ฉันนี่แหละคือซูเปอร์สตาร์ I'm really a superstar - ตอนที่ 1380
ตัวบรรจงกึ่งหวัดงั้นรึ?
มิยาโมโตะเซ็นเซมีโทสะแล้ว!
ดาราและนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นหลายคนต่างรู้สึกยินดีกับความเย่อหยิ่งของจางเย่! แข่งขันเขียนอักษรตัวบรรจงกึ่งหวัดกับมิยาโมโตะเซ็นเซ? ทั้งยังเขียนคล้ายตัวอักษรของมิยาโมโตะเซ็นเซอีก? นี่เขาไปเอาความกล้าเทียมฟ้านี้มาจากไหน? ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลยหรือไง! ในเมื่อนายเข้าใจการเขียนตัวบรรจงกึ่งหวัด งั้นทำไมนายถึงไม่รู้ว่า ในสนามการเขียนอักษรตัวบรรจงกึ่งหวัด ทั่วทั้งโลกนี้ไม่มีนักเขียนอักษรคนไหนเทียบเคียงกับมิยาโมโตะเซ็นเซได้แล้ว!
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อยังคงปรากฏบนจอภาพด้านหลัง เมื่อจางเย่เขียนตัวที่สอง ตัวที่สาม ตัวที่สี่ พวกเขาถึงได้ค้นพบว่า…
สมัยโบราณ!
ถึงกับเป็นการจรดอักษรลงบันทึก!
เชี่ย!
เช่นเดียวกับผลงานเมื่อสักครู่ของมิยาโมโตะเซ็นเซ ที่เขาเขียนคือการจดบันทึกแบบโบราณเหมือนกัน!
สมัยโบราณเหมือนกัน!
ตัวอักษรบรรจงกึ่งหวัดเหมือนกัน!
เป็นการจดบันทึกเหมือนกัน!
นายกำลังยั่วโมโหอยู่เหรอ?
ยั่วโมโหปรมาจารย์การเขียนอักษรชื่อดังระดับโลกเนี่ยนะ?
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลย!
แต่ว่าเวลานี้ขณะที่คนอื่นยังคงสบประมาทจางเย่ที่ไม่เจียมตัว มิยาโมโตะเซ็นเซที่ยืนอยู่ห่างจากจางเย่ไปสี่ถึงห้าเมตรกลับตะลึงค้างไปแล้ว!
คนที่ตะลึงคนต่อมาก็คือนักธุรกิจชาวเกาหลีที่มีความรู้ด้านการเขียนอักษร!
คนที่สามคือหลี่เสี่ยวเสียน เธอช็อกจนตาค้างแล้ว!
จากนั้นเป็นเฉียนไห่เทา คนที่รวยที่สุดในประเทศจีน!
ฝูงชนที่อยู่ในงานต่างตะลึงไปทีละคน!
“เสี่ยวเสียน?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“มิยาโมโตะเซ็นเซเป็นอะไรไป?”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เหล่าเฉียน? เถ้าแก่เฉียน?”
แต่ละคนกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนต่างจ้องเขม็งไปยังกระดาษของจางเย่ด้วยสีหน้าอัศจรรย์ใจ!
จางเย่ตวัดพู่กันราวกับกำลังโผบินอย่างเสรี
‘ปีที่ ๙ ในรัชกาลหย่งเหอ ปีกุ๋ยโฉว่ย่างเข้าปลายวสันต์ พบปะสมาคม ณ หลานถิง เมืองซานยิน มณฑลไคว่จี เพื่อฉลองแด่เทศกาลซี่[1] หมู่ปราชญ์เมธีล้วนรวมตัว ผู้เยาว์ผู้ชราร่วมชุมนุม มองไปพบเทือกเขาสูง แลป่าไม้อันสมบูรณ์อุดม ดงไผ่ครึ้มเขียวงามขจี ธาราใสไหลเย็นฉ่ำ ทิวทัศน์งามประชันทั้งซ้ายขวา เล่นลอยจอกสายน้ำคดเคี้ยว[2] นั่งเรียงต่อกันไปใคร่สำราญ แม้ไร้เครื่องดีดสีบรรเลงเพลง ทีละจอกจรดตรงริมปาก กลับให้เบิกบานอยู่ภายใน พอใจนักได้จำนรรจ์’
จางเย่เขียนอย่างใจเย็น พู่กันสะบัดพลิ้วไหว สีหน้าท่าทางแปรเปลี่ยนหลากหลาย
ทั้งเงียบสงบ
ทั้งทอดถอนใจ
ทั้งเจ็บปวด
และปีติยินดี
‘จรดจำ ณ ช่วงเวลา ท้องฟ้าโปร่งกระจ่างใส ลมพัดรื่นเย็นกายา เงยหน้ามองเอกภพไร้สิ้นสุด ก้มลงพบสรรพสิ่งสุดรีจัง สองตาประสานใจเสรี ปริ่มเปรมยามพบสิ่งสุนทรีย์ สุดสำราญเหลือคณา’
ในที่สุดหลี่เสี่ยวเสียนก็ทนไม่ไหวแล้ว!
“สวรรค์!” หลี่เสี่ยวเสียนอุทานด้วยความช็อก!
ฉีเหม่ยหลันตะลึง “นี่ ตัวอักษรพวกนี้…”
จางหย่วนฉียิ้มแล้ว ยิ้มอย่างสดใสเบิกบาน!
เฉินกวงอ้าปากตาค้าง “นี่คือจางเย่เขียนเองเหรอ?”
แม้แต่เจี่ยงฮั่นเวยที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับจางเย่ก็ยังพ่นลมหายใจออกมา!
หลายคนไม่เข้าใจการเขียนอักษร ถึงแม้ว่าจะมีผลงานการเขียนอักษรชั้นครูวางตรงหน้ามากมายก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร มีศิลปะและลีลาชั้นสูงอย่างไร เป็นตัวบรรจงหรือว่าตัวเหลี่ยมแบบโบราณ มีหลายคนไม่รู้อะไรเลย แต่หลังจากเห็นร่องรอยหมึกจากพู่กันของจางเย่ พวกเขาก็ต้องตกตะลึง!
อย่างไร้ที่มาที่ไป!
อย่างไร้เหตุผล!
แม้แต่ตัวพวกเขาเองยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร!
เพียงแค่ตกตะลึงเท่านั้น!
ความตะลึงที่จู่โจมสะท้านถึงจิตวิญญาณ!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้?
ทีมดาราญี่ปุ่นก็อึ้งจนเซ่อ!
“ทำไมกัน!”
“นี่มัน…”
“สวรรค์!”
คนทุกที่อยู่ภายในงานต่างมีสีหน้าตกตะลึง!
จางเย่กลับไม่หยุดแค่นั้น
เขายังคงเขียนต่อ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองสีหน้าของผู้คนด้านล่าง
‘เหล่าสหายต่างตามมา พักพิงลงในโลกหล้า เปิดอกเผยความนัย สนทนาในห้องหับ ทั้งวางใจแลไว้ใจ ปล่อยวางเรื่องนอกกาย ละทิ้งเรื่องทั้งหลาย ทั้งยามสงบยามวุ่นวาย เราต่างพบปะอย่างสุขสันต์ แม้เป็นเพียงโมงยามอันแสนสั้น จบลงในพริบตาทว่ายังประทับอยู่ในจิต แต่กลับลืมว่าชราต้องมาเยือน สังขารจึงอ่อนล้าแต่บัดนั้น เมื่อใจมีรักโลดไล่ การใดก็เปลี่ยนผัน ให้สั่นไหวหวาดประหวั่น สิ่งรื่นรมย์แปรเป็นอดีตกาล เนิ่นนานให้ทอดถอนใจ ครุ่นคำนึงอดีตมิอาจหวน ตระหนักว่าชีวิตสั้นยาวแค่เพียงไหน ถึงวาระสุดท้ายต้องสิ้นไป ดังคนโบราณได้กล่าวไว้ “เป็นหรือตายล้วนเรื่องใหญ่” แล้วไยไม่เจ็บปวด!’
……
ที่บ้านเหยาเจี้ยนไฉ
“ตัวอักษรงดงามมาก!”
“พระเจ้า!”
“ลุงจางของหนูถูกวิญญาณเข้าสิงแล้ว!”
……
CCTV
“เทพเจ้า!”
“เชี่ย!”
“จางเย่เป็นเทพไปแล้ว!”
“ตัวอักษรที่ท้าทายสวรรค์!”
“นี่เขาเขียนจริงเหรอเนี่ย?”
……
วงการการเขียนอักษรของประเทศจีน
“อาจารย์อู๋ครับ! นี่มัน…”
“ตัวบรรจงกึ่งหวัดทำไมถึงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้!”
“บนโลกนี้ยังมีคนที่สามารถเขียนตัวอักษรบรรจงกึ่งหวัดได้ขนาดนี้เชียวหรือ? เป็นไปได้ยังไง! พูดแบบล่วงเกินเลยนะ การเขียนอักษรระดับนี้นักเขียนอักษรสมัยโบราณยังไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้เลย!”
“นี่ก็คือระดับการเขียนอักษรของจางเย่?”
“เขาเรียนมายังไงกันแน่?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว พวกคุณดูคำว่า ‘之จือ[3]’ นั่นสิ!”
“คำว่า ‘จือ’ ตรงท่อนไหน?”
“ทั้งหมดนั่นเลย ดูให้ละเอียดสิ!”
“อะไรกัน? ทำไมถึงเขียนไม่เหมือนกันสักตัวเลยล่ะ?”
“สวรรค์!”
……
ที่วงการเขียนอักษรของประเทศเกาหลีใต้
“อาจารย์คิมคะ คุณคิดว่ายังไง?”
“ไม่รู้สิ”
“หา? ทำไมคุณถึงไม่รู้ละคะ? ตัวอักษรพวกนี้อยู่ระดับไหนกันแน่คะ?”
“การเขียนอักษรระดับนี้ ผมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอให้วิจารณ์ได้หรอก”
“อะไรนะคะ?”
“ผมรู้เพียงว่า บนโลกนี้ได้ให้กำเนิดปรมาจารย์การเขียนอักษรขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว!”
……
วงการการเขียนอักษรของประเทศญี่ปุ่น
“ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่?”
“ดาราในวงการบันเทิงคนหนึ่งครับ”
“เป็นไปไม่ได้! ดาราจะเขียนอักษรออกมาได้ถึงระดับนี้ได้ยังไง!”
“พี่ยามาดะครับ คนนี้กับมิยาโมโตะเซ็นเซ ใครดีกว่ากันเหรอครับ?”
“โคอิคุง นายดูไม่ออกจริงๆ เหรอ?”
“ผม ผม…ผู้ชายคนนี้โผล่มาจากหินก้อนไหนกัน! ทำไมในวงการการเขียนอักษรไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน!”
……
ภายในงาน
เงียบสงบ!
มีเพียงความเงียบงันเท่านั้น!
ทุกคนต่างจ้องมองบนเวทีด้วยความตะลึง ยิ่งมองก็ยิ่งอึ้งงัน!
มีเพียงมิยาโมโตะเซ็นเซเท่านั้นที่แตกต่าง เพราะเขามองเห็นได้ชัดเจนกว่าคนอื่น!
คำว่า ‘จือ’!
ในสายตาเขาล้วนมีแต่คำว่า ‘จือ’!
ตัวแรก : ‘ย่างเข้าปลายวสันต์’ จุดด้านบนเอียงนอน เส้นขีดแรกมุมปลายหนาอย่างเห็นได้ชัด มุมกลางเบี่ยงซ้ายชะงักไว้เป็นจุดทึบ และลากจรดปลายพู่กันค้างไว้ตรงส่วนหาง
ตัวที่สอง : ‘พบปะสมาคม ณ หลานถิง ’ เส้นขีดแนวนอนทับซ้อนเหมือนเป็นเส้นเดียวกัน มีลายขีดเส้นเล็กอันคมชัดเชื่อมต่อกับเส้นล่าง และลากพู่กันตวัดขึ้นเป็นเส้นบางในส่วนหาง
ตัวที่สาม : ‘แม้ไร้เครื่องดีดสีบรรเลงเพลง’ จุดด้านบนคล้ายหัวห่าน เส้นขีดแรกยกขึ้นเล็กน้อยและหักลงมาอย่างเห็นได้ชัด มุมกลางหมุนลากลงมา ส่วนหางโค้งหวัดลงข้างล่าง
ตัวที่สี่!
ตัวที่ห้า!
ตัวที่หก!
ไม่เหมือนกัน!
ทุกตัวล้วนไม่เหมือนกัน!
เทคนิคการเขียนราวกับเทพเจ้ารังสรรค์!
มิยาโมโตะเซ็นเซจ้องคำเหล่านั้นจนดวงตาจะถลนออกมาแล้ว!
นี่คือบทกวีอะไรกันแน่?
นี่คือการเขียนอักษรอะไรกันแน่?
จางเย่ยิ่งเขียนยิ่งรวดเร็ว ข้อมือของเขาตวัดฉวัดเฉวียน พลิ้วไหวไม่สิ้นสุด
‘ทุกคราคำนึงถึงคนอดีต ช่างเหมือนพ้องต้องกันไม่มีผิด ล้วนเป็นความอันแสนรันทด อดมิได้ต้องทอดถอนใจ ผู้คนควรตระหนักทราบแก่ใจ อันความเป็นตายนั้นคือมายา อายุสั้นยาวล้วนมิเป็นสาระ คนโบราณเห็นคนปัจจุบัน ดุจคนปัจจุบันเห็นคนอดีต อนิจจา! พวกเราที่มาร่วมกันเสวนา บันทึกไว้เพื่อเล่ากล่าวขาน แม้นการณ์ในโลกจักเปลี่ยนแปร ทว่ามนุษย์กลับมิแปรเปลี่ยน หากชนรุ่นหลังอ่านบันทึกนี้ ย่อมมีความนึกรู้ประดุจเดียวกัน’
ลงนาม
วางพู่กัน
ทุกอักษรตวัดครบบรรจบในคราวเดียว
จางเย่สูดลมหายใจเข้าลึก อารมณ์ถึงค่อยสงบลงอย่างช้าๆ พอตอนนี้เขาถึงได้มองเห็นผู้คนด้านล่างเวที ทั้งมิยาโมโตะเซ็นเซ เสี่ยวตง เอมี่ จางหย่วนฉี เฉินกวง หนิงหลัน นักธุรกิจชาวจีน นักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ทีมดาราจางเกาหลี แม้แต่ตากล้องและพิธีกร ทุกคนต่างตกตะลึงตาค้างอยู่ตรงนั้น!
นี่ก็คือ ‘หลานถิงซวี่’!
ผลงานเขียนอักษรอันดับหนึ่งในใต้หล้า!
———————————————
[1]เทศกาลซี่ เวลาที่บวงสรวงเพื่อขจัดวิญญาณชั่วร้ายในฤดูวสันต์และฤดูศารท
[2]การเล่นลอยจอกบนสายน้ำคดเคี้ยว คือเกมการละเล่นของนักปราชญ์ จอกลอยไปถึงใครก็ต้องเขียนบทกวี แล้วลอยต่อไปที่ใครก็ต้องแต่งทำนองประลองปฏิภาณกวี
[3] 之 จือ เป็นภาษาหนังสือ สามารถมีความหมายได้หลายแบบแล้วแต่รูปประโยค เป็นทั้งสรรพนามแทนตัวบุคคล และศัพท์เสริมน้ำเสียง หรืออาจจะไม่ได้หมายถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ดังนั้นเนื้อหาในบทกวีบางส่วน ผู้แปลจึงแปลคำนี้ในความหมายที่แตกต่างกันไปตามรูปประโยคจะอำนวย