I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 220 ป้อมปราการอวกาศ!
เขตอุกกาบาตแห่งหนึ่งของสหพันธรัฐ เดิมทีมันเป็นเส้นทางบินระหว่างดวงดาวสายหนึ่งของสหพันธรัฐ แต่ว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อน อุกกาบาตในพื้นที่นี้เริ่มล่องลอยไปทั่วทุกที่ โคจรแปลกประหลาดไม่แน่นอนอย่างยิ่งยวดทำให้เคยเกิดโศกนาฏกรรมที่ยานบินหลบไม่ทันปะทะเข้ากับอุกกาบาตจนตกหลายครั้ง ดังนั้นเส้นทางบินนี้จึงค่อยๆ ถูกสหพันธรัฐทิ้งไป…
ทุกคนไม่รู้ว่า ตรงตำแหน่งใจกลางเขตสะเก็ดดาวมีป้อมปราการอวกาศที่ปลอมแปลงเป็นภูเขาอุกกาบาตขนาดใหญ่ ด้านในซ่อนฐานทัพลับของสหพันธรัฐไว้…
ส่วนอุกกาบาตขนาดเล็กที่โคจรผิดปกติรอบๆ บริเวณพวกนั้น ความจริงแล้วคือดาวเทียมคุ้มกันของป้อมปราการอวกาศ เมื่อพบยานบินไม่รู้จักออกนอกเส้นทางก็จะเข้าไปปะทะ ขับไล่อีกฝ่ายออกไป ถ้าเกิดฝ่ายตรงข้ามดึงดันเข้ามา ดาวเทียมคุ้มกันก็จะสร้างเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรง ทำลายยานบินทันที
เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายโมงของสหพันธรัฐแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังหลายคนในป้อมปราการอวกาศที่รับหน้าที่เฝ้าตรวจตราสถานการณ์รอบๆ บริเวณเขตอุกกาบาตกำลังดื่มชาร้อนๆ ผ่อนคลายอารมณ์ พวกเขาทานอาหารเที่ยงแล้วก็พักผ่อนคุยเล่นกันสักพักได้ในที่สุดหลังจากที่ทำงานหนักกันในตอนเช้า
“ไม่นึกเลยว่าเช้าวันเดียวก็รับยานบินของนักเรียนทหารใหม่เก้าลำ ทำเอาพวกเรายุ่งจะแย่อยู่แล้ว…” เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังหนุ่มยศสิบตรีบิดขี้เกียจ ปากก็บ่นออกมา
“เสี่ยวหลิน นายเป็นทหารใหม่ที่เพิ่งถูกส่งมาที่นี่ก็เลยไม่รู้ว่า ช่วงเวลานี้ของทุกปีเป็นช่วงที่พวกเรายุ่งมากที่สุด นักเรียนทุกคนที่สอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งต่างถูกรับตรงนี้” ทหารหนุ่มอีกคนที่มียศร้อยตรีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ฉันเชื่อว่าตอนบ่ายเราจะยุ่งกว่านี้อีก วันนี้ยานบินที่รับนักเรียนใหม่ของดาวแต่ละดวงจะต้องมาที่นี่ทั้งหมด”
คำพูดของร้อยตรีทำให้ทหารคนอื่นๆ พยักหน้าติดต่อกัน พวกเขาทำงานในป้อมปราการอวกาศนี้มาสองสามปีแล้ว ดังนั้นจึงรู้สถานการณ์แบบนี้ดี
สิบตรีที่ชื่อเสี่ยวหลินคนนั้นได้ยินคำพูดนี้ก็กุมขมับร้องคร่ำครวญอย่างเกินจริงว่า “สวรรค์ ตอนบ่ายยังเยอะกว่านี้อีกเหรอ? ผมจะต้องเหนื่อยจนหน้าคว่ำแน่ๆ เลย”
ร้อยตรีเขกศีรษะของเขาด้วยความไม่สบอารมณ์ หัวเราะหยันว่า “แค่นี้ก็เหนื่อยจนหน้าคว่ำแล้วเนี่ยนะ? เป็นคนไม่ได้เรื่องจริงๆ”
เสี่ยวหลินที่ได้รับการสั่งสอนรีบบรรยายจิตวิญญาณอันเด็ดเดี่ยวที่ไม่กลัวความยากลำบากไม่กลัวเหนื่อยของเขาให้หัวหน้าฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที การโอ้อวดนี้ทำให้ที่ทำการเฝ้าระวังเกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ความเหนื่อยล้าที่หลงเหลือจากตอนเช้าคล้ายกับค่อยๆ หายไปท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ถึงแม้ว่าป้อมปราการจะมีเงื่อนไขในด้านต่างๆ ไม่เลว แต่ว่าเมื่อเทียบกับฐานที่มั่นแห่งอื่นๆ แล้ว การทำงานค่อนข้างจืดชืดซ้ำซาก โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังเหล่านี้ ทุกวันพวกเขาต้องเผชิญกับเขตอุกกาบาตหมื่นปีไม่เปลี่ยนแปลง จึงเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายได้ง่ายมาก ดังนั้นพวกเขาเลยเรียนรู้ที่จะปรับตัวเอง ในช่วงเวลาทำงานก็ไม่ได้เงียบกริบตลอด หากแต่คุยเล่นปรับอารมณ์เฉกเช่นตอนนี้
หลังจากที่หัวเราะไปยกหนึ่ง เสี่ยวหลินคล้ายกับนึกอะไรออก ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะพรืดขึ้นมา
ร้อยตรีเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยถามว่า “นายเป็นอะไรอีกล่ะ?” หมอนี่เกิดความคิดบางอย่างขึ้นทุกวัน ร้อยตรีเห็นจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว
เสี่ยวหลินปิดปากพูดพลางหัวเราะว่า “ผมแค่หัวเราะนักเรียนทหารใหม่พวกนั้น ตอนที่ลงจากยานพวกเขาตัวสั่นหงึกๆ เชื่อฟังเหมือนกระต่ายเลย ผมนึกมาตลอดว่าเด็กที่สอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้จะเป็นพวกลูกรักของสวรรค์ จะหัวแข็งดื้อรั้นอยู่บ้าง หรือว่าทำหน้าหยิ่งยโสอะไรทำนองนี้ซะอีก…”
ร้อยตรีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นมันตอนนี้ แต่ก่อนพวกเขาไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก ก็หัวแข็งดื้อรั้นเหมือนที่นายพูดไว้นั่นแหละ…”
เสี่ยวหลินได้ยินคำพูดก็สงสัย รีบเอ่ยถามว่า “หัวหน้า ทำไมถึงพูดแบบนี้ละครับ?”
ร้อยตรีกล่าวว่า “ความจริงแล้วฉันเองก็ไม่เคยเผชิญช่วงเวลานั้นมาก่อน ฉันได้ยินหัวหน้าคนก่อนของฉันบอกว่า แต่ก่อนนักเรียนทหารใหม่พวกนั้นไม่ได้เชื่อฟังแบบนี้ ก็เป็นเหมือนที่นายพูดไว้ ก่อความวุ่นวายที่นี่ สุดท้ายผู้นำฐานทัพทนไม่ไหว รายงานไปที่เบื้องบน ต่อมาสถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้นแล้วค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นอย่างทุกวันนี้ นักเรียนทหารใหม่แต่ละคนต่างเชื่อฟังกันมาก”
“คุณสมบัติของนักเรียนใหม่เพิ่มสูงขึ้นเหรอครับ? หรือว่าสถาบันลูกเสือเคยสอนพวกเขามาก่อน?” เสี่ยวหลินถาม
ร้อยตรีเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นี่จะเป็นไปได้ยังไงเล่า? สหพันธรัฐของเราถือคติผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพมาตลอด เพื่อที่จะอบรมบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งขึ้นมา สถาบันลูกเสือไม่มีทางจำกัดนิสัยชิงดีชิงเด่นกันของพวกนักเรียนเด็ดขาด”
“งั้นทำไมนักเรียนใหม่พวกนี้ถึงเชื่อฟังแบบนี้ละครับ?” เสี่ยวหลินคิดไม่ออก
เวลานี้เองสิบเอกหนึ่งในนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็นเพราะว่ายานบินที่เข้าไปรับนักเรียนใหม่พวกนี้ต่างก็เป็นยานรบที่โดดเด่นที่สุดของกองทัพเรา สมาชิกในนั้นต่างก็เป็นราชันทหารที่ผ่านศึกมานับร้อย ต่อให้นักเรียนใหม่พวกนี้เป็นลูกรักของสวรรค์ เป็นอัจฉริยะแห่งยุค เมื่อเจอทหารราชันพวกนี้ของเราเข้าไปก็ได้แต่โค้งคำนับเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ทางกองทัพแจ้งว่าให้ทหารเก่าแก่ของยานบินปราบพวกลูกรักของสวรรค์นี้ให้ดี ให้พวกเขาเข้าใจว่าตอนนี้พวกเขายังตัวเล็กกระจ้อยร่อย ยังไม่มีคุณสมบัติให้อวดดี…”
เสี่ยวหลินอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง “พูดอีกอย่างก็คือ นักเรียนใหม่พวกนี้ถูกทหารราชันของพวกเราปราบให้เชื่องไปแล้ว?”
“ถูกต้อง!” สิบโทอีกคนเอ่ยพลางหัวเราะหยอกล้อว่า “หายากที่เสี่ยวหลินของพวกเราจะฉลาดสักรอบ…”
เสี่ยวหลินคล้ายกับไม่รู้สึกถึงการหยอกเย้าในน้ำเสียงของสิบโท เขาตอบอย่างหน้าด้านสุดขีดว่า “อยู่แล้ว ผมเฉลียวฉลาดมาตลอดนะครับ!” นี่ทำให้ที่ทำการเฝ้าระวังเกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง
“ทุกคนระวัง ด้านนอกมียานบินมาอีกหนึ่งลำ!” ร้อยโทที่มีใบหน้ายิ้มแย้มพลันสังเกตเห็นว่ามียานบินลำหนึ่งเข้าสู่ขอบเขตการเฝ้าระวังของพวกเขาก็รีบเอ่ยเตือนลูกทีมใต้บังคับบัญชา
ทุกคนเก็บเสียงหัวเราะทันที แต่ละคนต่างกลับไปยังประจำตำแหน่งทำงานของตัวเองแล้วเริ่มทำงานของตน
“ตรวจสอบข้อมูล ขั้นต้นยืนยันว่าเป็นแตรที่เจ็ดที่ไปดาวโดฮา!” สิบโทหนึ่งในนั้นดึงข้อมูลของยานบินและหาเป้าหมายที่สอดคล้องกันออกมา
“ฝ่ายตรงข้ามส่งสัญญาณขออนุญาตเข้ามา ยืนยันต้นตอรหัสสัญญาณถูกต้อง!” เสี่ยวหลินวิเคราะห์ต้นตอสัญญาณที่แตรที่เจ็ดส่งเข้ามา หลังจากที่ยืนยันว่าถูกต้องแล้วก็รายงานให้หัวหน้าของตน
ร้อยโทผงกศีรษะสั่งว่า “เชื่อมต่อต้นตอสัญญาณ!”
สิ้นเสียงนี้ก็เห็นกระจกโปร่งแสงด้านหน้าที่ทำการเฝ้าระวังส่องสว่างขึ้นมาฉับพลัน หลังจากนั้นร่างที่ดูคุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นด้านบน ที่แท้หน้าต่างชมวิวที่เดิมทีไว้มองสังเกตการณ์อวกาศนี้ก็คือหน้าจอขนาดยักษ์
ร้อยโทเห็นร่างที่คุ้นเคยนั้นก็รีบยืนตรงแสดงความเคารพและกล่าวว่า “พันเอกเทียนฟาง! สวัสดีครับ!”
พันเอกเทียนฟางหรือก็คือกัปตันของแตรที่เจ็ดได้ยินคำพูดก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “สวัสดี!”
“รบกวนรอสักครู่นะครับ พวกเราจะจัดเตรียมท่าจอดเทียบยานบินของคุณให้!” ร้อยโทส่งข้อมูลของแตรที่เจ็ดไปยังแผนกนำทาง ไม่นานแผนกนำทางก็ส่งข้อมูลตอบกลับมา เชื่อมต่อกับช่องสื่อสารของแตรที่เจ็ด
เมื่อร่างของพันเอกเทียนฟางหายไปจากหน้าจอขนาดใหญ่ ร้อยโทถึงค่อยพรูลมหายใจเบาๆ ต่อให้เป็นแค่ภาพ แต่แรงกดดันที่พันเอกเทียนฟางมอบให้เขายังคงมหาศาลอย่างยิ่งยวด นี่ก็คือพลังอำนาจของผู้แข็งแกร่ง
เสี่ยวหลินปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก กล่าวด้วยความกลัวจนตัวสั่นเล็กน้อยว่า “แค่เห็นภาพเสมือนจริงของพันเอกเทียนฟางก็ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออกแล้ว เขาแข็งแกร่งมาก พันเอกเทียนฟางเป็นเทพจากไหนกันแน่นะ?”
ร้อยโทเอ่ยด้วยใบหน้าที่เผยความเคารพเลื่อมใสว่า “เขาเป็นยอดฝีมือเพียงหนึ่งเดียวในหมู่กัปตันยานรบที่เข้าสู่ระดับเขตแดน ถึงแม้เขาไม่ได้มีตำแหน่งเชี่ยวชาญทางด้านผู้ควบคุมหุ่นรบ แต่การควบคุมหุ่นรบของเขาก็ไปถึงขั้นผู้ควบหุ่นรบไพ่ราชาแล้ว เขาคือผู้แข็งแกร่งบนพิภพในหมู่ผู้แข็งแกร่งบนพิภพและสวรรค์ของสหพันธรัฐเรา!”
“อ้า เขาก็คือผู้แข็งแกร่งบนพิภพในหมู่ผู้แข็งแกร่งบนพิภพและสวรรค์นี่เอง….” แววตาของเสี่ยวหลินเผยความเคารพนับถือออกมา เมื่อเทียบกับบุคคลในตำนานอย่างผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะแล้ว ผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาเข้าใกล้พวกชาวบ้านทั่วไปมากกว่านิดหน่อยอย่างไม่ต้องสงสัย และก็เป็นเป้าหมายที่ทหารมากมายนับไม่ถ้วนชื่นชมอยากจะเป็นให้ได้
“ทำไมถึงส่งคนที่ร้ายกาจแบบนี้ไปทำภารกิจนี้ละครับ?” เสี่ยวหลินรู้สึกว่ามันไม่คู่ควรกับพันเอกเทียนฟางอยู่บ้าง
“สถานที่ที่เขาไปก็คือโดฮา ที่นั่นมีนักเรียนใหม่ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เป็นแหล่งของอัจฉริยะที่โดดเด่นของสหพันธรัฐเรา หากไม่มีคนอย่างพันเอกเทียนฟาง พวกเขาจะปราบอัจฉริยะหัวกะทิเหล่านั้นได้เหรอ?” ร้อยโทตำหนิในความคิดตื้นเขินของเสี่ยวหลิน ถึงแม้ว่าช่วงหลายสิบปีมานี้จะไม่มีอัจฉริยะหัวกะทิออกมาจากในโดฮาจริงๆ แต่ว่าอย่าได้ดูถูกสถาบันลูกเสือเก่าแก่ที่มีเส้นสนกลในล้ำลึกไปตลอดกาล ไม่แน่ว่าอาจจะมีอัจฉริยะระดับปีศาจโผล่ออกมาสักคนก็ได้
………..
พันเอกเทียนฟางไม่รู้เรื่องการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้จากการที่เขาปรากฏตัวขึ้นในที่ประจำการเฝ้าระวังเลย ตอนนี้เขาสละที่นั่งกัปตันแล้วและจ้องมองพวกนักเรียนใหม่ในห้องควบคุมหลักที่ทำงานยุ่งกันตรงหน้าจอเบื้องหน้าด้วยความกลัดกลุ้ม
ถึงแม้ว่าพวกนักเรียนจะเรียนรู้กันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว แต่การควบคุมยานบินยังคงติดขัดอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด มีหลายครั้งที่ไม่สามารถควบคุมยานบินให้ไปยังพิกัดที่ป้อมปราการต้องการ ทำให้เจ้าหน้าที่นำทางของฝั่งตรงข้ามเริ่มไม่พอใจนิดหน่อยแล้ว
พันเอกเทียนฟางรู้สึกอับอายขายขี้หน้าจะตายอยู่แล้ว เขารู้ว่าเจ้าหน้าที่ของป้อมปราการจะต้องกำลังพูดว่า พันเอกเทียนฟางเมาเหล้าอีกแล้วแน่นอน…ชื่อเสียงเรียงนามตลอดชีวิตของเขาคงต้องทิ้งไว้ตรงนี้เสียแล้ว แต่เขาไม่สามารถอธิบายเรื่องราวกับคนภายนอกเป็นอันขาด เพราะว่าเรื่องมันน่าอับอายยิ่งกว่า
พันเอกเทียนฟางเห็นหลิงหลานที่นั่งอยู่บนที่นั่งกัปตันยังคงทำหน้าสงบนิ่งราวกับไม่กังวลเลยสักนิดว่านักเรียนใหม่จะทำลายยานบินทิ้ง เขาก็อดเอ่ยถามไม่ได้ว่า “ทำไมเธอไม่เครียดสักนิดเลยล่ะ?”
“ฝนจะตก แม่จะแต่งงาน[1]! จะทำยังไงก็ทำไปอย่างนั้น!” หลิงหลานตอบกลับอย่างผ่อนคลาย ขอเพียงไม่ทำยานบินพังไปโดยสิ้นเชิง เธอก็ไม่มีความเห็นอะไรแม้แต่น้อย ถึงยังไงยานบินนี้ก็ไม่ใช่ของเธอ
พันเอกเทียนฟางหายใจติดขัดไปทันที เอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มว่า “ไม่เคยเห็นคนที่ใจกล้าขนาดเธอมาก่อนเลย”
มุมปากของหลิงหลานโค้งขึ้น “ไม่อย่างนั้นผมก็คงยึดยานบินของคุณมาไม่ได้” เสียดแทงเข้าไปที่หัวใจพันเอกเทียนฟางอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
พันเอกเทียนฟางโมโหสุดขีด พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ไม่รู้ว่าใครเลี้ยงลูกชายบ้าระห่ำอย่างเธอออกมา…แม่งเอ๊ย ทำเรื่องที่คนไม่กล้าทำทั้งนั้น”
มุมปากของหลิงหลานโค้งขึ้นเล็กน้อย “ทำไมครับ คุณอยากรู้เหรอ? หรือว่าคุณอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับพ่อผมสักหน่อยล่ะ?”
ไม่รู้ว่าทำไมพันเอกเทียนฟางรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันตรายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอีกครั้ง ลางสังหรณ์ของเขาบอกเขาว่าอย่าตอบเด็ดขาด แต่ความคับแค้นในใจกลับทำให้เขาพูดโพล่งออกมาว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่มีทางสู้กับเด็ก แต่จะสู้กับผู้ใหญ่ไม่ได้หรือไง?”
หลิงหลานเขยิบเข้าไปใกล้พันเอกเทียนฟางช้าๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ยินดีให้คุณไปหานายพลหลิงเซียวเลยครับ!” น้ำเสียงของหลิงหลานเต็มไปด้วยความหยอกล้อ เห็นได้ชัดว่ายินดีเห็นพันเอกเทียนฟางไปหาพ่อของเธอเพื่อต่อสู้กันสักยกมากๆ
“นะ…นายพลหลิงเซียว!” พันเอกเทียนฟางอ้าปากกว้าง ตกตะลึงจากคำตอบของหลิงหลาน แต่เขากลับไม่มีความสงสัยเลย ประการแรก หลังจากที่คบหาสมาคมกันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ เขารู้ว่าหลิงหลานไม่สนใจเรื่องการพูดโกหก ประการที่สอง มีเพียงนายพลหลิงเซียวเท่านั้นถึงจะให้กำเนิดลูกชายที่เป็นปีศาจอัจฉริยะขนาดหลิงหลานออกมาได้ เวลานี้พันเอกเทียนฟางลืมการพิสูจน์หลักฐานทางการวิจัยของสหพันธรัฐเรื่องการอนุมานว่ายีนพรสวรรค์รุ่นต่อมาของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะจะตกฮวบลงไปแล้ว
……………………………………………
[1] เปรียบเปรยว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด