ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I'm really a superstar - ตอนที่ 1366
บนเครื่องบิน
จางเย่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดคุยกับแม่ขณะขึ้นเครื่อง สิ่งที่เขาพูดทำให้คนรอบข้างหัวเราะท้องแข็ง เขาพูดว่า “ไอ้หยา แม่ แม่เอาหัวใจไว้ที่ท้องเถอะ แค่ไปต่างประเทศเอง ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกน่า แม่วางใจได้ ผมออกมาครั้งนี้ต้องยึดหลักอดทนและเคารพผู้อื่นแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาไม่เคารพผมเหรอ? งั้นผมเคารพพวกเขา พวกเขายังไม่เคารพผม? งั้นผมยังเคารพพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่เคารพผม? แต่ผมก็ยังจะเคารพพวกเขา ถ้ายังไงพวกเขาก็ไม่มีทางเคารพผม? เชี่ย งั้นผมจะด่าพวกเขาแม่งให้ตาย ทีนี้ก็ไม่อาจไม่เคารพผมแล้ว”
หนิงหลัน “ฮ่าๆๆๆๆ!”
เสี่ยวตง “ฮ่าๆๆๆ”
ฉีเหม่ยหลันก็อดหัวเราะไม่ได้
ที่ไหนมีจางเย่อยู่ ที่นั่นจะต้องมีความผ่อนคลายและเสียงหัวเราะ ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะไปที่ไหนก็ราวกับเขากำลังพูดเซี่ยงเซิงอยู่ทุกที่
พอพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเห็นเขาก็ตื่นเต้นไม่หยุด
“ว้าว!”
“อาจารย์จาง?”
“อาจารย์จางมาแล้วเหรอคะ?”
“ผมยกกระเป๋าให้ครับ!”
“อาจารย์จาง เอากระเป๋ามาให้ผมเลยครับ!”
นี่คือเครื่องบินของไชน่าแอร์ไลน์ จางเย่เพิ่งเข้าห้องโดยสารก็มีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสองสามคนมาล้อมรอบเพื่อบริการเขา กลุ่มดาราด้านหลังเขาถูกทิ้งให้อยู่ตรงนั้น
จางเย่ค่อนข้างเกรงใจ “ไม่ต้องครับ ไม่ต้อง”
เอมี่หมดคำพูด “ดูการปรนนิบัติต่อคนอื่นเขาสิ”
เสี่ยวตง “ก็เป็นผู้โดยสารเหมือนกันหมด ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้นะ”
ต้าฉีหัวเราะ “อาจารย์จางเป็นผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ตลอดชีวิตของไชน่าแอร์ไลน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการบิน ปีนั้นเขาได้ช่วยชีวิตของผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเอาไว้ การดูแลก็ต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว”
หนิงหลันนึกออกแล้ว “อ้อ จริงด้วย ยังมีเรื่องนั้นอยู่นี่นะ”
พนักงานต้อนรับแจ้งให้กัปตันของเครื่องบินทราบ
กัปตันก็ออกมาต้อนรับ “อาจารย์จาง ยินดีต้อนรับครับ!”
จางเย่หัวเราะ “ผมบอกแล้วไงว่าระหว่างเราไม่ต้องเกรงใจ”
กัปตัน “ไม่ได้หรอกครับ ละเลยคนอื่นได้แต่ไม่อาจละเลยคุณ อาจารย์จาง ผมแต่งงานแล้วครับ เจ้าสาวเป็นพนักงานต้อนรับคนที่คุณช่วยชีวิตไว้เมื่อปีนั้น”
จางเย่ประหลาดใจ “อ้อ? คนผอมหรือคนอ้วนล่ะ?”
กัปตันยิ้ม “คนผอมครับ”
จางเย่ “โอ้ มันคือโชคชะตาจริงๆ ยินดีด้วยครับ”
กัปตัน “ขอบคุณครับ ต้องขอบคุณคำอวยพรจากคุณ อีกเดี๋ยวผมให้เธอเอาขนมงานแต่งมาให้นะครับ!”
จางเย่เองก็มีความสุขมาก รู้สึกคล้ายทำบางอย่างแล้วประสบความสำเร็จอย่างไรอย่างนั้น
ที่ชั้นเฟิร์สคลาส
ทุกคนนั่งลงแล้ว บอดี้การ์ดซุนอ้ายสี่ช่วยพวกเขายกกระเป๋าเก็บทีละคน
หลี่เสี่ยวเสียน “ขอบคุณค่ะพี่ซุน”
ซุนอ้ายสี่ยิ้มเซ่อๆ “เกรงใจไปแล้วครับ อาจารย์หลี่”
เสี่ยวตงเอาเท้ารองกระเป๋าไว้ “พี่ซุนคะ ของฉันก็ค่อนข้างหนักค่ะ”
“คุณไม่ต้องทำแล้วครับอาจาร์ยเสี่ยวตง ผมเก็บเองครับ” ซุนอ้ายสี่ขันอาสาทำให้
เสี่ยวตงยิ้ม “ขอบคุณค่ะ”
ซุนอ้ายสี่ “พี่สาวหลันเพิ่งมอบหมายให้ผมรับผิดชอบความปลอดภัยของทีมนี้ ระหว่างทางทุกคนมีเรื่องอะไรสามารถเรียกใช้ผมได้เต็มที่นะครับ”
หนิงหลันอยากรู้อยากเห็น “เหล่าซุนเป็นทหารผ่านศึกเหรอคะ?”
บอดี้การ์ดส่วนใหญ่ต่างเป็นทหารผ่านศึก
ฉีเหม่ยหลันฟังจบก็หัวเราะ “เหล่าซุนไม่ใช่ ท่านอาจารย์ซุนเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง ทักษะสูงมาก มีคนสามถึงห้าคนก็ไม่สามารถเข้าใกล้เขาได้ง่ายๆ หรอกนะ”
เอมี่ประหลาดใจ “ร้ายกาจมากเลยเหรอคะ?”
ซุนอ้ายสี่หน้าแดงเล็กน้อย “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”
ต้าฉีถาม “มีศิลปะการต่อสู้ในโลกนี้จริงๆ เหรอ?”
ซุนอ้ายสี่อธิบาย “พวกเราส่วนใหญ่เรียกมันว่ากังฟูครับ”
เสี่ยวตงยิ้ม “แล้วระหว่างคุณกับลุงเจียงของฉันใครร้ายกาจกว่ากันคะ?”
ทุกคนในวงการบันเทิงต่างรู้กันดีว่าซูเปอร์สตาร์ด้านศิลปะการต่อสู้แห่งเอเชียอย่างเจียงฮั่นเวยเติบโตมาในครอบครัวที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ มีทักษะที่แท้จริง ทุกคนต่างมองว่าเจียงฮั่นเวยเป็นคนที่มีระดับกังฟูระดับสูงที่สุดในประเทศ เพราะพวกเขารู้จักแค่คนเดียว ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้เชี่ยวชาญคนอื่นอีก นี่เป็นสาเหตุที่เวลาสื่อจำนวนมากเขียนรายงานข่าวเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญด้านกังฟู ก็มักจะเขียนชื่อเจียงฮั่นเวยไว้อันดับแรก นี่ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางไปแล้ว
เจียงฮั่นเวยมองเขา “ท่านอาจารย์ซุนมาจากสำนักไหนเหรอครับ?”
ซุนอ้ายสี่ “ค่ายตระกูลซุนครับ”
เจียงฮั่นเวยไม่คาดฝัน “ฮะ ท่านอาจารย์ซุนเฮ่อซุนก็คือคุณเหรอครับ?”
ซุนอ้ายสี่ตอบ “นั่นคือลุงรองของผมครับ”
เจียงฮั่นเวยหัวเราะ “ถ้ามีเวลาว่างพวกเราต้องลับฝีมือกันหน่อยนะครับ”
ซุนอ้ายสี่ “ได้ครับ มีโอกาสขอท่านอาจารย์เจียงโปรดชี้แนะ”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกปากถูกคอ
ส่วนจางเย่กลับไม่สนใจในหัวข้อนี้ ไม่แม้แต่จะฟัง ในขณะที่เครื่องบินยังไม่ขึ้นบิน เขาก้มหน้าหัวเราะเหอะๆ ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรคุยกับอู๋เจ๋อชิง
คนที่นั่งข้างเขาคือหนิงหลัน
หนิงหลันเหล่มองยิ้มๆ “คนอื่นเขาคุยเรื่องศิลปะการต่อสู้ นายไม่ฟังหน่อยเหรอ? ครั้งก่อนฉันไปถ่ายละครแล้วถูกล้อม นายไปช่วยฉันคลายวงล้อม ฉันได้ยินพวกที่เรียนศิลปะการต่อสู้ต่างเรียกนายว่าท่านอาจารย์จางนี่?”
จางเย่เหม่อลอย “หา? อา”
หนิงหลัน “นายได้กังฟูนิดหน่อยใช่ไหม?”
จางเย่พิมพ์ข้อความไปด้วยตอบกลับไปด้วย “อา ได้นิดหน่อย”
เสี่ยวตงหันกลับมาอย่างแปลกใจ “อาจารย์จางก็เป็นเหรอ?”
เฉินกวงขำ “เธอเชื่อคำขี้โม้เขาเหรอ”
เอมี่หัวเราะคิกคิก “ทำไมฉันถึงไม่เชื่อเลยล่ะ ดูร่างกาย ดูอารมณ์แล้ว อย่างท่านอาจารย์ซุนเขาถึงจะเรียกว่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริง”
เจียงฮั่นเวยไม่พูดอะไรสักคำ
แต่ซุนอ้ายสี่ตกใจฉี่แทบราด รีบร้อนพูดว่า “ไม่ครับ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก!”
พี่สาว! คุณอย่าหาเรื่องมาให้ผมได้ไหม! อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขา ใครกล้าเรียกตัวเองว่าผู้เชี่ยวชาญ? คนอื่นเขาสิถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกังฟูของจริง! เป็นปรมาจารย์ไทเก๊กที่สาบสูญไปกว่าร้อยปีเชียวนะ! ไม่นับแค่ผมแล้ว ถึงผมจะร่วมมือกับอาจารย์เจียงพวกเราก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา คนที่สามารถประมือกับปรมาจารย์กังฟูทั้งหลายแล้วยังยืนหยัดอยู่ได้ คนที่สามารถกวาดล้างสำนักศิลปะการต่อสู้ทุกสำนักกว่าสิบคนจากทั้งหัวซาน ง้อไบ๊ บู๊ตึ๊ง เส้าหลิน คงท้งทั้งหลายได้อย่างโหดเหี้ยม! ในยุทธภพนี้หากได้ยินชื่อของเขาก็ทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัวแล้ว!
เอาผมไปเปรียบเทียบกับคนเขา?
นี่ไม่ใช่ว่าคุณกำลังหาความอัปยศมาให้ผมอยู่หรอกหรือ!
ซุนอ้ายสี่อับอายเป็นอย่างมาก แต่เป็นเรื่องของตัวจางเย่เองเขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ซุนอ้ายสี่อยากจะหาช่องว่างและมุดลงไปใจจะขาด
เวลานั้นจางเย่คุยเสร็จพอดี เขาวางโทรศัพท์ไว้บนที่นั่งแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ
หนึ่งนาที
สองนาที
ทำธุระเสร็จเรียบร้อย
หลังจากเปิดประตูห้องน้ำและก้าวออกมา จางเย่ก็ต้องชะงัก
มีเงาดำทะมึนยืนขวางอยู่ด้านหน้าประตู
เป็นบอดี้การ์ดของสตาร์ควีนคนนั้นนั่นเอง
จางเย่นึกว่าเขาจะเข้าห้องน้ำเหมือนกันจึงเบี่ยงตัวไปด้านข้าง “คุณเข้าได้เลย”
รอบด้านไร้ผู้คน
ซุนอ้ายสี่กลับไม่ได้เดินเข้าไป เขาประกบหมัด และทักทายอย่างสุภาพ “ซุนอ้ายสี่ ศิษย์รุ่นที่เจ็ดของค่ายตระกูลซุน คารวะท่านอาจารย์จางครับ”
ค่ายตระกูลซุน?
สำนักย่อย?
จางเย่แปลกใจ “คุณรู้จักผมเหรอ?”
ซุนอ้ายสี่ยังคงประกบหมัด ก่อนตอบกลับอย่างนอบน้อม “โชคดีที่ผู้อาวุโสในตระกูลเล่าเรื่องราวของท่านอาจารย์จางให้ฟัง ศึกต่อสู้ทลายสำนักใหญ่ใต้หล้า ผู้เฒ่าในตระกูลก็ประสบด้วยตนเองเช่นกัน ทั้งยังโชคดีได้ร่วมต่อสู้เคียงข้างท่านอาจารย์จาง ได้เห็นการต่อสู้ของท่าอาจารย์จางด้วยตาตัวเอง ทุกครั้งที่นึกขึ้นมาก็ทำให้พวกเขาตื่นเต้นอย่างมาก” เขาชะงักครู่หนึ่ง แล้วรีบร้อนพูด “เมื่อกี้พี่สาวหลันถามผมเกี่ยวกับเรื่องของคุณ ผมรู้กฎของยุทธภพดี ผมไม่ได้พูดอะไรเลยครับ ขอให้คุณวางใจได้ ผมไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์”
กฎเกณฑ์?
นายเข้าใจเหรอ?
แต่ฉันไม่เข้าใจ!
กฎเกณฑ์ยุทธภพอะไรกัน?
จางเย่ หมอนี่ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนในยุทธภพแม้แต่นิด เขาเป็นศิลปินในวงการบันเทิง ปีนั้นที่บุกขึ้นยอดเขาสูงเทียมฟ้าก็เป็นเพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครจะคาดคิดว่าหลังจากครั้งนั้นเขาจะทิ้งตำนานของตนเองไว้ในยุทธภพ ทุกคนล้วนปิดปากเงียบ มันน่ากลัวชนิดที่แค่พูดถึงก็ต้องหน้าซีด
พวกนายพูดไปสิ!
ใครไม่ให้พวกนายพูดกัน!
พวกนายช่วยโฆษณาให้พี่ชาย คะแนนนิยมของพี่ชายจึงจะเพิ่มได้อีกไงล่ะ!
หากเหล่าคนในยุทธภพรู้ว่าจางเย่คิดอย่างไร คงต้องกระอักเลือดกันทุกคน!
กฎเกณฑ์ยุทธภพแท้จริงคือ หากคุณรู้แล้วก็คือได้รู้แล้ว นั่นหมายความว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับรู้ หากคุณไม่รู้ นั่นเพราะเป็นเรื่องที่คุณไม่ควรรู้ อย่างเช่นพี่สาวหลัน อย่างเช่นดาราทั้งหลายในวงการบันเทิง พวกเขาไม่ได้อยู่ในยุทธภพ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครบอกเรื่องแบบนี้กับพวกเขา อย่างน้อยซุนอ้ายสี่ก็ไม่สามารถบอกได้ เพราะคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยิ่งใหญ่เกินไป และอันดับอาวุโสของเขายังไม่พอ คุณสมบัติยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถอวดดีไปพูดคุยเรื่องนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเล่าให้คนนอกฟัง โลกยุทธภพมีเพียงคนในยุทธภพที่รู้ นี่คือกฎ
ซุนอ้ายสี่ทำความเคารพ “จากนี้หากมีโอกาส ขอท่านอาจารย์โปรดให้การชี้แนะด้วยนะครับ”
จางเย่ทำได้เพียงประกบหมัดตอบ “พูดได้ดี พูดได้ดี”
ซุนอ้ายสี่ยินดีกับสิ่งที่ไม่คาดคิด “งั้นคุณรับปากผมแล้วใช่ไหมครับ?”
จางเย่ “หา? อา ได้สิ“