I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 288 ทีมทดสอบ!
เมื่อลั่วล่างออกมาก็ถูกอู่จย่งคว้าตัวไปเข้าร่วมทีมต้อนรับ เดิมทีลั่วล่างไม่อยากเข้าร่วมเลย แต่พอรู้ว่าลูกพี่หลิงหลานก็อยู่ในนั้น คำพูดคัดค้านทั้งหมดก็หายไป คุณลองคิดดูสิ ลูกพี่ออกหน้าแล้ว ลูกน้องยังซ่อนตัวได้อีกเหรอ?
ไม่เพียงแค่นั้น หลี่อิงเจี๋ยที่เพิ่งจะหลุดพ้นจากขุมนรกก็ถูกหลิงหลานคว้าตัวไปเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาอยากขัดขืนมาก แต่พอหลิงหลานกวาดสายตาเย็นเยียบเข้ามา หลี่อิงเจี๋ยก็ได้แต่ขยี้จมูกยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี หลี่อิงเจี๋ยคิดว่า ลูกพี่หลานยังโหดเหี้ยมกว่าญาติผู้พี่คนรองของเขาร้อยเท่า
หลังจากที่พวกเขาฝึกฝนกันประมาณสามวันเช่นนี้เอง ในที่สุดก็ถึงเวลาขึ้นเวทีของพวกเขาแล้ว หลิงหลานพาเด็กหนุ่มหน้าตางดงามรูปร่างองอาจกลุ่มหนึ่งมาที่ถนนสายหลักสู่ภายนอกเพียงหนึ่งเดียวของโรงเรียนทหาร จัดเป็นขบวนต้อนรับ ยืนตัวตรง ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ตรงนั้น สวมชุดเครื่องแบบทหารพิธีการสีขาวน้ำเงินที่โรงเรียนทหารออกแบบมาเป็นพิเศษ ทำให้เด็กหนุ่มเหล่านี้ดูสง่างามอย่างหาใดเปรียบ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกชื่นชม
พวกคนระดับสูงของโรงเรียนทหารที่มาสังเกตการณ์พอใจกับเรื่องนี้มาก แน่นอนว่านี่เป็นเพียงก้าวแรก เด็กหนุ่มเหล่านี้จะเป็นของปลอมที่ดูดีแค่ผิวเผิน หรือว่าเป็นของแท้ก็ยังต้องดูผลงานต่อไป
ทีมทดสอบของกองพลต่างๆ ทยอยกันมาถึงโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เมื่อพวกเขาเห็นขบวนต้อนรับของโรงเรียนทหารกลุ่มนี้ก็อดอึ้งไปไม่ได้ โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งก็ทำเรื่องแบบนี้ด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่?
“วันทยหัตถ์!” หลิงหลานตะโกนเสียงดัง คนในขบวนต้อนรับเชิดหน้าทำความเคารพตามรูปแบบของนักเรียนทหารแทบจะพร้อมกัน ถุงมือสีขาวโบกสะบัดเป็นระเบียบกอปรกับดวงหน้าที่เคร่งขรึมจริงจัง ทำให้ท่าทีของเหล่าทีมทดสอบจากที่ไม่เห็นด้วยในตอนแรก เปลี่ยนเป็นคิดว่าถูกต้องแล้ว พวกเขาชูมือทำความเคารพกลับแล้วค่อยเดินผ่านหน้าขบวนต้อนรับไปอย่างเคร่งขรึม
ตอนที่ทีมทดสอบทุกทีมเดินผ่านขบวนต้อนรับ ถึงแม้ท่าทีจะเคร่งขรึมอย่างยิ่ง แต่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ในแววตาของพวกเขาต่างเผยความชื่นชมออกมา ดูเหมือนว่าการแสดงผลงานของขบวนต้อนรับจะได้ความนิยมชมชอบจากพวกเขาจริงๆ
ระดับสูงของโรงเรียนทหารเห็นแบบนั้นก็อดลอบยินดีในใจไม่ได้ การตัดสินใจของพวกเขาในตอนแรกถูกต้องจริงๆ ด้วย ไม่นึกเลยว่านักเรียนใหม่เหล่านี้จะทำได้ดี มีความสามารถขนาดนี้ แสดงความแข็งแกร่งและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งออกมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นรูปลักษณ์ที่งดงามของพวกเขารวมถึงท่าทางคึกคักเยาว์วัย ต่อให้เป็นทหารที่ถือทิฐิอีกสักแค่ไหน เมื่อเห็นแล้วก็อดอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยไม่ได้
ทีมทดสอบต่างรวมตัวกันมาถึงในช่วงเวลาสามวัน ในนั้นยังรวมถึงทีมทดสอบของกองพลที่ประจำการยี่สิบสามแห่งแล้วก็กองทัพอิสระอีกสิบกว่าแห่งด้วย บอกว่าเยอะก็ไม่เยอะ บอกว่าน้อยก็ไม่น้อย แต่ทีมทดสอบแต่ละทีมที่เดินผ่านต่างทำให้ขบวนต้อนรับทุ่มกำลังสุดความสามารถราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
บางทีกลยุทธ์ชายงามของโรงเรียนทหารอาจจะทำสำเร็จแล้ว หลังจากที่ทีมทดสอบของกองพลมาถึงโรงเรียนทหาร ท่าทีของพวกเขาก็ดีกว่าเมื่อก่อนจริงๆ นี่ทำให้พวกระดับสูงของโรงเรียนทหารโล่งใจอย่างมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำถูกแล้ว
หลิงหลานพ่นลมหายใจอย่างดูถูกที่โรงเรียนทหารหมดห่วงเพราะเรื่องแบบนี้ เธอไม่เชื่อหรอกว่า ทีมทดสอบของกองพลจะลงมืออย่างปรานีเพราะว่ามีความประทับใจดีๆ ต่อโรงเรียนทหาร? พวกเขาย่อมไม่มีทางใจอ่อนในตอนที่ควรโหดร้ายอยู่แล้ว นี่ถึงจะเป็นธาตุแท้ที่เหมาะสมกับทหาร ได้แต่พูดว่าพวกระดับสูงของโรงเรียนทหารพ้นจากกองทัพมานานมากเกินไป บางสิ่งบางอย่างจึงถูกพวกเขาลืมเลือนไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานไม่มีทางไปเตือนพวกระดับสูงของโรงเรียนทหารแน่นอน ไม่ว่ายังไงขอเพียงพวกเขาทำภารกิจของโรงเรียนทหารให้สำเร็จก็พอแล้ว ส่วนผลสุดท้ายนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลยสักนิดเดียว หลิงหลานยินดีทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์อย่างสบายใจก็พอ
อย่างไรก็ตาม ความใจเย็นของหลิงหลานก็อยู่ได้แค่สองวันแรก เมื่อตัวแทนของกองพลที่ยี่สิบสามปรากฏตัวขึ้นในวันที่สาม ดวงหน้าที่เดิมทีเยือกเย็นสงบนิ่งของหลิงหลานก็เปลี่ยนสีในที่สุด
กองพลยี่สิบสามเป็นกองพลที่ตั้งขึ้นใหม่ของสหพันธรัฐ เมื่อรายชื่อปรากฏขึ้นก็ดึงดูดคความสนใจของนักเรียนและอาจารย์ทั่วทั้งโรงเรียน แน่นอนว่าในฐานะที่มันเป็นกองพลของพ่อเธอ ต่อให้หลิงหลานแสร้งทำเป็นเยือกเย็นอีกสักแค่ไหน ก็อดคาดเดาไม่ได้ว่าพ่อของเธอจะส่งใครมารับหน้าที่ทดสอบในครั้งนี้ เธอย่อมคาดหวังว่าจะส่งหัวหน้าทีมที่มีความยุติธรรมมาทำให้กองพลที่ยี่สิบสามสามารถทิ้งภาพลักษณ์ที่ยอดเยี่ยมไว้ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้
แต่ตอนที่เธอเห็นชายคนหนึ่งลงมาจากบนรถไฟขบวนพิเศษของท่าอวกาศ หน้าน้ำแข็งที่นิ่งดุจขุนเขาแต่เดิมของเธอได้แตกออกในที่สุด ดวงหน้าของเธอกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรง
ชายคนนั้นจงใจกดหมวกทหารลงต่ำ สวมผ้าปิดปากผืนใหญ่ที่แทบจะบดบังทั่วทั้งใบหน้า ต่อให้สวมชุดเครื่องแบบพลตรี แสร้งทำเป็นชายท่าทีเคร่งขรึมเย็นชา แต่ความรู้สึกที่คุ้นเคยนี้จะหลอกตาเธอได้เหรอ?
หลิงหลานกัดฟันกรอดในใจ “เชี่ย ทำไมพ่อโง่เง่าของฉันถึงมาที่นี่ล่ะ เขากำลังทำบ้าอะไรกันแน่?”
“อ้า พ่อนี่นา…” เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงจิตทำตาเป็นรูปหัวใจสีแดง ร้องเสียงแหลมพลางมองหลิงเซียวด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะถูกหลิงหลานที่เดือดดาลเต็มที่เตะลอยออกไปทันที “นายแม่งใจเย็นหน่อยสิ”
“ฮือๆๆ ลูกพี่ ฉันไม่ได้เห็นพ่อมานานแล้วนะ ทำไมพวกเราไม่ทักทายพ่อล่ะ?” เสี่ยวซื่อกลิ้งกลับมาอย่างรวดเร็ว กอดต้นขาของหลิงหลานไว้พลางเอ่ยอย่างร้องห่มร้องไห้ ขอร้องอย่างรุนแรงว่าให้ไปทักทายคุณพ่อ
“มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าพ่อโง่เง่านี่ปกปิดตัวตนเข้ามา ฉันจะไปทักทายเขาได้ยังไงเล่า?” หลิงหลานมองชายที่คิดเอาเองว่าปกปิดได้แนบเนียนแล้วอย่างไร้คำพูด ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี
ยังดีที่คนข้างกายเขาจงใจขวางกั้นสายตาของคนอื่น กอปรกับหลิงเซียวทำตัวไม่เป็นจุดสนใจ เขาจึงไม่ได้เปิดโปงสถานะตัวเอง
เมื่อทีมทดสอบของกองพลที่ยี่สิบสามผ่านหน้าหลิงหลาน หลิงเซียวหยุดฝีเท้าลงฉับพลัน ดวงตาที่ถูกเปิดเผยเพียงอย่างเดียวคู่นั้นแสดงออกถึงรอยยิ้ม เขาเอ่ยถามว่า “ท่ายืนและมารยาทไม่เลวมากๆ เธอเป็นนักเรียนใหม่เหรอ?”
จงใจพูดเหรอ? หลิงหลานกลอกตาให้พ่อของเธอยกใหญ่ในใจ ทว่าสิ่งที่แสดงออกมายังคงเป็นการเอ่ยแสดงความเคารพอย่างสงบนิ่ง “ครับ ผู้การ”
หลิงเซียวหันหน้ามองไปยังพวกระดับสูงของโรงเรียนทหารที่ตามมาด้วยกัน แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ไม่เลวเลย ต่อให้เป็นนักเรียนใหม่ก็มีบุคลิกโดดเด่นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนโรงเรียนทหารชายจะมีชื่อเสียงเลื่องลือสมกับความเป็นจริงนะ” เจตนาของหลิงเซียวย่อมเป็นการชมลูกสาวตัวเองอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเลย
แต่พวกระดับสูงของโรงเรียนทหารที่ตามมาด้วยไม่ได้คิดแบบนี้เลย พวกเขาเกือบทุกคนคิดว่านี่เป็นคำชมของตัวแทนกองพลที่ยี่สิบสามที่มีต่อโรงเรียนทหาร ทำให้พวกเขาแสดงสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมาทันใด ยอดเยี่ยมมาก แน่นอนว่าพวกเขายังคงแสดงท่าทีถ่อมตนออกมา เอ่ยติดต่อกันว่า ไม่กล้าๆ
ควรรู้เอาไว้ว่าต่อให้ทีมต้อนรับแสดงผลงานได้ไม่เลว แต่กองพลอื่นๆ หลายกองไม่มีทางเอ่ยออกมา พวกเขายังคงรักษาท่าทางทระนงตนสูงส่งของกองพลไว้ตลอด ไม่นึกเลยว่าผู้การที่นำทีมของกองพลที่ยี่สิบสามจะสุภาพอ่อนโยนขนาดนี้ นี่ทำให้ความรู้สึกดีๆ ของพวกระดับสูงในโรงเรียนทหารที่มีต่อกองพลที่ยี่สิบสามพุ่งสูงขึ้น
ในขณะเดียวกันก็ชื่นชมนายพลหลิงเซียวว่า สมกับที่เป็นนายพลหลิงเซียวจริงๆ คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต่างสุภาพอ่อนโยนทำให้คนรู้สึกเหมือนกับได้รับสายลมฤดูใบไม้ผลิ เวลานี้พวกเขาเริ่มคิดคำนวณขึ้นมาว่า ในเมื่อกองพลที่ยี่สิบสามรู้สึกดีต่อโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งขนาดนี้ ครั้งนี้พวกเขาจะรับนักเรียนทหารได้มากขึ้นใช่หรือเปล่า? พอคิดแบบนี้แล้ว หัวใจของพวกระดับสูงของโรงเรียนทหารพลันร้อนรุ่ม ทยอยกันเตรียมตัวกลับไปให้พวกอาจารย์แจ้งข่าวนี้ลงไป บอกให้พวกนักเรียนสมัครสอบเข้ากองพลที่ยี่สิบสามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้…
พวกระดับสูงของโรงเรียนทหารก็รู้สึกดีต่อกองพลที่ยี่สิบสามเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ทุกปีให้หลัง พวกเขาไม่ลืมเตือนพวกอาจารย์ว่าให้นักเรียนพยายามเลือกสมัครสอบเข้ากองพลที่ยี่สิบสามให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้…
นี่คือเสน่ห์ส่วนตัวของหลิงเซียว ทำให้คนเกิดความรู้ดีๆ ต่อเขามาตลอด เลือกเดินตามเขาไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว!
“ว้าวๆๆ พ่อสุดยอดไปเลย” เสี่ยวซื่อเห็นฉากนี้ก็เปลี่ยนเป็นหลงใหลเคลิบเคลิ้มอีกครั้ง กุมหน้ามองหลิงเซียวอย่างลุ่มหลง เสี่ยวซื่อในตอนนี้ไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทางปัญญาเลย
หลิงหลานมองฟ้าอย่างไร้คำพูด เธอก็รู้อยู่หรอกว่า พอเสี่ยวซื่อเจอหลิงเซียวก็จะเกิดการขัดข้องเครื่องค้าง ดูเหมือนว่าถ้าอยากให้เสี่ยวซื่อรักษาความเสถียรไว้ เธอจำเป็นต้องกันหลิงเซียวให้อยู่ห่างแล้ว
“เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เลวมากๆ เลย รบกวนให้นักเรียนคนนี้มาเดินชมโรงเรียนเป็นเพื่อนพวกเราในช่วงที่อยู่ในโรงเรียน ให้พวกเราทำความเข้าใจมากขึ้นได้หรือเปล่า?” หลิงเซียวชี้ไปยังหลิงหลานขณะยื่นคำขอต่อพวกระดับสูงของโรงเรียนทหาร แน่นอนว่าพวกระดับสูงของโรงเรียนทหารย่อมอนุญาตทันที นี่ยิ่งบ่งบอกว่ากองพลที่ยี่สิบสามสนใจโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งมากเลยไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นเรื่องดี ต้องสนับสนุนอยู่แล้ว!
การกระทำของหลิงเซียวทำลายแผนการที่หลิงหลานคิดเอาไว้ดิบดีแล้วทันที ทำให้หลิงหลานลอบกัดฟันในใจ ดูท่าเสี่ยวซื่อคงจะช่วยเหลือเธอไม่ได้เป็นเวลานานเลย
การพบหน้ากันครั้งแรกของสองพ่อลูกหลิงเซียวกับหลิงหลานในโรงเรียนทหารก็เงียบเชียบ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใครเช่นนี้เอง…
อ้อ ไม่สิ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสนใจเลยเหมือนกัน เมื่อทีมตัวแทนทดสอบของกองพลที่ยี่สิบสามเดินไปไกลแล้ว ลั่วล่างที่ยืนอยู่ข้างกายหลิงหลานก็เอ่ยถามเสียงเบาด้วยสีหน้างุนงงว่า “ลูกพี่หลาน นายรู้จักคนๆ นั้นด้วยเหรอ?”
หลิงหลานเลิกคิ้ว ส่งสายตาตอบกลับให้เขา ราวกับกำลังถามลั่วล่างว่าทำไมถึงถามแบบนี้
“เมื่อตะกี้นี้ฉันรู้สึกได้ว่าไอพลังของนายสั่นคลอนนิดหน่อย…” ลั่วล่างเอ่ยด้วยความสงสัย นับตั้งแต่ที่เขาปราบบุคลิกรองทั้งหมด สัมผัสที่หกของลั่วล่างก็เฉียบคมสุดขีด สามารถรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของคนที่เขาให้ความสนใจ ก็เหมือนดั่งเช่น เมื่อสักครู่นี้ หลิงหลานดูอารมณ์ร้อนอยู่บ้างอย่างชัดเจน
“ไว้กลับไปแล้วค่อยเล่าให้ฟัง” หลิงหลานตอบกลับเสียงเบา ในเมื่อพ่อเธอมาแล้ว เธอเชื่อว่าพ่อของเธอไม่มีทางจากไปอย่างไร้สุ้มเสียงแน่นอน เขาจะต้องก่อเรื่องอะไรบางอย่างออกมา นอกจากนี้เธอก็อยากให้พ่อของเธอรู้จักพวกเพื่อนๆ ข้างกายเธอเหมือนกัน บอกคุณพ่อของเธอว่า เพื่อนๆ เหล่านี้คือพี่น้องที่เธอรักทะนุถนอมมากที่สุด และหวังว่าหลิงเซียวจะให้ความสำคัญกับเพื่อนของเธอได้
เวลานี้หลิงหลานยังไม่รู้สึกตัวว่า การกระทำของเธอในตอนนี้ก็เหมือนกับเด็กที่กำลังเติบโต อยากได้รับการยอมรับจากผู้ปกครอง
ลั่วล่างได้ยินคำกล่าวก็ผงกศีรษะ ไม่ได้พูดออกมาอีก เนื่องจากพิธีการต้อนรับยังไม่สิ้นสุด ยังมีทีมทดสอบกองพลและกองทัพอิสระอีกหลายกองกำลังจะมาถึง
ต่อให้เด็กหนุ่มเหล่านี้มีคุณสมบัติร่างกายดีเยี่ยม แต่ช่วงเวลาสามวันนี้พวกเขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและจิตใจ ท้ายที่สุดเมื่อพวกระดับสูงของโรงเรียนทหารบอกว่าภารกิจจบลงแล้ว บรรดาเด็กหนุ่มต่างโห่ร้องขึ้นมาอย่างคึกคัก ตื้นตันใจที่ตัวเองหลุดพ้นจากขุมนรกแล้วในที่สุด
ว่าตามตรง ถึงแม้การเคลื่อนไหวอย่างยืน จัดแถว ทำความเคารพจะดูเรียบง่ายสุดขีด แต่ความกดดันในใจพวกเด็กหนุ่มไม่ได้สบายเหมือนกับท่าทีที่แสดงออก เพราะว่าเหล่าทหารที่รับหน้าที่ทดสอบทุกคนต่างเป็นราชันทหารร้อยศึกที่กลับมาจากสนามรบ บนตัวพวกเขาต่างมีไอชั่วร้ายที่เข้มข้น โจมตีใส่ความอดทนทางจิตใจของพวกเด็กหนุ่มมาตลอด
การที่พวกเด็กหนุ่มสามารถทำได้งดงาม สงบนิ่ง เยือกเย็นผิดปกติและไม่ได้รับการกวนใจเช่นนี้ได้ในขณะที่เผชิญหน้ากับเหล่าทหารทดสอบที่แข็งแกร่งทรงพลังนั้นต้องยกความดีให้หลิงหลานที่ใช้ไอพลังกดขี่ทุกวัน ทำให้พวกเขาคุ้นชินและปรับตัวกับไอชั่วร้ายแบบนี้ได้ในช่วงเวลาที่สั้นที่สุด
สุดท้ายพวกเขาก็ยืนหยัดทำภารกิจจนเสร็จสิ้นอย่างสบบูรณ์แบบได้ ในเวลาเดียวกันก็ทิ้งความประทับใจที่ดีเยี่ยมให้กับเหล่าตัวแทนทดสอบ และก็สร้างรากฐานที่มั่นคงต่อการก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาไปกองพลไหน ขอเพียงบอกว่าพวกเขาเคยรับหน้าที่อยู่ในขบวนต้อนรับในปีนั้น ทหารพวกนั้นก็จะมองพวกเขาใหม่ ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าการก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขาย่อมไม่ได้ย่ำแย่แน่นอน