I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 131 ดาวเว่ยหลาน
กลุ่มของหลิงหลานให้ฉีหลงเป็นคนออกหน้า ในเมื่อฉีหลงไม่ถาม เช่นนั้นก็หมายความว่ากลุ่มของหลิงหลานไม่สนใจเรื่องนี้ แต่การที่พวกหลิงหลานไม่สนใจ ไม่ได้หมายความว่าอู่จย่งจะไม่สนใจเสียหน่อย
“ได้ยินว่ารางวัลผ่านด่านโลกเสมือนจริงของนักเรียนปีเจ็ดในปีนี้ถูกสถาบันของดาวอื่นคว้าไปแล้วน่ะสิ พอผู้อำนวยการรู้เข้าก็โมโหมาก ดังนั้นตอนนี้เลยเรียกอาจารย์ทุกคนเข้าประชุมด่วน” เพื่อนร่วมชั้นที่แจ้งข่าวทำหน้าผิดหวัง เขาเองก็เฝ้ารอกิจกรรมนอกเวลาเรียนครั้งนี้มากเหมือนกัน “ตอนนี้ดูแล้ว น่าจะไม่มีเวลาพาพวกเราไปล่าที่ทุ่งป่าแล้วล่ะ”
สาเหตุที่นักเรียนแจ้งข่าวตอบอย่างละเอียดยิบเป็นเพราะอู่จย่งที่เอ่ยถามนั้นคือหัวหน้าทีมของหนึ่งในสามทีมหลักของห้องเอ ถ้าหากสามารถได้รับความรู้สึกดีๆ จากเขา ได้มีโอกาสเข้าทีมเขา เช่นนั้นก็น่ายินดีแล้ว
ถึงแม้ว่าห้องเอจะตั้งทีมขึ้นมาไม่น้อย แต่มีเพียงสามกลุ่มที่ทำให้เหล่านักเรียนไร้ทีมของห้องเอในตอนนี้จ้องตาเป็นมันอยากเข้าร่วมอย่างยิ่ง เนื่องจากหลี่อิงเจี๋ยรับคนเต็มแล้ว ไม่ต้องไปคิดถึงเขา โควตาที่เหลืออยู่หลายอันของอีกสองกลุ่มต่างถูกพวกเขาจับจ้องไว้
เมื่อเปรียบเทียบแล้วทีมหลิงหลานเข้มงวดในการรับคน เนื่องจากเหลือโควตาสุดท้ายแค่ที่เดียวเท่านั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่า อยากจะเข้าทีมหลิงหลาน ระดับความยากสูงจนน่ากลัว ไม่เพียงต้องการอัจฉริยะที่โดดเด่นเหนือใครแล้ว เขาจะต้องมีฝีมือทุกด้านด้วย บางคนที่รู้จักตัวเองดีพอก็ทยอยกันตั้งเป้าไปที่ทีมของอู่จย่ง อย่างน้อยที่สุด เงื่อนไนในการรับคนของทีมอู่จย่งก็ไม่ได้สูงขนาดทีมหลิงหลาน นอกจากนี้ยังมีโควตาเหลือสองที่ ไม่ว่ายังไงอัตราความสำเร็จก็สูงกว่ามาก นี่ทำให้ระดับความสนใจของทีมอู่จย่งสูงกว่าทีมหลิงหลานในหมู่นักเรียนห้องเอ
“ไม่รู้ว่าสถาบันลูกเสือของดาวดวงไหนถึงได้โหดขนาดนี้?” เยี่ยซวี่เองก็อยากรู้เรื่องนี้เหมือนกัน
“เป็นดาวเว่ยหลาน!” คำตอบของนักเรียนที่แจ้งข่าวทำให้พวกนักเรียนในห้องต่างตกตะลึงไป ดาวเว่ยหลานเป็นดาวระดับสามนะ ทรัพยากรทุกด้านต่างด้อยกว่าพวกเขาหลายเท่า หรือว่าที่นั่นมีอัจฉริยะแห่งยุคปรากฏตัวขึ้น?
หลี่อิงเจี๋ยที่เดิมทีไม่ได้ใส่ใจอะไร พอได้ยินคำว่าดาวเว่ยหลานก็คล้ายกับนึกอะไรออก สีหน้าเขาซีดเผือดฉับพลัน รีบเอ่ยปากถามว่า “นายรู้หรือเปล่าว่าพวกคนที่ฝ่าด่านคือใคร?” การฝ่าด่านจำเป็นต้องอาศัยทีม ดังนั้นหลี่อิงเจี๋ยถึงได้ถามแบบนี้
นักเรียนที่แจ้งข่าวกล่าวพลางส่ายหน้าด้วยความเสียใจว่า “ฉันบังเอิญได้ยินอาจารย์สองคุยเรื่องนี้กัน ตอนที่ฉันเดินผ่านพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันได้ยินแค่ว่านักเรียนดาวเว่ยหลานฝ่าด่านได้ตั้งแต่ยังไม่ถึงตีห้าของเช้าวันนี้ กลายเป็นทีมแรกที่ฝ่าด่านสำเร็จในปีนี้ หลังจากนั้นฉันก็ไม่กล้าหยุดฟังมากกว่านี้แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าคนพวกนั้นคือใคร”
“ส่วนข้อมูลที่ละเอียด คิดว่าพวกอาจารย์น่าจะรู้นะ” นักเรียนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันถกเถียงขึ้นมา
ในเวลานี้เอง เสียงกระจ่างใสหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้องเรียน “ถูกต้อง ฉันรู้จริงๆ…” ที่แท้เฉิงหย่วนหัง ครูประจำชั้นห้องสเปเชียลเอของพวกเขาก็มาถึงแล้ว
“อาจารย์เฉิง สวัสดีครับ” เมื่อเห็นเฉิงหย่วนหังเข้ามาแล้ว นักเรียนทุกคนต่างก็กลับไปยังที่นั่งของตัวเองดีๆ แล้วยืนตัวตรงเอ่ยทักทายอาจารย์อย่างเป็นระเบียบ
เฉิงหย่วนหังทำท่าให้พวกนักเรียนนั่งลง หลังจากนั้นก็ประกาศว่า “ฉันจะบอกพวกเธอสองเรื่อง เรื่องแรกคือให้พวกเธอวางใจได้ แผนการล่าสัตว์ที่ทุ่งป่าที่กำหนดไว้ในตอนแรกนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง วันนี้จะออกเดินทางตามกำหนดการ!” คำพูดของเฉิงหย่วนหังทำให้นักเรียนทั้งห้องต่างร้องไชโยขึ้นมา ควรรู้ไว้ว่าพวกเขารอคอยวันนี้มานานมากแล้ว
“แต่ว่าระดับความยากและปริมานในการล่าสัตว์ของพวกเธอในครั้งนี้จะเยอะกว่าปีก่อนมาก ทุกอย่างนี้ต้องดูการปฏิบัติของพวกเธอในสถานที่ล่าสัตว์แล้วค่อยตัดสินกัน ต่อให้ปริมาณต่ำสุดก็ต้องเพิ่มขึ้นมาครึ่งหนึ่ง” คำพูดต่อมาของเฉิงหย่วนหัวทำให้พวกนักเรียนห้องเอส่งเสียงฮือฮากัน นี่เป็นเพราะอะไร?
“พูดอีกอย่างก็คือ เวลาในการล่าสัตว์นอกหลักสูตรของพวกเธอจะยืดออกไปถึงห้าเดือนหรือหกเดือน…” เฉิงหย่วนหังกล่าวเสริม นี่ทำให้พวกนักเรียนประท้วงขึ้นมา พวกเขาเคยอยากใช้ชีวิตที่ตื่นเต้นนองเลือด แต่ไม่เคยอยากเป็นคนฆ่าสัตว์อยู่ในดาวดึกดำบรรพ์นานขนาดนี้นะ
“อาจารย์ ทำไมถึงตัดสินใจแบบนี้ละครับ” เยี่ยซวี่เอ่ยปากถามด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าการกระทำแบบนี้ของสถาบันดูไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง ทางสถาบันอนุญาตให้ยื่นคำคัดค้านได้ ขอเพียงคุณมีเหตุผลและก็มีความสามารถ
“ทำไม?” ทันใดนั้นสีหน้าของเฉิงหย่วนหังหนักอึ้งลง มือฟาดลงกับโต๊ะฉับพลัน เสียงปังดังลั่นทำให้เหล่านักเรียนที่เดิมทียังถกเถียงกันอยู่นั้นเงียบเสียงลงไปทันที ภายในห้องเรียนเงียบกริบ
“นับตั้งแต่ที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือของเราก่อตั้งขึ้นมา เราไม่เคยพลาดรางวัลการฝ่าด่านโลกเสมือนจริงของชั้นปีเจ็ดมาก่อน แต่ว่าปีนี้เรากลับพลาดรางวัลไปแล้ว ก่อนหน้าที่พวกเราจะฝ่าด่านไปได้นั้น สถาบันลูกเสือของดาวเว่ยหลานระดับสามที่อยู่ห่างไกลกลับฝ่าด่านไปได้อย่างราบรื่น นี่เป็นความอัปยศของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเรา และก็เป็นความอัปยศของพวกเธอ….”
เฉิงหย่วนหังเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็อ่อนลงเล็กน้อย “พวกเธอเคยคิดถึงเหตุผลกันหรือเปล่า? ทำไมพวกเราถึงพ่ายแพ้? พวกเราถูกเกียรติยศชื่อเสียงในอดีตปิดตาทั้งสองข้างไว้หรือเปล่า ดังนั้นเลยมองไม่เห็นว่าสถาบันลูกเสือแห่งอื่นๆ กำลังพยายามไล่ตามอยู่? การประชุมคณาจารย์ของสถาบันในวันนี้ ผู้อำนวยการกล่าวไว้ไม่ผิดเลย เกิดจากความทุกข์ยาก ตายด้วยความสุขสันต์[1]! ถ้าหากพวกเราไม่ได้สติ ชื่อเสียงเกียรติยศในอดีตที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือของเราสูญเสียไปก็จะถูกกาลเวลาชะล้างไปจนหมดสิ้น”
“ดังนั้น พวกเราจึงตัดสินใจจดจำบทเรียนที่เจ็บปวด ไม่อาจปล่อยผ่อนคลายได้อีกต่อไป…เพราะฉะนั้น ฉันก็อยากแสดงความยินดีให้กับพวกเธอ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเธอจะได้รับการสั่งสอนอย่างเต็มกำลังของเรา พวกเราจะให้พวกเธอไม่มีเวลาคิดเรื่องไร้สาระ…เราจะบีบศักยภาพของเธอออกมาให้หมด” คำพูดของเฉิงหย่วนหังทำให้นักเรียนทุกคนรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก เกิดความรู้สึกว่าหายนะมาเยือนแล้ว
หลิงหลานเท้าคางตัวเอง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอรู้สึกมานานแล้วสถาบันตั้งเงื่อนไขแต่ละด้านกับนักเรียนต่ำไป นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ความสามารถของเธอกับเด็กพวกนี้ห่างชั้นกันมากขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่พวกฉีหลงคลุกคลีกับเธอ เลยไม่ถูกการสั่งสอนของสถาบันถ่วงรั้งไว้
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานก็เข้าใจความระมัดระวังของทางสถาบันมากเช่นกัน ถึงยังไงร่างกายของเด็กที่อายุเท่านี้กำลังเติบโตอยู่ หากฝึกฝนมากเกินไปจะสร้างความเสียหายยาวนานต่อร่างกายได้ ทางสถาบันไม่กล้าเดิมพันเรื่องนี้
“ดังนั้นก็เลยเพิ่มปริมานการฝึกฝนด้านต่างๆ ให้พวกเรามากขึ้นสินะ” อู่จย่งเข้าใจแล้ว เขาทอดมองไปยังหลิงหลานที่มีสีหน้าพึงพอใจ ตระหนักขึ้นมาได้บ้างว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้มีความสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่นแบบนี้ เกรงว่าปริมาณการฝึกฝนของเขาอาจจะเหนือกว่าพวกเขาไปไกล….ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ละก็ เขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับอีกฝ่ายเหมือนกัน
“ใช่แล้ว ตั้งแต่นี้ไปภารกิจแต่ละปีของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะมากกว่าเมื่อก่อนหนึ่งเท่าตัวขึ้นไป ถ้าหากนักเรียนปีเจ็ดในปีหน้าพ่ายแพ้อีก เราก็จะเพิ่มมากขึ้นต่อไป” เฉิงหย่วนหังประกาศแผนการของสถาบันพวกเขาด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ ถ้าอยากผ่านไปได้ด้วยดี ก็ต้องรอให้นักเรียนปีเจ็ดในปีหน้าสู้ๆ หน่อย
“อาจารย์เฉิง คุณรู้หรือเปล่าว่าทีมที่ฝ่าด่านไปได้คือคนพวกไหนกันครับ?” ในที่สุดหลี่อิงเจี๋ยก็อดทนไม่ไหว เอ่ยปากถามเรื่องที่เขาสนใจมากที่สุด
เฉิงหย่วนหังมองเขาแวบหนึ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หลี่อิงเจี๋ยรู้สึกว่าความคิดของเขาถูกอาจารย์มองทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่เขาอยากรู้ผลจริงๆ นี่นา ถ้าเกิดญาติผู้พี่คนโตอยู่ในนั้นด้วยละก็ นั่นหมายความว่าการที่เขาอยากกลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งแทนพี่ใหญ่นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“เธอไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เธอต้องพยายามทำภารกิจที่สถาบันมอบหมายให้เท่านั้นก็พอแล้ว” เฉิงหย่วนหังไม่ตอบ หากแต่พูดโน้มน้าวให้หลี่อิงเจี๋ยมุ่งมั่นตั้งใจกับเรื่องของตัวเอง
“ผมแค่อยากรู้เท่านั้นว่าในนั้นมีคนที่ชื่อหลี่มู่หลานอยู่หรือเปล่าครับ” หลี่อิงเจี๋ยเอ่ยถามอย่างดึงดัน
เฉิงหย่วนหังขมวดคิ้ว เขาเหลือบมองหลี่อิงเจี๋ยที่ดูตื่นเต้นหวั่นไหวอยู่บ้างแวบหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “มีคนนามสกุลหลี่อยู่หนึ่งคนจริงๆ” หลี่อิงเจี๋ยหน้าถอดสี เฉิงหย่วนหังกล่าวต่อว่า “แต่ฉันจำได้ว่าเขาชื่อ หลี่หลานเฟิงนะ!”
“หลี่หลานเฟิง?! ไม่ใช่เขาก็ดี” สีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ขอแค่ไม่ใช่ชื่อที่เขากังวล ใครจะฝ่าด่านไปได้ก็ไม่เป็นไรทั้งนั้น
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว ทุกคนก็ตามอาจารย์ไปรวมตัวกันที่ลานจัตุรัส” เฉิงหย่วนหังเห็นทุกคนไม่มีข้อสงสัยอื่นอีกก็พูดออกมา จากนั้นก็พานักเรียนปีสี่ห้องเอมาที่จัตุรัสกลางของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ
ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยฟลายอิ้งสเก็ต ทุกคนสวมฟลายอิ้งสเก็ตตามอาจารย์ประจำชั้นของตัวเองมาถึงจัตุรัสกลาง หลิงหลานเอ่ยในใจว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุว่าทำไมฟลายอิ้งสเก็ตถึงอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญต่อโรงเรียนขนาดนี้ การจะเคลื่อนย้ายกลุ่มคนขนาดใหญ่โดยที่มีความยืดหยุ่นสูงมากเช่นนี้ ถ้าเกิดไม่มีฟลายอิ้งสเก็ตละก็ ประสิทธิภาพคงมีไม่เยอะเท่าไหร่จริงๆ
เวลานี้มีคนมาที่ลานจัตุรัสไม่น้อยแล้ว มีเพียงแค่นักเรียนปีสี่ที่จะออกไปล่าสัตว์ในวันนี้ แต่ว่าสถานที่ที่จัดเตรียมให้ไปนั้นไม่เหมือนกัน
หลิงหลานถึงค่อยพบว่าบนฟ้าตรงกลางลานจัตุรัสที่เงียบกริบนั้นเต็มไปด้วยยานบินเล็กๆ รูปร่างเหมือนกระสวยนับไม่ถ้วน ฉากนี้ทำให้หลิงหลานรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าเธออยู่ในโลกไซไฟ…เอาล่ะ เดิมทีตัวตนในเวลานี้ของเธอก็ไซไฟมากแล้ว
หลิงหลานเห็นรอบๆ บริเวณลานจัตุรัสปรากฏของที่แต่เดิมไม่เคยมีมาก่อน มันคือแท่นลอยฟ้าขนาดใหญ่หลายอัน เวลานี้บนแท่นบางอันมีนักเรียนของห้องที่มาถึงก่อนกำลังทยอยขึ้นไปบนยานบินเล็กพวกนั้น
เมื่อทุกคนเข้าไปแล้ว ยานบินก็ปิดประตูลง มันกลายเป็นกระสวยรูปวงรีที่ปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา หลังจากนั้นมันก็ส่งเสียงฟิ้วบินไป ความเร็วในการขับเคลื่อนพริบตานั้นไปถึง 0.5 มัคโดยสิ้นเชิง
เฉิงหย่วนหังพาพวกเขามายังจุดที่สูงกว่าและกว้างกว่าแท่นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เมื่อนักเรียนทุกคนเหยียบขึ้นมาบนแท่นแล้ว พวกเขาก็เห็นยานบินขนาดใหญ่ที่ทาสีแดงไว้ทั่วบินเข้ามาก่อนจะจอดลงตรงหน้าพวกเขา
บนลำตัวของยานบินยังพ่นสีคำว่า ‘ห้องสเปเชียลเอ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือ’ ไว้ ทำให้หน้าผากหลิงหลานเหงื่อแตกพลั่กทันที หรือว่าห้องเอก็มียานบินส่วนตัวด้วย? ดูท่าทางสถาบันใช้ต้นทุนมหาศาลเพื่อทำให้นักเรียนตระหนักถึงเกียรติยศในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่ง
ภายในยานบินมีขนาดใหญ่มาก ตรงกลางมีโต๊ะกลมสามตัว วางตำแหน่งเป็นสามเหลี่ยม รอบๆ โต๊ะกลมแต่ละตัวต่างวางเก้าอี้นวมไว้หกตัว ที่นั่งอื่นๆ ก็วางกระจายรอบๆ โต๊ะกลมใหญ่ทั้งสามตัวนี้ เห็นได้ชัดว่า ทางสถาบันเองก็สร้างตำแหน่งที่สูงกว่าของผู้แข็งแกร่งขึ้นมาในชั้นปีเช่นเดียวกัน สื่อแนวคิดที่ว่าผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพออกมาอย่างชัดเจน
เหล่านักเรียนต่อแถวขึ้นยานอย่างเป็นระเบียบ นักเรียนที่เข้ามาก่อนแต่ว่าไม่ใช่สมาชิกทีมสามกลุ่มใหญ่นั้นต่างก็ปล่อยที่นั่งโต๊ะกลมตรงกลางไว้อย่างรู้ตัวดี
หลิงหลานเป็นคนแรกของทีมสามกลุ่มใหญ่ที่เข้ามา เมื่อเธอเห็นการจัดวางแบบนี้ก็รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เธอนั่งลงบนเก้าอี้นวมของโต๊ะกลมหนึ่งในนั้นโดยไม่เกรงใจเอามากๆ พวกฉีหลงที่ตามหลังมาติดๆ ก็นั่งลงตามเช่นกัน
นี่คือตำแหน่งของพวกเขา ในสถาบันลูกเสือไม่มีคำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนเสียสละให้ ไม่อย่างนั้นจะโดนคนอื่นดูถูกแทนได้
……………………………………………………
[1] หมายถึง ความลำบากทำให้เราได้แจ้งเกิด ใครหลงสบายก็วอดวาย