I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 305 คำถาม!
ช่วงเวลาบ่ายของโลกหุ่นรบ เวลานี้เมืองหงหยางซึ่งเป็นเมืองแห่งภารกิจมีหุ่นรบจำนวนไม่น้อยนั่งแกร่วพักผ่อนอยู่ในสนามกว้างโล่งที่อยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูเมือง หรือไม่ก็หลับตาพักผ่อน ยืนคุยเล่นอยู่ตรงนั้น
ส่วนใหญ่แล้วหุ่นรบเหล่านี้ต่างเป็นหุ่นรบระดับสูง แต่ก็มีจำนวนน้อยที่เป็นหุ่นรบระดับต่ำและหุ่นรบระดับกลาง บางทีพวกเขาอาจจะเจียดเวลาเข้ามาพักผ่อนยามเที่ยง แต่ก็มีมากกว่านั้นที่มาหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ หรือว่ารอเข้าร่วมทีมสักแห่งที่เตรียมทำภารกิจหน่วยรบแต่ยังขาดคนอยู่ บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสให้พวกเขาเข้าร่วมหน่วยรบก็ได้…
ไม่ผิด ที่นี่คือสถานที่ชุมนุมของผู้ควบคุมหุ่นรบอิสระ พวกเขาไม่มีหน่วยรบ ขอเพียงมีเวลาว่างก็จะมาเสี่ยงโชคที่นี่ ดูว่ามีโอกาสเข้าร่วมหน่วยรบสักแห่งหรือไม่ ต่อให้เป็นการเข้าร่วมชั่วคราวก็ดีกว่าพวกเขาไม่มีหน่วยรบเลย ควรรู้เอาไว้ว่า หากต้องการแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น การเข้าร่วมกลุ่มรบคือตัวเลือกที่จำเป็น เพราะว่าหลังจากที่ได้หุ่นรบระดับสูงแล้ว หากคิดจะแข็งแกร่งขึ้นก็จำเป็นต้องไปผจญภัยทำภารกิจในสถานที่ยากลำบากมากขึ้น และทุกอย่างนี้ต่างมีเงื่อนไขข้อแรก นั่นก็คือคุณต้องมีหน่วยรบ ไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่อาจรับภารกิจเหล่านี้ ไม่สามารถเข้าสู่สถานที่อันตรายเหล่านั้นได้เลย
ก็เหมือนกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างมีความเป็นไปได้ที่จะเข้าร่วมหน่วยรบ นอกจากนี้มีเพียงนักเรียนทหารหรือว่าทหารเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ก่อตั้งหน่วยรบได้ ดังนั้น จำนวนผู้ควบคุมหุ่นรบอิสระในโลกหุ่นรบจึงมหาศาลอย่างยิ่งยวด
มุมหนึ่งของสนาม มีหุ่นรบมาตรฐานระดับสูงนั่งเรียงแถวอยู่บนพื้น พวกมันนั่งท่าเท้าคางเหมือนกัน ท่วงท่าของหุ่นรบทั้งห้าดูมีเอกลักษณ์อยู่บ้าง นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นหน่วยหุ่นรบกลุ่มเดียวกันทำให้หุ่นรบตัวอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ชำเลืองมองด้วยความอิจฉาไม่หยุด ถึงขนาดที่มีหุ่นรบจำนวนไม่น้อยเดินมาตรงหน้าพวกเขาคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้ตั้งใจ หวังว่าจะดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
เนื่องจากขอเพียงมีหุ่นรบสามตัวก็สามารถตั้งหน่วยหุ่นรบขึ้นมาได้แล้ว หุ่นรบหกตัวสามารถตั้งหน่วยรบขนาดเล็กได้ บรรดาหุ่นรบอิสระต่างคาดเดาว่าพวกเขากำลังหาสมาชิกคนสุดท้ายอยู่หรือเปล่า หลังจากนั้นค่อยไปทำภารกิจก่อตั้งหน่วยรบ ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่ ขอเพียงมีความเป็นไปได้ข้อนี้ หุ่นรบอิสระต่างหวังว่าผู้โชคดีคนสุดท้ายนั้นก็คือตัวเขาเอง
และเวลานี้ ในช่องแชทของหุ่นรบห้าตัวนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ
“อ้าๆๆ ทำไมลูกพี่ยังไม่มาอีกล่ะ?” เสียงของหลิงเทียนเก๋อโต้ว หรือก็คือเสียงแปดหลอดของฉีหลงกดทับเสียงแผ่วเบาของคนอื่นๆ
“ลูกพี่บอกว่าบ่ายโมง ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยง 47 นาที ยังเหลืออีก 13 นาที นายจะรีบทำไม?” ในฐานะที่หานจี้จวินหรือที่ชื่อว่าหลิงเทียนซ่วนผานในโลกหุ่นรบเป็นเพื่อนตาย เขาเอ่ยติเตียนทันทีโดยไม่ไว้หน้าเลยสักนิดเดียว เมื่อไหร่หมอนี่จะใจเย็นได้สักนิดเหมือนลูกพี่กันนะ? รู้จักแต่ใช้ใบหน้าซื่อสัตย์จริงใจไปหลอกลวงผู้คนอยู่นั่นแหละ
“ฉันไม่ได้ตื่นเต้นนะ ก็เรากำลังจะตั้งหน่วยรบกันแล้วนี่นา ฉันก็เฝ้ารอมากๆ แถมยังมีคนใหม่อีกหลายคนด้วย” ฉีหลงกล่าวถึงตรงนี้ ทันใดนั้นเขาก็ลอบยิ้มขึ้นมา
นี่ทำให้ดวงหน้าของคนอื่นๆ อดบิดเบี้ยวไม่ได้ โดยเฉพาะลั่วล่าง ใบหน้าดำทะมึนของหลี่ซื่ออวี๋ผุดขึ้นมา เขาอดยืนไว้อาลัยให้หลี่ซื่ออวี๋อีกครั้งไม่ได้ ใครใช้ให้เขาโดนลูกพี่ของตนถูกใจเข้าล่ะ…นี่ก็คือชะตาของเขาแล้ว!
สมองของลั่วล่างอดหวนนึกถึงฉากที่เกิดขึ้นในศูนย์วิจัยแพทย์ทหารไม่ได้…
……
หลิงหลานปล่อยไอเย็นออกมาทั่วร่าง แบกฉีหลงที่กำยำล่ำสันทว่าตอนนี้กลับคุดคู้ด้วยความเจ็บปวดขึ้นมา พาพวกลั่วล่างมาที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารด้วยท่าทีดุดัน
ความจริงแล้วพวกลั่วล่างไม่รู้ว่าทำไมฉีหลงถึงอาการกำเริบกะทันหัน แต่ลูกพี่หลานบอกว่าถึงเวลาไปหาหลี่ซื่ออวี๋แล้ว ระหว่างทางพวกเขาก็รู้เป้าหมายการเดินทางของลูกพี่หลานในครั้งนี้แล้ว ซึ่งก็คืออยากทำลายธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาอย่างช้านานของโรงเรียนทหาร นั่นก็คือนักเรียนของภาควิชาวิจัยแพทย์ทหารไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มอำนาจหน่วยรบ ได้แต่รักษาสถานะเป็นกลางไว้
ใช่แล้ว ลูกพี่หลานที่กำลังตั้งหน่วยรบล่วงหน้าในโลกหุ่นรบอยากรับหลี่ซื่ออวี๋ นักเรียนดีเด่นของภาควิชาวิจัยแพทย์ทหารเข้ามาอยู่ในหน่วย เป้าหมายของหลิงหลานที่ดูเหมือนไม่อาจเป็นจริงได้ทำให้หานจี้จวิน ลั่วล่างและคนอื่นๆ ตกตะลึงไม่หยุด หลังจากที่ตกใจแล้วก็รู้สึกตื่นเต้น ถ้าหากลูกพี่หลานทำสำเร็จจริงๆ ละก็ นี่ย่อมเป็นความสำเร็จที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และก็มีเพียงลูกพี่หลานเท่านั้นถึงจะกล้าคิดแบบนี้ ทำแบบนี้…ถึงขนาดที่พวกเขาคิดว่า ขอเพียงลูกพี่หลานต้องการ ก็ไม่อะไรที่ทำไม่ได้
จำเป็นต้องพูดว่า ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หลายครั้งของหลิงหลานทำให้หานจี้จวิน ลั่วล่างและคนอื่นๆ เชื่อมั่นหลิงหลานอย่างเต็มเปี่ยม คิดว่าลูกพี่หลานของเขาไม่มีทางล้มเหลวเด็ดขาด
หลิงหลานเดินไปที่หน้าประตูศูนย์วิจัยแพทย์ทหารก่อนจะเตะประตูจนกระเด็นโดยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิดเดียว
เสียง ‘ตู้ม’ ดังสนั่น พลังอันน่ากลัวรวมถึงเสียงดังลั่นที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนของศูนย์วิจัยและบรรดานักเรียนของภาควิชาแพทย์ทหารตกใจจนหมอบลงทันที พวกเขาเข้าใจผิดว่าโรงเรียนทหารถูกศัตรูที่ไม่รู้แน่ชัดบุกโจมตี
พวกลั่วล่างที่ตามหลังหลิงหลานมาเห็นหลิงหลานที่ดูโหดร้ายทารุณตรงหน้าเหมือนกับคลานออกมาจากขุมนรก ร่างของพวกเขาก็อดสั่นเทาไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าโทสะของลูกพี่ตนคือการแสร้งทำ ทว่าเวลานี้พวกเขาถูกไออำมหิตรุนแรงที่พรั่งพรูออกมาจากตัวของลูกพี่ตนขู่ขวัญจนหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเช่นกัน
คนผู้เดียวภายในศูนย์วิจัยแพทย์ทหารที่ยังคงความเยือกเย็นทำสีหน้าไร้ความหวาดกลัวก็คือนักเรียนดีเด่นหลี่ซื่ออวี๋ของพวกเขา เขามองหลิงหลานที่อยู่ตรงหน้าประตูกระทำการทำลายล้างด้วยใบหน้าเย็นชา กัดฟันกรอดเอ่ยออกมาทันทีว่า “หลิงหลาน นายเป็นบ้าอะไร? เห็นว่าที่นี่เป็นอะไรกันแน่?”
“เป็นบ้า? นายควรดีใจที่ฉันไม่ได้บ้า แค่โกรธนิดหน่อยเท่านั้น…ไม่อย่างนั้น ฉันคงรับประกันไม่ได้ว่าฉันจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา หลี่ซื่ออวี๋ ฉันเชื่อใจนาย แต่นายทำกับความไว้ใจของฉันได้ยังไง? หนึ่งครั้งก็แล้วสองครั้งก็แล้ว พี่น้องของฉันเกิดปัญหาเพราะการรักษาของนาย นายควรอธิบายให้ฉันฟังไหม? ฮึ?” หลิงหลานเอ่ยอย่างเย็นชา แววตาเย็นเยียบรวมถึงพวกคำพูดที่เธอกล่าวออกมาทำให้โทสะในใจหลี่ซื่ออวี๋หายไปฉับพลัน
“นายคิดจะบอกอะไร? ครั้งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?” หัวคิ้วของหลี่ซื่ออวี๋ขมวดเข้าหากัน กล่าวด้วยความจนใจ ตอนนี้เขานึกเสียใจอยู่บ้างแล้วที่ตอนนั้นใจอ่อนรับปากช่วยรักษาพี่น้องของหลิงหลาน เวลานี้หมอนี่เหมือนกับจับจ้องเขาไว้ ขอเพียงพี่น้องของหลิงหลานเกิดเรื่องก็ชอบมาหาเรื่องเขา ถึงแม้ท่าทีของหลิงหลานจะไม่สุภาพมากๆ แต่หลี่ซื่ออวี๋ยังไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็นไป เขายังซักถามสาเหตุกับหลิงหลานอย่างใจเย็น
ดวงตาเย็นเยียบทั้งสองข้างของหลิงหลานมีร่องรอยความชื่นชมพาดผ่าน ในฐานะที่เขาเป็นแพทย์ทหาร เขาจำเป็นต้องรักษาความเยือกเย็นไว้อย่างยิ่งยวด ต่อให้เผชิญหน้ากับคำถามของเพื่อนร่วมทีม ก็ต้องอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมาอย่างใจเย็น แบบนี้ถึงจะสามารถได้รับความเชื่อมั่นของเพื่อนร่วมทีม หลี่ซื่ออวี๋ทำได้ดีเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย สมกับที่เป็นนักเรียนอัจฉริยะทางด้านแพทย์ทหารจริงๆ สิ้นเปลืองความคิดเหล่านี้เพื่อเขาก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
หลิงหลานเก็บงำการยอมรับไว้ในใจ ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าเย็นยะเยือกว่า “แผลเก่าของลั่วล่างกำเริบก็แล้วไปเถอะ แต่ไม่นึกเลยว่าฉีหลงหายดีแล้วก็เกิดเรื่องแบบเดียวกัน นักเรียนดีเด่นหลี่ นายต้องมีอธิบายให้ฉันนะ” สิ้นเสียงกล่าว หลิงหลานก็มาที่เบื้องหน้าหลี่ซื่ออวี๋ วางร่างของฉีหลงที่ทุกข์ทรมานจนไม่อาจทานทนได้ลงแล้วก็ส่งสัญญาณให้หลี่ซื่ออวี๋เข้ามาดู
คำพูดของหลิงหลานทำให้ดวงหน้าขาวนวลของหลี่ซื่ออวี๋แดงก่ำขึ้นมาทันที รุ่นน้องที่น่ารังเกียจคนนี้ตั้งคำถามเรื่องความสามารถในการรักษาของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ย่อมเป็นการดูหมิ่นความเป็นมืออาชีพของเขา ต่อให้หลี่ซื่ออวี๋ใจเย็นอีกสักแค่ไหน เยือกเย็นอีกสักเท่าไหร่ เวลานี้เขาก็อดเดือดดาลไม่ได้เช่นกัน
ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลี่ซื่ออวี๋ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไปรักษาฉีหลง ขอเพียงเบื้องหน้าเขามีผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บ เขาต้องทิ้งความแค้นส่วนตัวทุกอย่างแล้วทุ่มเทจิตใจช่วยรักษาผู้ป่วยในฐานะที่เป็นแพทย์ทหาร เขารีบพุ่งปราดเข้ามา จับมือของฉีหลงสัมผัสชีพจรของเขา หลังจากนั้นสีหน้าของหลี่ซื่ออวี๋ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เพราะว่าชีพจรที่เขาจับออกมาได้นี้เหมือนกับปฏิกิริยาตอบสนองทางธรรมชาติหลังจากใช้ยายีนดัดแปลง S ที่พวกเขาวิจัยออกมา นี่ทำให้หลี่ซื่ออวี๋หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาฉับพลัน หรือว่ายายีนดัดแปลง S ยังมีผลตกค้างอะไรอีกเหรอ? แต่การวินิจฉัยทางการแพทย์ก่อนหน้านี้ไม่พบเหตุการณ์แบบนี้เลยนะ?
หลี่ซื่ออวี๋ไม่แน่ใจอยู่บ้าง เขารีบให้เจ้าหน้าที่วางฉีหลงลงในแคปซูลรักษา ใช้ยาฟื้นฟูพิเศษรักษาฉีหลง ฉีหลงที่เดิมทีเจ็บปวดจนตัวสั่นไปทั่วทั้งร่าง ดวงหน้าที่ดูย่ำแย่ค่อยๆ เริ่มผ่อนคลายลงหลังจากที่รักษาไปได้หลายสิบวินาที ดูเหมือนว่ายาฟื้นฟูจะได้ผลแล้ว
“ฉันอยากรู้ว่า นายให้พี่น้องของฉันใช้ยาอะไรกันแน่? ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น?” หลิงหลานเห็นสภาพของฉีหลงดีขึ้น น้ำค้างแข็งบนดวงหน้าก็ลดลงไปมากทันใด ท่าทีตอนที่เอ่ยถามหลี่ซื่ออวี๋ก็อ่อนลงเล็กน้อย
หลี่ซื่ออวี๋เงียบไปสักพักแล้วค่อยตอบว่า “ไว้รอสภาพของเขาดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว ฉันจะทำการตรวจสอบเขาทั้งหมด เวลานั้นฉันถึงรู้ได้ว่านี่เป็นเพราะอะไรกันแน่”
หลี่ซื่ออวี๋กล่าวจบก็ไม่สนใจหลิงหลานอีก เขารีบติดต่ออาจารย์เฉพาะทางหลายท่านของเขาทันที เมื่อพวกอาจารย์ได้ยินการตอบสนองของฉีหลงก็พลันเครียดขึ้นมา บอกว่าจะรีบมาศึกษากรณีพิเศษนี้ด้วยกันทันที
หลิงหลานได้ยินหลี่ซื่ออวี๋เริ่มตามพวกอาจารย์เข้ามาศึกษาร่วมกัน ถึงแม้สีหน้าของเธอยังคงสงบนิ่งเหมือนเก่า แต่ในใจเริ่มระส่ำระส่ายขึ้นมา
เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวในใจของหลิงหลานก็รีบออกมาพูดปลอบโยนว่า “ลูกพี่ วางใจเถอะ ฉันหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับยายีนดัดแปลง S ของพวกเขาเจอแล้ว ฉันเอายายีนที่พ่อแอบนำมาครั้งที่แล้วมาทำการสกัดปรับปรุง ฤทธิ์ยาย่อมเหมือนกับยายีนดัดแปลง S พวกเขาไม่ทางพบอะไรแน่นอน” เสี่ยวซื่อกล่าวคำพูดนี้ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่มีใครเก่งกาจด้านยายีนไปกว่าเขา…เสี่ยวซื่ออีกแล้ว
หลิงหลานได้ยินเสี่ยวซื่อรับประกันก็วางใจ อันที่จริงต่อให้ไม่วางใจก็สายไปแล้ว เวลานี้ก็เหมือนกับลูกธนูที่น้าวอยู่บนสาย จำเป็นต้องยิงออกไป เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ถูกอีกฝ่ายล่วงรู้ก็ต้องทำหน้าด้านร้องต่อไป
ดังนั้นหลิงหลานยังคงยืนทำหน้าเย็นชาอยู่ตรงนั้น พวกลั่วล่างไม่รู้ว่าร่างกายของฉีหลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เพราะฉะนั้นนอกจากสีหน้ากังวลแล้ว ก็ไม่ได้ทำหน้าอย่างอื่นอีก นี่ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ที่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ แทบใจกระตุกขึ้นมา หรือว่าสภาพของฉีหลงเป็นเรื่องจริง? เป็นความผิดศูนย์วิจัยของพวกเขาจริงๆ?
ไม่นานพวกอาจารย์ก็มาถึง และสภาพของฉีหลงในเวลานี้ก็ดีขึ้นมากแล้วเหมือนกัน ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เจ็บปวดราวกับถูกฉีกกระชากหัวใจ ดังนั้นพวกอาจารย์จึงเริ่มทำการวินิจฉัยต่างๆ เจาะเลือดทำการศึกษาฉีหลง ผลรายงานออกมาอย่างรวดเร็ว พบว่าการตอบสนองต่างๆ นานาที่ออกมาของฉีหลงเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติจากการฉีดยายีนดัดแปลง S
การอนุมานนี้ทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปยกใหญ่ หรือว่ายายีนดัดแปลง S นี้มีระยะที่ฟักตัวอยู่ สามารถกำเริบออกมาได้บ่อยๆ? นี่เป็นผลตกค้างที่ร้ายแรงมากอย่างไม่ต้องสงสัย ยืนยันว่ายายีนดัดแปลง S ของพวกเขามีข้อบกพร่องมหาศาลอยู่