I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 330 หน่วยรบหลิงเทียนในสายตาฉางซินหยวน!
เวลานี้เอง ฉางซินหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่มีโอกาสเอ่ยแทรกมาตลอดพลันกล่าวว่า “รอเดี๋ยวก่อน ฉันมีของบางอย่างอยากให้พวกนาย”
จากนั้นก็เห็นฉางซินหยวนหยิบแผ่นกลมโลหะที่เหมือนกับกระจกพกพาหกอันออกมาจากในกระเป๋าของตัวเองก่อนจะโยนให้พวกฉีหลงหกคน ในเวลาเดียวกันก็อธิบายว่า “นี่เป็นโล่แสงขนาดเล็กที่ฉันทำขึ้นมา พลังงานด้านในสามารถต้านการโจมตีของปืนใหญ่ได้หนึ่งครั้ง พวกนายพกไว้ ถึงแม้ว่าของจะไม่ค่อยดี แต่ว่ามันยังใช้ป้องกันได้ในช่วงเวลาสำคัญ”
ฉางซินหยวนอธิบายต่อว่าโล่แสงขนาดเล็กนี้ใช้งานอย่างไร อุปกรณ์ที่โผล่ขึ้นมาอย่างเหนือความคาดหมายนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นยินดีไม่หยุด สามารถป้องกันการโจมตีหนักเพิ่มขึ้นได้หนึ่งครั้งย่อมเป็นเรื่องดี ทำภารกิจมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นความหวังที่จะทำสำเร็จอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครอยากตายกลับไปแบบนี้
ฉีหลงตบไหล่ฉางซินหยวนด้วยความตื่นเต้น เรี่ยวแรงมหาศาลจนแทบจะตบฉานซินหยวนคว่ำลงพื้น ปากก็ชมเชยสิ่งประดิษฐ์เล็กๆ น้อยๆ ของฉางซินหยวนว่ายอดเยี่ยมมากอย่างกระตือรือร้น เขาร้องขอให้ฉางซินหยวนทำโล่แสงเล็กๆ ที่มีประโยชน์และพกพาสะดวกแบบนี้ในตอนที่มีเวลาว่าง ทางที่ดีที่สุดคือจัดเตรียมให้กับพวกเขาทุกคนสิบกว่าชิ้น
ฉางซินหยวนไม่ได้โกรธเคืองคำขอที่ค่อนข้างมากเกินไปของฉีหลง ตรงกันข้ามเขาดีใจมาก ฉีกยิ้มร่าเริงขึ้นมา ฉีหลงพูดแบบนี้ก็หมายความว่าเขา..ฉางซินหยวนยังมีประโยชน์ต่อทีม สมาชิกของทีมต้องการเขา นี่ทำให้ในใจเขารู้สึกโล่งอกมาก
ตลอดทางที่ผ่านมา ฉางซินหยวนรู้แจ่มแจ้งแล้วว่าสมาชิกทุกคนในทีมต่างมีความสามารถที่เก่งกาจอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมหุ่นรบหรือว่าทักษะการต่อสู้ของพวกเขาต่างอยู่เหนือกว่าหน่วยรบทั่วไป และเหนือกว่าเขามากนัก นี่ทำให้ฉางซินหยวนรู้สึกต้อยต่ำอยู่บ้าง ถึงขนาดที่เริ่มสงสัยว่าเขาสามารถอยู่ในทีม กลายเป็นสมาชิกที่แท้จริงได้หรือเปล่า
ความรู้สึกสนิทสนมเหมือนพี่น้องระหว่างสมาชิกทีมหลิงหลานทำให้ฉางซินหยวนที่อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดอิจฉาไม่หยุด ถ้าบอกว่าตอนแรกที่ฉางซินหยวนเข้าร่วมทีมหลิงหลานเป็นเพราะว่าไม่มีทางเลือก สุดวิสัยอยู่บ้าง เพราะถ้าพลาดทีมหลิงหลานไป มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมหน่วยรบอีก สถานการณ์ความเป็นจริงที่โหดร้ายนี้ทำให้เขาจำเป็นต้องเดินพันดูสักครั้ง ในตอนที่หลิงหลานได้รับภารกิจระดับ SSS ทำให้เขาลังเลจริงๆ แต่ฉางซินหยวนไม่ใช่คนที่ยอมแพ้เมื่อเจออุปสรรคยากลำบาก ไม่อย่างนั้นตอนแรกเขาก็คงไม่ต่อต้านการบีบบังคับของราชันสายฟ้ามาสามปี สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจพยายามด้วยกันกับพวกหลิงหลาน
การอยู่ร่วมกันในช่วงเวลาทำภารกิจนี้ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกที่ลึกซึ้งระหว่างสมาชิกในหน่วยรบ ถึงแม้ลูกพี่หลานจะเย็นชามากและก็เผด็จการอยู่บ้าง (นี่เป็นความรู้สึกของฉางซินหยวน ความจริงแล้วหลิงหลานไม่ได้ทำตัวเผด็จการเลยสักนิดเดียว เธอแค่ชินกับการทำหน้าตายเท่านั้น) รู้สึกกดดันมากในการอยู่ร่วมกับเขา ถึงขนาดที่พอลูกพี่หลานสบตากับเขาก็รู้สึกว่าหายใจลำบากอยู่บ้าง เขารู้ว่าบนตัวผู้แข็งแกร่งต่างมีไอพลัง เพียงแต่ไม่เคยมีคนไหนมอบแรงกดดันหนักหนาให้เขาเหมือนกับลูกพี่หลาน ถ้าหากตอนนั้นราชันสายฟ้าให้ความรู้สึกเหมือนลูกพี่หลานละก็ บางทีเขาอาจจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้วเลือกยอมจำนนนานแล้ว
แต่ลูกพี่หลานเผด็จการอำมหิตขนาดนี้กลับยืนอยู่ด้านหน้าสุดของทีมมาตลอดเพื่อปกป้องพวกเขาในช่วงเวลาสำคัญที่สุด ก็เหมือนกับคลื่นพายุสนามแม่เหล็กครั้งนั้น ลูกพี่หลานอยู่รั้งท้ายอย่างเด็ดเดี่ยว คุ้มกันพวกเขาเข้าไปในยานหลักอย่างปลอดภัย และคราวนั้นลูกพี่หลานเกือบตายอยู่ท่ามกลางคลื่นพายุสนามแม่เหล็ก
ฉางซินหยวนรู้ดีว่าลูกพี่หลานไม่ได้กำลังทำเล่นๆ เขาฝึกฝนพวกฉีหลงอย่างเคร่งครัดมาก ถึงขนาดที่โหดเหี้ยมอยู่บ้าง เป็นอาจารย์ที่เข้มงวดแน่นอน มีหลายครั้งที่ฉางซินหยวนคิดว่าพวกฉีหลงจะไม่รอดแล้ว แต่เขาเห็นลูกพี่หลานมีเวลาว่างก็จะไปหาหลี่ซื่ออวี๋ศึกษาวิจัยว่าจะเพื่อคุณสมบัติร่างกายและความสามารถในการต้านทานของพวกสมาชิกทีมให้สูงขึ้นอย่างไรหลายต่อหลายครั้ง และทุกอย่างนี้ต่างทำเพื่อให้พวกเขาเอาชีวิตรอดต่อไปได้โดยดี ไม่ว่าจะเป็นในโลกหุ่นรบหรือว่าในอนาคตตอนที่พวกเขาเข้าสู่สนามรบในโลกความเป็นจริง
ลูกพี่หลานเป็นลูกพี่ที่มีความรับผิดชอบและก็เป็นหัวหน้าหน่วยรบได้อย่างสมภาคภูมิ การติดตามลูกพี่แบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าสักวันตะถูกผลักออกไปเป็นแพะรับบาป เอาเถอะ สิ่งที่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในช่วงเวลานี้ทำให้เขาเริ่มเทิดทูนลูกพี่หลานเหมือนกับพวกฉีหลง…
ส่วนฉีหลงกับลั่วล่างคือนักสู้หลักและนักสู้รองของทีม ไม่ว่าการต่อสู้หุ่นรบหรือว่าการต่อสู้มือเปล่าต่างก็เป็นคนที่เก่งกาจสุดยอดของทีม แน่นอนว่าไม่อาจเทียบลูกพี่หลานได้ พวกเขาก็คือสองในห้าคนที่เป็นนักสู้หลักในตอนที่ต่อสู้บนสนามประลองกับเหลยถิง ในหมู่คนเหล่านั้น ลั่วล่างเอาชนะคนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสามของเหลยถิงได้ ส่วนฉีหลงก็ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของเหลยถิงได้อย่างสูสี อย่างไรก็ตามเขากลับพ่ายแพ้อย่างหวุดหวิดไปในตอนสุดท้าย ข้อมูลเหล่านี้ต่างเป็นสิ่งที่หลี่ซื่ออวี๋บอกเขา ควรรู้เอาไว้ว่าตอนนั้นเขาทุ่มความสนใจอยู่ที่การดัดแปลงหุ่นรบ ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนทหารดีนัก รวมถึงการต่อสู้บนสนามประลองครั้งนั้นด้วย
เซี่ยอี๋มีน้ำใจไมตรีมาก เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับฉางซินหยวนก่อนเป็นคนแรกในหมู่บรรดาสมาชิกเก่าของทีม เขาร่าเริงเป็นกันเอง ฉางซินหยวนเข้ากับเขาได้อย่างดีเยี่ยม แต่ความสามารถในการต่อสู้ของเซี่ยอี๋ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วล่างเท่าไหร่เลย ปกติแล้วนักสู้หลักกับนักสู้รองในหน่วยรบค่อนข้างเก่งกาจ ส่วนระดับการต่อสู้ของคนอื่นๆ จะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ว่าความสามารถของทุกคนในหน่วยรบหลิงหลานแทบจะใกล้เคียงกันมาก ดูจากความสามารถของเซี่ยอี๋แล้ว ต่อให้จะเป็นนักสู้หลักในหน่วยรบอื่นไม่ได้ แต่เขาเป็นนักสู้รองได้อย่างเหลือเฟือ แต่ในทีมหลิงหลาน เนื่องจากการแข่งขันดุเดือดมากเกินไป ยอดฝีมือมีมากมายราวกับเมฆ เซี่ยอี๋เลยเป็นได้แค่หนึ่งในปีกคู่ของหน่วยรบเท่านั้น
ยามปกติหานจี้จวินดูเคร่งขรึมมาก เหมือนกับคบหาได้ยาก ทว่าภายในดวงตาคู่นั้นของเขามีรัศมีแห่งการคำนวณอยู่เสมอ ฉางซินหยวนหวั่นเกรง ไม่กล้าเข้าใกล้คนประเภทเสนาธิการอยู่บ้างมาโดยตลอด ทว่าพอลูกพี่หลานไม่อยู่หรือว่าเอาแต่ดูอยู่วงนอก หานจี้จวินก็จะรับหน้าที่สั่งการหน่วยรบ วางกลยุทธ์ จัดการทำให้ทีมปฏิบัติการต่อไปอย่างราบรื่นโดยอัตโนมัติ
ช่วงเวลาที่ขาดการติดต่อกับลูกพี่หลานในตอนนั้น หานจี้จวินได้พิสูจน์ว่าเขาสามารถรับบทบาทนี้ได้ดีมาก ในตอนที่ไม่อาจรู้ข้อมูลที่แน่ชัดของลูกพี่หลานได้ เขาตัดสินใจใช้ข้อมูลปลอมที่กำหนดไว้ในตอนแรกด้วยความกล้าหาญ ถึงแม้เป็นเพราะว่ามีข้อเสนอแนะของฉางซินหยวนรวมอยู่ในนี้ด้วย แต่หลังจากที่ฉางซินหยวนเข้าใจความสามารถของแฮคเกอร์คร่าวๆ ในเวลาต่อมา เขาก็นับถือความกล้าหาญและการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของหานจี้จวินมาก รวมถึงความเชื่อใจที่เขามีต่อลูกพี่หลานอย่างมั่นคงแน่วแน่ด้วย…
ส่วนหลินจงชิง ปกติแล้วเขาดูไม่เตะตามาก ถึงขนาดที่เหมือนมนุษย์ล่องหนอยู่บ้างทำงานของเขาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ตอนแรกฉางซินหยวนก็มองข้ามเขาไปเล็กน้อย แต่พอทีมออกเดินทางในเวลาต่อมา ทุกครั้งที่ลูกพี่หลานอยากรู้เรื่องวัตถุดิบสิ่งของที่เหลืออยู่ในทีมก็ต้องสอบถามหลินจงชิง นี่ทำให้เขารู้ว่าหลินจงชิงต้องเป็นหัวหน้าฝ่ายพลาธิการของทีมแน่นอน
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า หลินจงชินทำงานด้านพลาธิการได้สมบูรณ์แบบมาก เมื่อทีมต้องการอะไร เขาก็เหมือนกับโดราเอมอนในตำนาน หยิบสิ่งของออกมาตามคำขอของทุกคนในทีมอย่างไม่ขาดสาย เห็นได้ว่าเขาเข้าใจสมาชิกทุกคนในทีมได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้ฉางซินหยวนประหลาดใจคือ เขา หลี่ซื่ออวี๋และหลี่หลานเฟิงเพิ่งจะเข้าร่วมทีม แต่หลินจงชิงรู้นิสัยเคยชินบางอย่างของพวกเขาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และจัดเตรียมของที่พวกเขาต้องการไว้บ้างเหมือนกัน…
หลี่ซื่ออวี๋เป็นคนที่เข้าร่วมทีมด้วยกันกับเขา แต่พวกฉีหลงดูคุ้นเคยกับอีกฝ่ายมาก ตอนแรกที่ไม่รู้สถานะที่แท้จริงของพวกเขา ฉางซินหยวนก็รู้ได้จากในบทสนทนาของพวกเขาว่า พวกเขารู้จักกันในโลกความเป็นจริง หลี่ซื่ออวี๋ดูเย่อหยิ่งจองหองอยู่บ้าง นี่อาจเป็นลักษณะพิเศษของนักเรียนดีเด่น ฉางซินหยวนไม่คิดว่ามีอะไรไม่ดี คนที่มีพรสวรรค์จะหยิ่งยโสหน้อยก็เป็นเรื่องปกติมาก บางทีอีกฝ่ายก็เป็นนักวิจัยเหมือนเขา หลี่ซื่ออวี๋เลยใสซื่อบริสุทธิ์มากเช่นกัน ถึงขนาดที่อีกฝ่ายดูใจอ่อนอยู่บ้างในสายตาเขา ดังนั้นอีกฝ่ายเลยมักจะถูกคำพูดของลูกพี่หลานโน้มน้าวเข้าไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สุดท้ายจำเป็นต้องทำตามคำพูดของลูกพี่หลาน
บางทีก็รู้สึกว่าหลี่ซื่ออวี๋ดูน่าสงสารนิดหน่อย ฉางซินหยวนพูดคุยกับเขาอยู่บ่อยๆ อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นเด็กใหม่เหมือนกัน หรืออาจเป็นเพราะพวกเขาต่างเป็นนักวิจัย หรือว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกได้ถึงเจตนาดีของเขา พวกเขาสองคนเลยเข้ากันได้ดียิ่ง มีเรื่องให้พูดคุยกันมากมาย นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขารู้เรื่องราวที่พวกฉีหลงได้กระทำ พวกเขามักจะพูดคุยเรื่องเพื่อนร่วมทีมข้างกาย รวมถึงผลงานของพวกเขาในระหว่างที่คุยเล่นกัน
คนที่ฉางซินหยวนไม่เข้าใจมากที่สุดคือหลี่หลานเฟิง ลักษณะท่าทางของเขาดีเยี่ยมมาก เผยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นประจำ เขาเกรงใจทุกคนในทีมอย่างยิ่งยวด ดูเหมือนคบหาได้ง่ายมาก แต่ฉางซินหยวนไม่กล้าใกล้ชิดเขามากเกินไป เขามักจะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่มีความรู้สึกมั่นคงเหมือนตอนที่อยู่ข้างกายหลี่ซื่ออวี๋ นี่อาจเป็นเพราะเขาคือผีซวี บนตัวมีกลิ่นอายอันตรายแฝงเอาไว้ สุดท้ายฉางซินหยวนก็ได้แต่ใช้เหตุผลข้อนี้มาพูดกล่อมตัวเอง
สรุปคือ ช่วงเวลาที่อยู่ในทีมนี้ ฉางซิหยวนเบิกบานใจมาก เขาถูกราชันสายฟ้าบีบบังคับมาสามปี ตกอยู่ท่ามกลางความโดดเดี่ยว วิตกกังวลและคับแค้นใจมาตลอด เขาทะนุถนอมวันเวลาที่มีความสุขสั้นๆ นี้มาก ฉางซินหยวนไม่อยากเสียมันไปเลย เขาอยากเข้าร่วมทีมกลายเป็นสมาชิกถาวรมากจริงๆ ไม่ใช่แค่คนผ่านมา ดังนั้นฉางซินหยวนจึงกลัวจะสูญเสียสิ่งที่เขาได้มาในวันเวลาเหล่านี้อยู่บ่อยๆ กลัวว่าความหวังของเขาจะเป็นสิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้
นี่ก็คือสาเหตุที่ฉีหลงขอร้องมากเกินไป แต่กลับทำให้เขาดีใจ นี่ทำให้เขารู้สึกตัวเองหลอมรวมเข้าไปในทีมได้อีกนิดแล้ว ในขณะที่ฉางซินหยวนดีใจ เขานึกถึงทหารซุ่มยิงหกคนที่ลูกพี่หลานต้องจัดการ อาวุธลับที่ยอดเยี่ยมที่สุดต้องเป็นเข็มฉีดยาสลบขนาดเล็กที่หลี่ซื่ออวี๋สร้างขึ้น ฉางซินหยวนจำได้ชัดเจนมากว่า ลูกพี่หลานใช้ไปแล้วสองอันในตอนที่ผ่านทางเดินเมื่อสักครู่นี้ เวลานี้บนตัวเขาต้องมีแค่อันเดียวเท่านั้น
ฉางซินหยวนคิดถึงตรงนี้ก็รีบหยิบเข็มฉีดยาสลบสามอันที่ถูกแบ่งมาให้ตัวเองออกมาจากในกระเป๋า จากนั้นก็ยื่นให้หลิงหลานพลางพูดว่า “ลูกพี่หลาน ฉันจำได้ว่านายเหลือแค่เข็มฉีดยาสุดท้ายอันเดียวเท่านั้น นายต้องจัดการหกคนนั้น ยังขาดอีกห้าอัน ฉันไม่จำเป็นต้องใช้เข็มฉีดยาสามอันนี้ ลูกพี่เอาไปเถอะ”
คำพูดของฉางซินหยวนเตือนสติทุกคน พวกเขารีบค้นกระเป๋าของตัวเองดูว่ายังมีอยู่หรือไม่ พวกเขาอยากมอบเข็มฉีดยาของตัวเองให้ลูกพี่ตนใช้
หลิงหลานหน้าผากขึ้นขีดดำ รับเข็มฉีดยาสลบสามอันที่ฉางซินหยวนส่งมาให้ เธอไม่อาจพูดได้ว่า ขอเพียงมีวัตถุดิบ เสี่ยวซื่อสามารถสร้างเข็มฉีดยาสลบนับไม่ถ้วนออกมาได้ในพริบตา…
หลี่หลานเฟิงหยิบเข็มฉีดยาสลบของตัวเองออกมา ขณะที่กำลังคิดจะยื่นเข้าไป เขากลับถูกหลี่ซื่ออวี๋แย่งไปก่อน
“เฮ้ หัวหน้า ฉันไม่ใช้ของพวกนี้ มอบให้นายละกัน” หลี่ซื่ออวี๋หยิบเข็มฉีดยาสลบขนาดเล็กสามอันของตัวออกมาแล้วยื่นให้หลิงหลานโดยไม่ลังเล
หลิงหลานหยิบแค่สองอันในมือเขาเท่านั้นก่อนจะเอ่ยอย่างนิ่งเรียบว่า “อีกเดี๋ยว นายก็ต้องการมันแล้ว”
คำพูดของหลิงหลานทำให้หลี่ซื่ออวี๋อึ้งไป ฉีหลงยิ้มพลางโอบคอของหลี่ซื่ออวี๋ไว้ “หกคนที่พวกเราต้องจัดการนั้น ถ้าคิดจะล้มพวกมันพริบตา จะขาดเจ้านี่ที่นายทำขึ้นมาไม่ได้หรอกนะ”
คำเตือนของฉีหลงทำให้หลี่ซื่ออวี๋ตระหนักได้ เขาไม่ดึงดันอีกต่อไป เก็บเข็มฉีดยาอันสุดท้ายกลับมา เขาหนีบมันไว้ในร่องนิ้ว เตรียมพร้อมใช้มันในตอนที่โจมตี
—————————–