม่หลบนักข่าวเหรอ?”
จางเย่ตอบ “ถ้ามีเรื่องรีบร้อนก็ช่วยไม่ได้ ที่ควรหลบก็ต้องหลบ แต่เวลาที่ไม่มีเรื่องด่วนอะไร ถ้าสามารถตอบคำถามสักสองสามคำถามได้ก็จะตอบน่ะ หนังสือพิมพ์หัวใหญ่ๆ หรือสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ๆ ยังมีโอกาสได้ติดต่อกับคุณ อย่างเช่นพวกการสัมภาษณ์ แต่ว่าหนังสือพิมพ์หรือสื่อรายเล็กๆ แม้กระทั่งโอกาสได้ติดต่อยังไม่มีเลย คนเขาก็ลำบากเหมือนกัน มีบางคนหน้าหนาววันหิมะตกแต่ก็ยังมารอในเขตที่พักตั้งแต่ตีห้า บางทีรอทั้งวันแต่ก็อาจไม่ได้อะไรกลับไป ผมไม่ได้ทำอะไรนอกจากตอบคำถามคนเขาไม่กี่คำถาม ให้สัมภาษณ์เร่งด่วนสักครั้งก็ไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองอะไร บางทีหนึ่งประโยคของคุณอาจจะเป็นการช่วยรักษางานของเขาเอาไว้ก็ได้ ทำให้คนเขาได้กินข้าว ได้เลี้ยงครอบครัว ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้ลูกสักชุด ซื้อเครื่องสำอางเพิ่มให้ภรรยาสักอย่าง แบบนั้นผมจะพูดเพิ่มสักประโยคสองประโยคมันจะเป็นไรไป?”
ได้ฟังคำนี้เหยียนเหมยก็นิ่งงันไป!
เธอนิ่งไปจริงๆ!
เหยียนเหมย “ผู้กำกับจาง คำพูดนี้ของคุณ ฉันเพิ่งเคยได้ยินจากปากดาราเป็นครั้งแรก คุณนี่จิตใจดีจริงๆ”
จางเย่ยิ้มนิดๆ “จิตใจดี? น้อยคนนะที่จะมองผมแบบนี้”
เมื่อรถจอดพวกเขาก็ลงจากรถ
เหยียนเหมยส่ายหน้า “ไม่มีใครที่สามารถเซ็นลายเซ็นกับถ่ายรูปคู่ให้แฟนคลับทีละคนๆ ได้อย่างนี้ โดยเฉพาะกับดาราระดับคุณ ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาว่าคุณไม่เคยปฏิเสธการขอลายเซ็นหรือขอถ่ายรูปคู่ของแฟนคลับมาก่อนเลย ฉันยังคิดว่าเป็นข่าวลือเสียอีก แต่วันนี้ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ฉันเชื่อแล้ว คุณนี่ใจกว้างจริงๆ”
จางเย่เอ่ยยิ้มๆ “คนเขาจะชอบคุณสักครั้งมันไม่ง่ายนะ เพราะแบบนี้ถ้าเขาต้องการลายเซ็นคุณ คุณจะไม่ให้เขาได้เหรอ? นี่ไม่ใช่เรื่องใจดีอะไร ฮ่าๆ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนใจดี วันๆ เอาแต่ยั่วโมโหคน คุณไม่เคยเห็นเวลาคนเขาด่าผมน่ะสิ”
พวกฮาฉีฉีตอบคำถามนักข่าวจบแล้ว
ทุกคนจึงพากันขึ้นไปบนตึก
จางเย่เดินไปพลางพูดไปพลาง “ผมน่ะ ถ้ามีคนทำให้ผมไม่พอใจ ผมก็จะต้องทำให้พวกเขาไม่พอใจด้วยเหมือนกัน ถ้าใครทำให้ผมมีความสุข ผมก็ต้องทำให้พวกเขามีความสุข ตำแหน่งของพวกเราทุกวันนี้ล้วนเป็นพวกเขาโอบอุ้มเอาไว้ เป็นการสนับสนุนจากแฟนคลับและประชาชนทุกคน ไม่งั้นพวกเราไม่ได้กินดีอยู่ดีขนาดนี้หรอก ถ้าชาวบ้านเจอคุณบนถนนแล้วตะโกนว่า ‘เฮ้ จางเย่ คุณถ่ายรูปกับฉันสักรูปสิ’ แต่คุณหมุนตัวแล้วเดินจากไป? แบบนั้นเขาอาจผิดหวังกับคุณไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ คุณเสียเวลาไปไม่กี่นาที คุณเหนื่อยนิดหน่อยให้คนอื่นเขาได้มีความสุขจะเป็นอะไรไป? คุณว่าใช่ไหมล่ะ?”
เหยียนเหมยตอบอย่างจริงใจว่า “ได้เรียนรู้แล้วค่ะ”
ในที่สุดตอนนี้เธอก็ค้นพบแล้วว่า จางเย่กับเหล่าดาราทั้งหมดที่เธอเคยสัมภาษณ์นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!
ไม่เสแสร้ง
ไม่ดัดแปลง
ไม่ปั้นแต่ง
นี่เป็นคนจริงคนหนึ่ง ถึงแม้เขาจะมีข้อเสียแบบนั้นแบบนี้ก็ตาม
บนตึก จางเย่เริ่มต้นทำงานแล้ว
เหยียนเหมยดูอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครมาสนใจเธอเช่นกัน
งานของวันนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน หัวหน้าผู้กำกับของรายการเทศกาลหยวนเซียวที่ใกล้จะมาถึงของ CCTV มาขอศึกษางานกับจางเย่ แม้ว่าผู้กำกับเฉินจะอายุมากกว่าจางเย่ไม่น้อย แล้วก็เป็นผู้กำกับรายการมากประสบการณ์ แต่ว่าคนเขากลับหอบเอาท่าทีถ่อมตัวมาขอคำชี้แนะด้วย
“จางน้อย เธอจะต้องช่วยฉันดูนะ!”
“เหล่าเฉิน เชิญนั่งก่อนครับ เชิญนั่งก่อน”
“เธอช่วยดูละครตลกเรื่องนี้ให้ฉันหน่อย”
“ได้ครับ ขอผมดูหน่อย”
“ฉันรู้สึกว่าโอเคอยู่นะ แต่ยังขาดไปนิดหน่อย”
“อ้อ ละครตลกเรื่องนี้ของเหล่าเหอผมเคยเห็นมาก่อน”
“ใช่ เป็นละครตลกเรื่องแรกของรายการคืนส่งปีที่ได้ลงหนังสือพิมพ์”
“งั้นผมจะบอกความเห็นของผมให้คุณฟัง ปัญหาของละครตลกเรื่องนี้อยู่ตรงนี้–”
พริบตาเดียวก็ยุ่งวุ่นวายกันจนถึงเที่ยง
ผู้กำกับเฉินกลับไปแล้ว
จางเย่เอ่ยกับเหยียนเหมยว่า “ไป กลับไปกินข้าวที่บ้านผมกัน”
ฮาฉีฉีกลับเอ่ยว่า “ผู้กำกับจาง อีกเดี๋ยวบริษัทโฆษณาก็จะมาแล้วนะคะ”
จางเย่ตอบ “ยังมีงานอีกเหรอ?”
ฮาฉีฉีร้องอืม “คุณเพิ่งขึ้นสู่ระดับเอส มีโฆษณาสองโฆษณาที่พวกเราเป็นพรีเซนเตอร์อยากเปลี่ยนภาพโฆษณา อาศัยเรื่องนี้ของคุณขึ้นไปแทน แต่ว่าโฆษณาของพวกเขาล้วนเป็นคุณรับผิดชอบมาตลอด ดังนั้นพวกเขาต้องเชิญคุณไปดูก่อน ถ้าคุณอนุญาตพวกเขาถึงกล้าขึ้น”
จางเย่มองนาฬิกา “พวกเขาจะมาถึงกี่โมง?”
ฮาฉีฉีตอบ “อีกสิบห้านาทีค่ะ”
จางเย่มองเหยียนเหมยแบบไม่มีทางเลือก “ทานข้าวกล่องได้ไหมครับ?”
“คุณกินอะไรฉันก็กินอันนั้นแหละค่ะ” เหยียนเหมยตอบยิ้มๆ
จางเย่เรียกเสี่ยวหวัง “รีบไปเอาอาหารมาหน่อย กินเสร็จแล้วยังมีงานต่อ”
จากนั้นเขาก็โทรศัพท์หาเจ๊อู๋
“อู๋ กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร”
“คุณกินเลยนะ ไม่ต้องรอผม”
“ได้ มื้อเย็นล่ะ?”
“ไว้ค่อยว่ากัน ยังไม่แน่ใจเลย”
ตอนบ่ายสองครึ่ง
ในที่สุดงานโฆษณาก็เสร็จสิ้นลง
จางเย่เพิ่งได้พัก แต่กลับมีเรื่องเกิดขึ้นอีกจนได้
เวยป๋อของเขาและเว็บไซต์ทางการถูกแฮกเกอร์โจมตี ไม่แน่ว่าอาจเป็นการจงใจกระทำของแฟนคลับของอดีตสตาร์คิงที่ถูกเขาขึ้นมาแทนที่
“ความสูญเสียเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่มีอะไรสูญเสียแต่ว่าผลกระทบค่อนข้างมาก”
“คราวนี้บัญชีเวยป๋อถูกแฮ็กไปจริงๆ”
“พรืด ใครให้ก่อนหน้านี้ผู้กำกับโวยวายว่าโดนแฮ็กไอดี โดนแฮ็กไอดีกันล่ะ หนนี้เลยโดนแฮ็กเข้าจริงๆ เลยไง!”
“พวกคุณยังมีเวลาว่างมาหัวเราะอีกนะ เฮ้อ รีบไปจัดการเร็วเข้า!”
บ่ายสามโมงกว่า
ในที่สุดปัญหาก็ได้รับการแก้ไข
จางเย่เอ่ยกับเหยียนเหมยว่า “เป็นยังไงบ้าง? สัมภาษณ์ผมวันนี้น่าเบื่อมากเลยใช่ไหม? ผมอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอย่างอื่น แค่เรื่องจุกจิกเยอะมากเท่านั้น”
เหยียนเหมยตอบยิ้มๆ “ก็ไม่ค่อยต่างกับที่ฉันจินตนาการไว้เท่าไหร่ค่ะ”
จางเย่ดูนาฬิกา “การสัมภาษณ์ใกล้จบแล้วใช่หรือเปล่า?”
เหยียนเหมยพยักหน้า “วันนี้ขอบคุณมากนะคะ ผู้กำกับจาง ขอแสดงความยินดีกับคุณอีกครั้งที่ได้ขึ้นเป็นดาราระดับเอสของประเทศ แล้วก็ขอให้ในภายภาคหน้าคุณสามารถก้าวไปได้ไกลกว่านี้”
จางเย่หัวเราะแล้วตอบว่า “ขอบคุณ”
เหยียนเหมยมองเขา เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องสุดท้ายของสุดท้ายแล้ว ยังมีคำถามสุดท้ายอีกข้อ นี่เป็นคำถามที่วันนี้ตอนสัมภาษณ์ฉันคิดมากเท่าไหร่ก็ยังไม่เข้าใจ แล้วก็ยังคิดคำตอบที่เหมาะสมไม่ออก ดังนั้นจึงอยากสอบถามคุณว่า คุณคิดว่าดาราคืออะไรคะ?”
ดาราคืออะไร?
อะไรคือดารา?
คำถามนี้ตอบยากจริงๆ
ฮาฉีฉีมองจางเย่
เสี่ยวหวังตั้งใจจ้องมองมา
พวกจางจั่วแล้วก็อู่อี้เองก็นั่งลงฟัง
จางเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังหน้ากากชิ้นหนึ่งที่แขวนแสดงอยู่บนกำแพง นั่นคือหน้ากากโจ๊กเกอร์ เป็นหน้ากากของเขาใน ‘เดอะแมสก์ซิงเกอร์’ เขาเก็บรักษามันไว้มาตลอด แขวนเอาไว้ที่นี่ เขาเอ่ยถามว่า “เหล่าเหยียน คุณรู้จักหน้ากากนี้ไหม?”
เหยียนเหมยตอบยิ้มๆ “เป็นหน้ากากโจ๊กเกอร์อันนั้น”
ทันใดนั้นจางเย่ก็พลันเอ่ยว่า “อยากฟังเพลงไหมครับ?”
เหยียนเหมยตามความคิดเขาไม่ทัน “ฟังเพลง?”
จางเย่เอ่ยยิ้มๆ “อยากฟังไหม?”
เสี่ยวหวังชูมือ “ฉันอยากฟังค่ะ!”
อู่อี้หัวเราะฮ่าๆ “ฟังครับ!”
ถงฟู่ปรบมือ “จัดมาเลยผู้กำกับจาง!”
เหยียนเหมยเองก็มองเขา “อยากฟังแน่นอนค่ะ”
จางเย่เดินไปด้านข้าง หยิบกีตาร์มาตัวหนึ่ง ไม่ได้นั่งลงทว่าพิงกำแพงแบบสบายๆ วาดมือดีดสายกีตาร์
คนทั้งหมดปรบมืออย่างยินดี รอคอยการโชว์ลูกคอของจางเย่!
……
คืนนั้น
‘นัดกับเหยียนเหมย’ ออกอากาศ
บทความสัมภาษณ์พิเศษของจางเย่ถูกตัดเป็นหนึ่งชั่วโมง คนจำนวนมากนั่งดูอยู่หน้าโทรทัศน์ รอการปรากฏตัวหลังขึ้นสู่จุดสูงสุดของจาง รอว่าจางเย่จะพูดกับโลกใบนี้ว่าอย่างไร
แม่กำลังดู
พ่อกำลังดู
เหล่าน้องสาวกำลังดู
อู๋เจ๋อชิงกำลังดู
จางหย่วนฉีกำลังดู
จางเสียกำลังดู
หนิงหลันกำลังดู
เหยาเจี้ยนไฉกำลังดู
เหล่าสตาร์คิงสตาร์ควีนกำลังดู
คนในวงการบันเทิงกำลังดู
ประชาชนในประเทศกำลังดู
พวกเขาคิดว่าจางเย่จะดีใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้!
พวกเขาคิดว่าจางเย่จะเปี่ยมชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก!
พวกเขาถึงขั้นคิดว่า จางเย่อาจจะพูดจาอวดดีออกมากลางรายการ ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการบันเทิง นี่คือสิ่งที่ดารามากมายเท่าไหร่ไม่อาจทำสำเร็จได้ตลอดชั่วชีวิตนี้!
ทว่าไม่มีเลย!
ไม่มีเลยสักอย่างเดียว!
ตอนที่เสียงดนตรีของเพลงนั้นดังขึ้น ตอนที่ตัวโน้ตอันแสนเจ็บปวดแถวนั้นปรากฏขึ้นในโทรทัศน์ คนจำนวนมากล้วนนิ่งงันไป มองดูจางเย่ที่ดีดกีตาร์เองร้องเพลงเองบนหน้าจออย่างเหม่อลอย! ความเจ็บปวด? ทำไมถึงเป็นท่วงทำนองอันเจ็บปวดล่ะ? ดารา? ตกลงแล้วอะไรคือดารากันแน่?
เสียงของจางเย่กดต่ำ
“เสียงปรบมือท่ามกลางความยินดีดังขึ้น”
“น้ำตาไหลรินในรอยยิ้ม”
“หน้าม่านส่งความสุขแก่คุณ”
“หลังม่านเหลือเพียงความเปลี่ยวเหงาให้ตัวเอง”
“อดทนมาแค่ไหน น้ำตามากน้อยเท่าใด”
“ถึงมากพอจะมายืนตรงนี้”
“ความขื่นขมจากความพ่ายแพ้ กำลังใจจากการคว้าฝัน”
“จะมีใครรู้ว่าสั่งสมมาแล้วกี่ขวบปี”
“โจ๊กเกอร์”
“โจ๊กเกอร์”
“ความเศร้าระทมของเขาแปรเป็นความสุข”
“มอบให้แด่คุณ”
ในโทรทัศน์
กล้องหมุนไปทางเหยียนเหมย ทุกคนล้วนเห็นว่าเหยียนเหมยน้ำตาไหลอาบแก้มแล้ว!
หน้าโทรทัศน์
ใบหน้าของฟ่านเหวินลี่ปรากฏแววสั่นสะท้าน!
ขอบตาของจางเสียแดงเรื่อ!
เฉินกวงสะอื้นขณะมองไปนอกหน้าต่าง!
จางหย่วนฉีหลับตา นึกถึงเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาได้มากมาย!
เหยาเจี้ยนไฉทอดถอนใจแล้วสูดจมูก!
แม่มองที่ลูกชาย ปวดใจแทบตาย!
ต่งซานซานนิ่งงันไปแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาถึงร่วงรินลงมา!
“โจ๊กเกอร์”
“โจ๊กเกอร์”
“ความเศร้าระทมของเขาแปรเป็นความสุข”
“มอบ ให้ แด่ คุณ”
‘นัดกับเหยียนเหมย’ จบลงแล้ว
แต่คนที่อยู่หน้าจอกลับไม่อาจสงบลงได้ไปอีกนาน!
คนจำนวนมากถูกเพลง ‘โจ๊กเกอร์’ ของจางเย่ทำให้ประทับใจอย่างลึกล้ำ!
อะไรคือดารา?
บางที นี่แหละคือดารา!