I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 211 สมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมกลุ่ม!
ทั้งสามคนวางลูกเรือคุ้มกันที่สลบไสลเข้าไปในห้องหนึ่งของยานบินแล้วก็ล็อคห้องทันที หากไม่มีคนด้านนอกใช้รหัสที่ตั้งค่าไว้มาเปิดประตู คนด้านในก็จะออกมาไม่ได้ หลิงหลานยังไม่ลืมให้เสี่ยวซื่อตัดการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารของพวกเขา ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วได้รับการติดต่อจากภายนอกทำให้แผนการแย่งชิงยานของพวกเขารั่วไหลออกไป
ตอนนี้พวกนักเรียนที่ติดตามหลิงหลานรู้แล้วว่าเป้าหมายของหลิงหลานคืออะไร ถึงแม้ฟังแล้วดูบ้ามาก แต่ทุกคนต่างเลือดเดือดพล่านแล้ว ไม่มีใครกลัวหัวหด ตรงกันข้ามพวกเขากลับรู้สึกตื่นเต้นสุดขีด คิดว่านี่ถึงจะเป็นเรื่องที่พวกเขาควรทำ…
พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะก้าวออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ กำลังอยู่ในช่วงวัยต่อต้านพอดี มีความฝันเพ้อเจ้อมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขายังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนเต็มไปด้วยความกล้าหาญ พวกเขาอยากทำอะไรก็ยินดีไปทำโดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเช่นกัน พวกเขาเพิ่งก้าวเข้าสู่สังคม ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัว พวกเขาเป็นเด็กหนุ่มวัยเยาว์จึงไม่ได้ถูกความเป็นจริงผูกมัดปีกแห่งอิสรภาพสองข้างไว้….
ดังนั้น ความคิดเดียวของพวกเขาในตอนนี้คือ ขอเพียงติดตามลูกพี่หลานตรงหน้า พวกเขาสามารถทำเรื่องบ้าๆ ที่พวกเขาคิดไม่ถึงและก็ไม่กล้าคิดด้วย และเรื่องพวกนี้ทำให้พวกเขาได้รับความมั่นใจและความภาคภูมิใจพอดี!
“พี่สาม พวกเขา พวกเขาบ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้วจริงๆ!” ในที่สุดกลุ่มคนที่ติดตามกลุ่มหลิงหลานอยู่ห่างๆ ก็ดูออกแล้วว่าตอนนี้พวกหลิงหลานกำลังทำอะไร พวกเขาพลันตกใจกลัวจนแทบฉี่ราด มีหลายคนถึงกับตัวสั่นเทิ้ม มองเห็นได้ถึงระดับความหวาดหวั่นของพวกเขา
ในความคิดของนักเรียนเหล่านี้ การกระทำของหลิงหลานเป็นการก่อกบฏอย่างไม่ต้องสงสัย ทำร้ายคนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งส่งมารับพวกเขาเนี่ยนะ…หรือว่าพวกเขาไม่อยากไปเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแล้ว?
“พี่สาม พวกเรารีบไปแจ้งลูกเรือของยานบินกัน จะต้องขวางพวกเขาเอาไว้ให้ได้ พวกเขากำลังทำลายการเดินทางไปโรงเรียนทหารของพวกเราอยู่นะ พวกเขาต้องเป็นไอ้บ้าแน่ๆ” มีลูกทีมคนหนึ่งแนะนำให้ไปแจ้งคนของยานบิน คิดว่าการขัดขวางการกระทำที่บ้าดีเดือดของหลิงหลานถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“ไอ้โง่! หุบปากไปเลยนะ!” พี่สามตวาดเสียงเบาอย่างเฉียบขาด “พวกนายจะไปเข้าใจอะไร?” พี่สามมองไปยังร่างที่หายไปจากตรงหน้าแล้ว แววตาส่องประกายวาววับออกมา ถึงแม้ว่าการกระทำเรื่องโจมตีใส่ลูกเรือจะดูเหมือนเป็นการกระทำที่คาดไม่ถึง ความคิดแรกก็คืออีกฝ่ายบ้าไปแล้วแน่นอน…แต่เมื่อใคร่ครวญให้ละเอียด กลับไม่เป็นเช่นนั้น
เมื่อครุ่นคิดให้ดีตั้งแต่ที่ยานบินเริ่มออกเดินทาง คำประกาศของกัปตันเต็มไปด้วยการยั่วยุ ท่าทีของลูกเรือก็ดูชั่วช้า คำพูดก็เต็มไปด้วยคำด่า สบประมาท ยั่วโมโห เยาะหยัน ดูถูก ต่อให้พวกนักเรียนอดทนทุกวิถีทาง อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุด สร้างเหตุการณ์ฉากใหญ่ในห้องอาหารขึ้นเอง จงใจเหยียดหยามนักเรียน…ทั้งหมดนี้ก็เพื่อทดสอบหยั่งเชิงขีดจำกัดล่างสุดท้ายของนักเรียน
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตั้งแต่กัปตันจนถึงลูกเรือของยานบินลำนี้ไม่คิดจะปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาดีๆ เลย ต่อให้พวกเขาอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า การบีบบังคับและการเหยียดหยามกลับรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกนักเรียนไม่อาจทนรับไหวและระเบิดออกมาทั้งหมด…นี่ก็คือผลสรุปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงไม่จัดการต้นตอของความขัดแย้งก่อนล่ะ?
หมอนั่นจะต้องคิดแบบนี้แน่นอน ดังนั้นเขาถึงทำแบบนี้! แววตาของพี่สามเผยความชื่นชมออกมา นี่ควรมีความกล้าหาญมากเท่าไหร่ถึงจะตัดสินใจเช่นนี้ได้ และมีเสน่ห์มากเท่าไหร่ถึงทำให้นักเรียนเกือบร้อยคนยินดีเสี่ยงกับเขา?
เขานึกถึงในห้องอาหาร ยังมีนักเรียนอีกคนที่อยู่ระดับพลังปราณ นี่เป็นตัวตนที่น่าตกตะลึง ทว่าหมอนั่นแสดงบทบาทอะไรในนี้นะ?
“น่าจะทำเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน เพื่อปกปิดการปฏิบัติการของพวกเขา! คนที่วางแผนการนี้ไม่เพียงใจกล้า แต่เขายังรอบคอบอีกด้วย!” เดิมทีพี่สามก็เป็นคนเฉลียวฉลาด เขาคิดออกอย่างรวดเร็ว ในใจเขาปรากฏความขมฝาดขึ้นมาสายหนึ่ง เขาเคยคิดว่าเขามีคุณสมบัติที่จะชิงตำแหน่งกับพวกลูกรักของสวรรค์เหล่านี้ในโรงเรียนทหาร ตอนนี้ดูแล้ว เขาคิดง่ายเกินไป แค่ลูกพี่หลานเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนกับความกล้าหาญ แล้วก็ระดับขอบเขตความสามารถ เขาห่างชั้นกว่าอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว
“พี่สาม พวกเขาจะต้องล้มเหลวแน่ๆ กัปตันคนนั้นต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดแน่นอน พวกเขาไม่มีทางเอาชนะเขาได้ พวกเราตามเขาไปจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน…” ลูกทีมเอ่ยเตือน
“กลุ่มเดียวกันแล้วเป็นยังไง? แม่งเอ๊ย พวกเราจะพลาดเรื่องเจ๋งสุดยอดขนาดนี้ไปได้ยังไง ถึงพวกเราจะไม่ใช่นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ แต่อย่าลืมว่า พวกเราออกมาจากสถาบันลูกเสือเหมือนกัน เป็นนักเรียนใหม่ของโรงเรียนทหารเหมือนกับพวกเขา…” พี่สามกล่าว
“ถ้าเกิดพวกเขาล้มเหลว พวกเราก็จะถูกลูกเรือพวกนั้นหยามหยันเหมือนกัน ไม่สู้เข้าร่วมกับพวกเขา ให้ตาชั่งแห่งชัยชนะเอนมาทางพวกเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…ถ้าไม่บ้าดีเดือดก็สิ้นเปลืองวัยหนุ่มไปเปล่าๆ ฉันตัดสินใจเดิมพันแล้ว พวกนายล่ะ?” พี่สามรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นถี่รัวมากขึ้น เลือดเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะล้มเหลวแล้วจะพบจุดจบไม่ดี แต่ถ้าเกิดพวกเขาโชคดีทำสำเร็จขึ้นมาล่ะ?
นี่ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้โรงเรียนทหารหรือแม้แต่สหพันธรัฐต้องตกตะลึง! ให้ตายยังไงเขาก็ไม่อยากพลาด
“การตัดสินใจของพี่สามก็คือการตัดสินใจของฉัน” นี่เป็นคำประกาศของลูกทีมที่ภักดีต่อเขาอย่างแน่วแน่
“ในเมื่อพวกนายตัดสินใจแล้ว ฉันก็ต้องเอาด้วยเหมือนกัน…” ถึงแม้ว่ามีหลายคนในทีมลังเลใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นสมาชิกทีมส่วนใหญ่ต่างตกลงเดิมพันกันดูสักครั้ง ลูกทีมที่ไม่อยากถ่วงแข้งถ่วงขาทีม ก็ได้แต่กัดฟันเข้าร่วมด้วย
ในที่สุดความคิดเห็นของทีมก็รวมกันเป็นหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เวลานี้ทีมของหลิงหลานได้หายไปในทางเดินด้านหน้าแล้ว พี่สามรีบให้เหล่าลูกทีมเร่งฝีเท้าตามไป ถ้าเกิดถูกอีกฝ่ายสลัดทิ้ง ถึงพวกเขาอยากเข้าร่วมก็หาโอกาสไม่ได้แล้ว
พี่สามนำหน้าไป ในตอนที่กำลังรีบเร่งเดินทางอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเย็นเยียบหนึ่งดังมาที่ข้างหูเขา เสียงนี้ได้ยินแล้วทำให้เขารู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง “ในเมื่อพวกนายสนใจ งั้นก็ตามมาเถอะ!”
ฝีเท้าของพี่สามพลันหยุดชะงัก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากฟังออกแล้วว่าเสียงนี้ก็คือเสียงของคนที่ถูกเรียกว่าลูกพี่หลานคนนั้นนี่เอง
ลูกทีมงุนงงอยู่บ้างเนื่องจากเขาหยุดก้าวเท้ากะทันหัน และก็ได้ยินพี่สามกล่าวเสียงเบาว่า “เกาจิ้นอวิ๋น ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
“หลิงหลาน ยินดีต้อนรับสู่ทีมนะ!” เสียงเย็นเยียบตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขาเป็นลูกพี่หลานตามที่คาดไว้จริงๆ
“ลูกพี่ นายพึมพำอะไรกับตัวเองน่ะ?” ลูกทีมเห็นการกระทำแปลกประหลาดเช่นนี้ของเกาจิ้นอวิ๋นก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างหนาวสั่น ลูกทีมหนึ่งในนั้นอดเอ่ยปากถามไม่ได้
เกาจิ้นอวิ๋นไม่ได้ตอบ เขาเพียงแต่พูดว่า “รีบไปข้างหน้า!”
“เอ่อ? เคลื่อนไหวมากไปจะถูกพวกเขาสังเกตเห็นนะ” มีลูกทีมคนหนึ่งเอ่ยด้วยความกังวล
“พวกเขาสังเกตเห็นพวกเรานานแล้ว เมื่อตะกี้นี้พวกเขาก็เชิญเราเข้าร่วมทีมด้วย” เกาจิ้นอวิ๋นค่อยอธิบายว่าทำไมเขาถึงพึมพำกับตัวเอง
“ยังไม่รีบไปอีก เลิกพูดมากได้แล้ว!” เกาจิ้นอวิ๋นเอ่ยอย่างหงุดหงิด ลูกพี่หลานคนนั้นมีความสามารถส่งเสียงทางไกล นี่เป็นความสามารถอะไรกันแน่? หรือว่าเป็นการกลายพันธุ์ทางจิตอย่างหนึ่ง?
“…” คำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นทำให้ทุกคนเงียบไป ไม่นึกเลยว่าพวกเขาติดตามอย่างระมัดระวังขนาดนี้ กลับถูกอีกฝ่ายสังเกตเห็นนานแล้ว แบบนี้คิดดูแล้ว ถ้าหากตอนนั้นพวกเขาตัดสินใจกลับไปบอกความลับ เกรงว่าอาจจะเจอการโจมตีอย่างไร้ความปรานีของอีกฝ่าย ก่อนจะถูกขังเข้าไปอยู่ในห้องดำเล็กๆ รอคอยผลสรุปในตอนสุดท้ายเหมือนกับลูกเรือเหล่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เหล่าลูกทีมก็อดมองไปที่เกาจิ้นอวิ๋นด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้ ยืนยันอีกครั้งแล้วว่า การเดินตามพี่สามเป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เกาจิ้นอวิ๋นที่กำลังหงุดหงิดนึกไม่ถึงเลยว่า ลูกทีมของเขาจะเชื่อมั่นในตัวเขาเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งเพราะสาเหตุนี้ ถึงขนาดที่ในใจตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าเกาจิ้นอวิ๋นตัดสินทำอะไร พวกเขาก็จะเห็นด้วยอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่ทำให้เขาได้รับลูกทีมกลุ่มหนึ่งที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเพราะเรื่องนี้เอง พวกเขาจึงแสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นในอนาคต ยึดครองตำแหน่งกำลังหลักกลุ่มสองของหลิงหลานไว้อย่างมั่นคง…
……….
“ลูกพี่ ฉันทำได้ไม่เลวเลยใช่มะ!” เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงความคิดขอคำชมจากหลิงหลานด้วยความภาคภูมิใจ เนื่องจากเมื่อสักครู่นี้ เขาใช้เทคโนโลยีชั้นสูงของมิติการเรียนรู้สร้างเสียงของหลิงหลานเป็นคลื่นเสียงความถี่สูงที่มีรหัส มีเพียงคนที่กำหนดไว้โดยเฉพาะเท่านั้นถึงจะสามารถรับเสียงได้สำเร็จ
หลิงหลานเอ่ยอย่างลวกๆ ว่า “ไม่เลวเลยจริงๆ! เสี่ยวซื่อ พยายามต่อไปนะ!” ถึงแม้ว่าในใจหลิงหลานคิดว่าเสี่ยวซื่อทำเกินความจำเป็น ไม่จำเป็นต้องทำให้ซับซ้อนขนาดนี้เลย แค่ใช้ระบบเสียงตามสายของที่นี่ส่งเสียงของเธอไปยังจุดที่กำหนดก็พอแล้ว ต่อให้ถูกคนอื่นได้ยินเข้าแล้วเป็นยังไง? อย่างไรก็ตาม เธอไม่มีทางทำลายความกระตือรือร้นของเสี่ยวซื่ออยู่แล้ว ในเมื่อเสี่ยวซื่อมีความสนใจจะไปทำก็ให้เขาไปทำ ขอเพียงเขาไม่รังเกียจความลำบาก
“แต่อย่าลืมอำพรางพวกเราเอาไว้นะ จะให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเราไม่ได้เด็ดขาด!” หลิงหลานกำชับด้วยความไม่ไว้วางใจ กลัวว่าเสี่ยวซื่อจะเล่นเลยเถิดไปจนลืมภารกิจหลักของเขา สาเหตุที่ตลอดทางราบรื่นเช่นนี้ กำจัดผู้คุ้มกันมากมายขนาดนั้นโดยไม่ถูกห้องควบคุมสังเกตเห็นได้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเสี่ยวซื่อสร้างภาพปลอมเอาไว้ ทำให้ภาพที่ฝ่ายตรงข้ามเห็นคือภาพที่ทุกอย่างเป็นปกติ
“รู้แล้วน่า ลูกพี่!” เสี่ยวซื่อตอบกลับด้วยความไม่พอใจมากๆ เขาจะทำความผิดพลาดระดับต่ำแบบนี้ได้เหรอ? ทำไมลูกพี่ไม่สนใจคำพูดเขามาตลอดเลยล่ะ? เขาเป็นเทพของโลกเสมือนจริงนะ ต่อให้เขานอนหลับ เขาก็สามารถรับประกันได้ว่าเขาจัดการ Case เล็กๆ แบบนี้ได้ไม่มีวันพลาด…
ไม่พูดถึงเสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงความคิดแล้วว่าบ่นยังไงในใจ เวลานี้คนอื่นๆ ในทีมหลิงหลานก็จับสังเกตการเคลื่อนไหวของทีมเกาจิ้นอวิ๋นได้แล้วเช่นกัน หานจี้จวินได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังเบาๆ สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปเล็กน้อยไม่ได้
เสียงฝีเท้าดังไม่เป็นระเบียบอยู่บ้าง ดูท่าจำนวนคนจะไม่น้อยเลย หรือว่าพวกเขาถูกฝ่ายยานบินสังเกตเห็นแล้ว?
นักเรียนคนอื่นๆ เคร่งเครียดขึ้นมาเช่นกัน หลินจงชิงมองไปที่หลิงหลาน ถามว่าให้เขานำคนบางส่วนเข้าไปโจมตีศัตรูไหม
เวลานี้เองหลิงหลานค่อยเอ่ยปากอธิบายว่า “ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเพื่อนของพวกเรา!”
ทุกคนได้ยินคำกล่าวก็โล่งใจทันที บรรยากาศที่เดิมทีเคร่งเครียดได้หายไปแล้ว พวกเขาอดทนรอคอยทีมของพวกเกาจิ้นอวิ๋นที่ตามมา
เมื่อเกาจิ้นอวิ๋นใกล้จะถึงกลุ่มของหลิงหลาน เขาก็เห็นทุกคนกำลังหยุดรอพวกเขาอยู่ ดวงตาที่ส่องสว่างสามสิบกว่าคู่จ้องมองมาที่พวกเขาทั้งหมด ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
“พวกเราคือนักเรียนของสถาบันลูกเสือเมืองหั่วอวิ๋น ฉันชื่อเกาจิ้นอวิ๋น…” เกาจิ้นอวิ๋นแสดงท่าทีตรงไปตรงมา แนะนำตัวพวกเขาให้กับอีกฝ่าย
“ไว่ค่อยแนะนำตัวเองกันทีหลัง จี้จวิน นายไปจัดการ!” หลิงหลานตัดบทคำพูดของเกาจิ้นอวิ๋นอย่างเฉยชาแล้วหันกายเดินตรงไปยังส่วนลึกของเส้นทาง บรรดานักเรียนไม่กล้าหยุดอยู่กับที่ต่อ ก่อนจะตามไปติดๆ…
เกาจิ้นอวิ๋นขยี้ปลายจมูกตามจิตใต้สำนึก เอ่ยอย่างลับๆ ว่าลูกพี่หลานคนนี้สนิทสนมด้วยยากจริงๆ….
หลังจากที่ทีมของเกาจิ้นอวิ๋นเข้าร่วมกลุ่มด้วย จำนวนคนของกลุ่มหลิงหลานก็มีมากกว่าสี่สิบคนแล้ว เนื่องจากหานจี้จวินไม่รู้ความสามารถของทีมเกาจิ้นอวิ๋น เขาเลยไม่ได้แยกทีมของพวกเขา ให้พวกเขาตั้งเป็นทีมเดียวกัน เคลื่อนไหวด้วยกัน
กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดอีกตลอดทางที่ผ่านมานี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้ห้องควบคุมหลักของยานบินซึ่งเป็นเป้าหมายแรกของหลิงหลานแล้ว