I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 172 ระดับเขตแดน?
“ตายซะ!” เสี่ยวฉงตวาดด้วยความโกรธ ในขณะที่เห็นว่ากำลังจะบีบคออีกฝ่ายจนหักนั้น นิ้วมือของเขาพลันไร้เรี่ยวแรง ร่างกายทุกส่วนรู้สึกชาและเย็นเยียบอยู่บ้าง แทบจะบีบคออีกฝ่ายไม่ได้ โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามไม่มีแรงดิ้นรนแล้ว ไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่านี่อาจจะทำให้อีกฝ่ายดิ้นหนีไปได้แล้ว
หรือว่าอาการบาดเจ็บภายในเมื่อสักครู่นี้จะส่งผลต่อเขาแล้ว? เสี่ยวฉงเพิ่งจะรู้สึกงุนงงก็ถูกความเจ็บปวดบีบหัวใจตรงหน้าอกขับไล่ความสงสัยออกไปทันที
เขามองลงไปตามจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นก็ตื่นตะลึงไปทั่วทั้งร่าง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือมือขาวเนียนเล็กๆ ข้างหนึ่ง ด้านบนมีหัวใจที่แข็งแรงดวงหนึ่งกำลังเต้นอยู่…นี่เป็นหัวใจของใครกัน?
ทันใดนั้นทั่วทั้งใบหน้าเขาก็บิดเบี้ยวด้วยความตกใจกลัว เพราะเขาเห็นหน้าอกของตัวเองปรากฏโพรงเลือด เวลานี้เลือดสดๆ กำลังพุ่งกระฉูดออกมาจากในโพรงเลือด ไม่เพียงย้อมเสื้อผ้าของเขาจนเป็นสีแดง ในขณะเดียวกันมันก็ย้อมพื้นที่เขากำลังยืนอยู่ให้แดงฉานด้วย….และคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับไม่เปื้อนเลยสักนิดเดียว เลือดยังไม่ทันได้สาดรดใส่อีกฝ่ายก็ถูกดีดกลับมา ราวกับว่ารอบๆ วงกลมมีอะไรบางอย่างกำลังปกป้องเขาอยู่
สายตาของเสี่ยวฉงกลับมาที่หัวใจในมือน้อยๆ อีกครั้ง ในปากก็ขมฝาดยากจะทานทน ‘ไอ้ของที่เต็มเปี่ยมด้วยกำลังวังชานั้นก็คือหัวใจของเขาเหรอ? หัวใจของเขาถูกควักออกมาจากในร่างเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? และเขาไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเนี่ยนะ?’
เวลานี้เอง มือขาวนวลเล็กๆ แตะที่ข้อมือเขาเบาๆ และผลักมือของเขาออกอย่างนุ่มนวล เสี่ยวฉงค่อยพบว่า เขาไม่ได้บีบคออีกฝ่ายแล้ว นิ้วมือของเขายังคงอยู่ห่างจากลำคออีกฝ่ายไม่กี่มิลลิเมตร เพียงแต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นเท่านั้น
หลังจากที่มือเล็กๆ ผลักนิ้วมือเขาออกไปก็ตบแก้มเขาเบาๆ ดวงหน้าน้อยๆ ที่เดิมทีดูอ่อนเยาว์เย็นชาก็ยิ้มขึ้นมาโดยไม่คาดคิด รอยยิ้มที่ดูหวานและก็งดงามทำให้เสี่ยวฉงคล้ายกับมองเห็นดวงอาทิตย์อบอุ่นในชั่วพริบตา เจิดจ้าแต่ก็อบอุ่นจนทำให้คนใฝ่หา
“แกตายได้แล้ว!” ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากพระอาทิตย์อบอุ่นคือความเป็นจริงที่โหดร้าย
น้ำเสียงไร้ความรู้สึกดังมาจากในรอยยิ้มงดงามนั้น จากนั้นเสี่ยวฉงก็ได้ยินเสียง ‘ฟึบ’ ราวกับมีอะไรบางอย่างถูกบีบจนแหลกเขามองไปตามจิตใต้สำนึก จากนั้นร่างกายก็รู้สึกเจ็บปวดจากการถูกบีบหัวใจ พลังชีวิตไหลออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่แท้หัวใจของเขาถูกมือเล็กๆ นั่นบีบจนแหลกทั้งดวงแล้ว เขาถึงขนาดเห็นนิ้วมือของอีกฝ่ายยังหยิกถูมันอย่างชั่วร้าย สุดท้ายค่อยดีดนิ้วทีหนึ่ง เนื้อเละๆ ในมือก็ถูกดีดออกไปทั้งหมด กลับมาเป็นมือขาวนวลน้อยๆ ดังเดิม ไม่เปื้อนเลือดเลยสักนิด ราวกับว่าการบีบหัวใจจนแหลกเมื่อสักครู่นี้เป็นเพียงภาพจินตนาการของเสี่ยวฉงเท่านั้น
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นถือ ต่อให้ทำเรื่องที่เห็นได้ชัดว่าเลวร้ายน่ากลัว แต่ในสายตาของอีกฝ่ายกลับดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก แววตาของเขามีร่องรอยความหยอกล้อ เย้ยหยัน และสนุกสนาน ทว่าสิ่งที่ไม่มีคือความไม่สบายใจและสะอิดสะเอียน ราวกับว่าคุ้นเคยกับการกระทำแบบนี้มานานแล้ว
ท่าทีหยอกเล่นกับชีวิตคนแบบนี้ทำให้เสี่ยวฉงรู้สึกเหมือนร่างกายตกเข้าสู่ถ้ำน้ำแข็ง หนาวยะเยือกไปทั่วร่าง…ปีศาจ มันคือปีศาจแน่นอน!
“หัวหน้า…” เสี่ยวฉงหันหน้ามองไปยังหัวหน้าทีมที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือด้านหน้าด้วยความยากลำบากเหมือนกับต้องการจะเตือนอีกฝ่ายว่า ปีศาจมาแล้ว
สายตาของยอดฝีมือด้านการต่อสู้ระดับเขตแดนรู้สึกไวอย่างยิ่งยวด หัวหน้าทีมหันหน้ามาทันใด เมื่อเห็นสีหน้าดุดันและตกใจกลัวของเสี่ยวฉง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เขารีบถอยหลังเว้นระยะห่างระหว่างเขากับหลิงหลานและเสี่ยวฉงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปช่วยเสี่ยวฉง ทว่าสิ่งที่ส่งมาจากในสายตาของเสี่ยวฉงบ่งบอกว่าให้รีบหนีไป นี่ทำให้หัวหน้าทีมจำเป็นต้องระมัดระวัง อยากทำความเข้าใจสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
ในขณะที่เว้นระยะห่าง เขาก็เห็นสภาพของเสี่ยวฉงได้ชัดเจน ดวงตาสองข้างของเสี่ยวฉงเป็นสีขาวเทาไปแล้ว ไม่มีพลังชีวิตอยู่เลย เขาใช้พลังชีวิตสุดท้ายเตือนหัวหน้าทีมของตัวเอง
ดวงตาทั้งสองข้างของหัวหน้าทีมแดงก่ำ ใบหน้าฉายความอำมหิตออกมาวูบหนึ่ง “ระยำ ไม่คิดเลยว่าแกทำลายผนึกของเขตแดนฉันได้จริงๆ?”
เขาใช้ความสามารถเขตแดนของตัวเองปิดผนึกความสามารถในการเคลื่อนไหวทั้งหมดของหลิงหลานโดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เอาให้แน่ใจว่าไม่มีโอกาสพลาด แต่ไม่นึกเลยว่าเขายังดูถูกหลิงหลานอยู่ ทำให้อีกฝ่ายทำลายผนึกได้ และฆ่าเสี่ยวฉงลูกทีมของเขาที่เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวต่อหน้าเขา นี่ทำให้เขาเดือดดาลในขณะเดียวกันก็เสียใจสุดขีด ตอนนั้นเขาควรจะฆ่าอีกฝ่ายทันที ไม่ใช่นำเขากลับมา
หลิงหลานใช้นิ้วข้างหนึ่งดันเสี่ยวฉงที่อยู่ด้านหน้าเบาๆ ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มเต็มเปี่ยม จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น ร่างกำยำของเสี่ยวฉงกระแทกกับพื้นแรงๆ
หัวหน้าทีมค่อยเห็นสาเหตุการตายของเสี่ยวฉงได้ชัดเจน ตรงหน้าอกถูกทำลายจนเป็นรูใหญ่ เลือดสดๆ ยังคงไหลริน และเขาก็เห็นเนื้อสดๆ ที่ถูกบดขยี้อยู่บนพื้น ทั่วทั้งใบหน้าเขาบิดเบี้ยวขึ้นมา เอ่ยด้วยความทุกข์ตรมว่า “แกมันชั่วช้า!”
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็ส่ายนิ้วเบาๆ ที่ด้านหน้า เอ่ยพลางยิ้มระรื่นว่า “จุ๊ๆๆ นายผิดแล้ว นี่ไม่ได้ชั่วช้า แต่เป็นผลงานชิ้นเอกต่างหากล่ะ นายดูสีหน้าของเขาสิว่างดงามมากขนาดไหน ปกติแล้วนายไม่มีทางได้เห็นสีหน้าที่งดงามแบบนี้หรอกนะ” หลิงหลานยิ้มลึกล้ำขึ้น “นายต้องขอบใจฉันนะ ที่ให้นายได้เห็นใบหน้าหายากสุดขีดแบบนี้”
“ปีศาจ!” หัวหน้าทีมตะโกนเสียงอย่างเดือดดาล “ฉันจะฆ่าแกให้ได้!” ในขณะที่หัวหน้าทีมเคียดแค้นหลิงหลาน เขาก็รู้สึกเสียใจด้วยเช่นกันว่า ทำไมตอนนั้นเขาไม่จัดการไอ้ปีศาจนี่ไปทันที
“ฆ่าฉัน? นายฆ่าฉันได้เหรอ?” หลิงหลานหัวเราะพลางส่ายหน้า เขารู้สึกขบขันกับคำพูดที่ไม่ประมาณตนแบบนี้อยู่บ้าง พลังบนตัวเขาถูกเปิดใช้งานทันที พลังมหาศาลและน่ากลัวสายหนึ่งบังเกิดขึ้นในป่าเล็กๆ ผืนนี้ทันทีทำให้หัวหน้าทีมสีหน้าเปลี่ยนไปมากๆ ในชั่วพริบตา หลุดปากร้องด้วยความตกใจว่า “ระดับเขตแดน!”
หัวหน้าทีมเพิ่งจะกล่าวคำพูดออกมาก็ส่ายหน้าทันที และเอ่ยด้วยใบหน้าเหลือเชื่อว่า “นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่สามารถข้ามเข้าสู่ระดับเขตแดนได้ โกหก นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน…” เขาพยายามโน้มน้าวตัวเองว่า พลังน่ากลัวที่มาจากอีกฝ่ายเมื่อสักครู่นี้เป็นแค่ความเข้าใจผิดเท่านั้น
อันที่จริงการที่หัวหน้าทีมไม่ยอมเชื่อก็มีเหตุผลอยู่นะ ยิ่งไปถึงช่วงปลายก็ยิ่งให้ความสำคัญกับการเดินไปทีละก้าว โดยเฉพาะหลังจากที่เข้าสู่ระดับขัดเกลาแล้ว แต่ละระดับขั้นที่เพิ่มขึ้นต่างเป็นการสั่งสมพื้นฐาน ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการข้ามระดับนั้นหายากมาก โดยเฉพาะระดับพลังปราณ การเพิ่มขึ้นแต่ละระดับขั้นจำเป็นต้องสั่งสมพื้นฐานมาหลายปี ยกตัวอย่างเช่นหัวหน้าทีม เขาหยุดอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณโดยสมบูรณ์เพื่อสั่งสมพื้นฐานมาเกือบสิบปีเต็มแล้ว ถึงแม้ว่าห่างจากระดับเขตแดนแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้รับตัวเร่งมาเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนร่วมรบถูกฆ่าไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงต่อหน้าเขา ทำให้อารมณ์ของเขาพลุ่งพล่าน พลังภายในปั่นป่วนสับสน จนได้รับตัวเร่งในการเลื่อนระดับโดยไม่คาดฝันละก็ บางทีเขาอาจจะยังต้องอยู่ในระดับพลังปราณขั้นสูงสุดโดยสมบูรณ์ต่อไปอีกกี่ปีก็ไม่รู้…
เดิมทีการเลื่อนระดับของเขาก็มีความบังเอิญในระดับหนึ่ง ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงยังไงเขาก็มาถึงขั้นสูงสุดโดยสมบูรณ์มานานแล้ว การเลื่อนระดับอยู่ในหลักเหตุและผล แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ เขาประมือกับอีกฝ่ายมาแล้วหนึ่งกระบวนท่า รู้ว่าอีกฝ่ายไปถึงขั้นสูงสุดของพลังปราณแล้ว แต่ว่ายังห่างกับขั้นสูงสุดโดยสมบูรณ์อยู่สองด่านเล็กๆ ถ้าหากไม่ได้สั่งสมพื้นฐานมาสามถึงห้าปีก็จะไม่สามารถเข้าสู่สองด่านเล็กๆ นี้ได้ เขาเข้าสู่ระดับเขตแดนทันทีได้ยังไง?
ไม่เพียงแค่นั้น เห็นได้ชัดกลิ่นอายระดับเขตแดนที่ส่งมาจากอีกฝ่ายเข้มข้นและทรงพลังมากกว่ากลิ่นอายที่มาจากเขา เหมือนกับว่าเขาเข้าสู่ระดับเขตแดนมาหลายปีแล้ว ไม่ใช่กลิ่นอายของยอดฝีมือที่เพิ่งเข้าสู่ระดับเขตแดนสามารถมีได้ นี่ไม่มีเหตุผลเลยทั้งนั้น
“ไม่ง่ายเลยกว่าจะอบรมปีศาจน้อยแบบนี้ออกมาได้ เมื่อตะกี้นี้เกือบจะถูกทำลายในมือพวกนายแล้วนะ แค่คิดถึงตรงนี้ ฉันก็อารมณ์เสียมากๆ ไม่มีความสุขเลยสักนิดเดียว” ถึงแม้ว่าปากของหลิงหลานจะพูดว่าไม่มีความสุข แต่รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้ถูกเก็บไปเลย ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่รอยยิ้มที่สว่างไสวมากๆ นี้กลับทำให้ในใจของหัวหน้าทีมปล่อยไอเย็นเยียบออกมา สัมผัสของวิกฤติที่ไม่เคยมีมาก่อนโจมตีเข้าที่หัวใจ
“หมายความว่ายังไง?” หัวหน้าทีมเอ่ยถามอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าเหมือนเตรียมการป้องกัน แน่นอนว่าตอนนี้เขาก็ยากจะอธิบายได้เหมือนกัน เขารู้สึกมาตลอดว่าเขาไม่สามารถสื่อสารกับเด็กตรงหน้าที่ดูโรคจิตนิดหน่อยคนนี้ได้เลย
หลิงหลานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ใช้นิ้วม้วนปอยด้านหลังหูตัวเองอย่างนุ่มนวลและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “บอกไป นายก็ไม่เข้าใจ…ดูเหมือนเวลาไม่มากแล้ว พวกเรารีบๆ สู้ให้มันจบๆ กันเถอะ” เขากล่าวแล้วก็พึมพำเสียงเบาว่า “ร่างกายผุๆ นี่ทนรับการปรากฎตัวของฉันสามนาทีไม่ได้ด้วยซ้ำ แย่จริงๆ เลย…หมายเลขเก้า หลังจากนี้ต้องออกแรงฝึกร่างกายเจ้าเด็กนี่ให้ดีๆ อีกหน่อยนะ เอาให้เธอแข็งแรงขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย”
หมายเลขเก้าที่อยู่ในห้วงสติกล่าวเตือนด้วยใบหน้าเย็นเยียบว่า “อย่าพูดจาไร้สาระให้มาก ยังไม่จัดการศัตรูอีก? นายอยากให้ร่างกายของหลิงหลานพังเพราะการเหนี่ยวรั้งของนายหรือไง?”
หมายเลขเก้าไม่พอใจมากๆ หมายเลขหนึ่งให้เธอออกไปจัดการศัตรูชัดๆ แต่ไอ้เจ้าหมายเลขห้าชิงออกไปก่อนก้าวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าการแย่งชิงสิทธิ์ในการควบคุมจะเพิ่มความเร็วในการพังเสียหายของร่างกายหลิงหลานแล้วละก็ เธอไม่มีทางให้เขาประสบผลสำเร็จเด็ดขาด
ความสามารถของหมายเลขเก้าอ่อนแอที่สุดในหมู่ทั้งเก้าคน เดิมทีถ้าให้เธอออกไปควบคุมร่างกายหลิงหลาน อย่างน้อยที่สุดก็ฝืนประคองได้เจ็ดแปดนาที แต่ว่าหมายเลขห้าไม่ฟังคำสั่ง ออกไปเองตามใจชอบ ทำให้ร่างกายของหลิงหลานแบกรับได้แค่สามนาทีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดการพัง ถึงยังไงความสามารถของหมายเลขห้าก็แข็งแกร่งมากเกินไป ร่างกายของหลิงหลานในตอนนี้ยังไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด
ควรรู้ไว้ว่ายิ่งความสามารถของคนที่ปรากฏตัวควบคุมห่างจากโฮสต์มาก ความเสียหายที่มีต่อโฮสต์ก็จะยิ่งมากขึ้นเช่นกัน ถ้าหากหมายเลขหนึ่งควบคุมร่างกายหลิงหลาน คาดว่ามาถึงหนึ่งวินาที ร่างกายของหลิงหลานก็พังไปโดยสมบูรณ์แล้ว
“ก็ได้ ออกมารับลมได้ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน” หมายเลขห้าคิดว่าเขาไม่อาจโลภมากเกินไป ถ้าหากทำร้ายหลิงหลานขึ้นมาจริงๆ ละก็ เขาจะต้องโดนพี่ใหญ่หมายเลขหนึ่งทุบตีจนมีชีวิตอยู่โดยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แน่นอน ที่แย่ไปกว่านั้นคือบางทีหมายเลขหนึ่งอาจจะลบสตินึกคิดของเขาไปทันทีเลยก็ได้ ร่างกายของหมายเลขห้าสั่นระริกเล็กน้อย ในใจเกิดความกลัวในภายหลังอยู่บ้าง เพราะว่าเขาอยากออกมาดูโลกของโฮสต์โดยที่ลืมความน่ากลัวของพี่ใหญ่หมายเลขหนึ่งไป
หมายเลขห้าตัดสินใจจบการต่อสู้ในไม่กี่วินาที จากนั้นก็รีบกลับไปขอขมาพี่ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงดีดนิ้วเบาๆ พลังไร้รูปร่างสายหนึ่งปกคลุมในรัศมีหลายลี้ หัวหน้าทีมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางของเหลวที่แข็งตัว อยากจะขยับก็ต้องใช้แรงพอๆ กับวัวเก้าตัวและเสืออีกสองตัวมารวมกัน[1]
“เปิดใช้เขตแดน!” หัวหน้าทีมตัดสินใจเด็ดขาด เปิดใช้เขตแดนของตัวเอง ขับไล่พลังของอีกฝ่ายที่บังคับร่างกายเขา ออกไปไม่ให้เหลือ ไม่เพียงเท่านั้น ร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นขมุกขมัว หลังจากนั้นในป่าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหมอกจางๆ แล้วทั่วทั้งร่างเขาก็หายไปเช่นนี้เอง
หมายเลขห้าเห็นแบบนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มออกมา และกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ว่า “พรสวรรค์นี้น่าสนใจอยู่นะ!” เขากล่าวจบก็หลับตาลงน้อยๆ ราวกับตั้งใจฟังอะไรบางอย่าง และก็เหมือนกับไม่ไยดีเรื่องนี้เลย
………………………………………………………………..
[1] หมายถึง ทำอย่างสุดกำลังความสามารถ