I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 391 ดวงหน้าที่เหมือนกัน...
สิ้นเสียงของหลี่อินเฟย แสงไฟทั่วทั้งเวทีมารวมกันบนตัวเธอ ทุกคนต่างมองเห็นรูปลักษณ์ของหลี่อินเฟยได้อย่างชัดเจนแล้ว แต่กลับทำให้ทั่วทั้งสนามส่งเสียงทอดถอนใจหนักๆ ออกมา ที่แท้ยามนี้บนใบหน้าของหลี่อินเฟยกำลังถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าคลุมหน้าผืนบาง เปิดเผยเพียงดวงตาหงส์สวยหยาดเยิ้มคู่นั้นของเธอ ขณะที่เบนสายตาก็แฝงไปด้วยการล่อลวงจิตวิญญาณ ต่อให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า หลี่อินเฟยจะต้องเป็นโฉมสะคราญที่สวยเลิศล้ำที่สุดอย่างแน่นอน
เมื่อเสียงเพลง ‘ไม่มีวันยอมแพ้’ ดังขึ้น หลี่อินเฟยทำให้บรรดานักเรียนทหารประทับใจอีกครั้ง บทเพลงนี้กังวาลทรงพลังมาก หลี่อินเฟยร้องอย่างฮึกเหิมคึกคัก ราวกับอยากจะบอกพวกนักเรียนทหารว่า การรุกรานของประเทศศัตรูไม่ได้โค่นล้มจิตใจที่แกร่งกล้าของชาวหัวเซี่ย ทุกคนในที่แห่งนี้ทยอยลุกขึ้นมาภายใต้การปลุกระดมของเสียงเพลง นักเรียนทหารทั้งหมดกำหมัดแน่นด้วยความฮึกเหิม ร้องเสียงดังประสานไปตามท่อน ‘ไม่มีวันยอมแพ้’ ของบทเพลง
ยามนี้ต่อให้หลิงหลานเชื่องช้าอีกสักเพียงใด ก็รู้ว่าหลี่อินเฟยคนนี้ต้องเป็นคนของกองทัพ ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดหาบทเพลงที่เข้ากับสงครามของโรงเรียนทหารในครั้งนี้ได้ติดกันสองเพลง กองทัพเจ้าแผนการอย่างที่คิดไว้จริงๆ ด้วย การมาเยือนของหลี่อินเฟยและบทเพลงทั้งสองนี้จะต้องเพิ่มความแค้นของนักเรียนทหารที่มีต่อผู้รุกรานอย่างยิ่งยวด แค่คิดก็รู้ได้ว่า นักเรียนทหารทั้งหมดในที่แห่งนี้จะต้องเป็นกำลังหลักในการเอาคืนผู้รุกรานเหล่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาสุดท้าย ยามที่ร้องจนถึงท่อนที่ฮึกเหิมเร่าร้อนที่สุด หลี่อินเฟยพลันปลดผ้าคลุมหน้าของตัวเองลง เผยดวงหน้างดงามหยาดเยิ้มเป็นเอกแผ่นดินของเธอ…บรรดานักเรียนทหารทั้งหมดที่ยังคงร้องว่า ‘ไม่มีวันยอมแพ้’ เสียงดังพลันเงียบกริบ ชั่วพริบตานั้นพวกเขาตกตะลึงกับโฉมหน้าที่สวยพิลาสล้ำที่สุดแห่งแผ่นดินของหลี่อินเฟยอย่างสิ้นเชิง
นี่ก็คือหลี่อินเฟย ไม่ต้องพูดถึงเสียงที่สั่นสะท้านจิตใจผู้คน เธอยังครอบครองรูปโฉมที่สวยหยาดฟ้ามาดินสะกดชาวประชาอีกด้วย!
โฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่อินเฟยทำให้ทุกคนในสนามตกตะลึง เฉียวถิงที่อยู่แถวสองซึ่งแต่เดิมทำหน้าเรียบนิ่งเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหลี่อินเฟย หัวใจก็เต้นกระหน่ำขึ้นมา เขาไม่อาจสะกดกลั้นความปรารถนาในใจได้ “นี่ถึงเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับฉัน ฉันจะต้องเอาเธอมาให้ได้!”
ดวงหน้างดงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินของหลี่อินเฟยทำให้หลิงหลานอึ้งไปเหมือนกัน ในฐานะที่เธอเป็นผู้หญิง หลิงหลานเองก็ถูกหน้าตาของหลี่อินเฟยดึงดูดในชั่วพริบตา ทว่าถึงอย่างไรหลิงหลานก็เป็นผู้หญิง บวกกับถูกอาจารย์หมายเลขห้าทรมานอย่างโรคจิตต่างๆ นานาในมิติการเรียนรู้ ทำให้หัวใจของเธอแข็งแกร่งเย็นชา ไม่ได้ลุ่มหลงง่ายดาย
เมื่อหลิงหลานที่ใจเย็นลงเพ่งความสนใจไปที่ดวงหน้างามล่มเมืองของหลี่อินเฟยอีกครั้ง เธอกลับพบว่าดวงหน้านั้นทำให้เธอเกิดความรู้สึกอึดอัด ถึงแม้ว่าสวยหยาดเยิ้มสุดขีด มีเสน่ห์อย่างยิ่งยวด เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแผ่นดินไม่มีสอง แต่หลิงหลานรู้สึกว่าแปลกพิกลอยู่บ้าง ขาดความกลมกลืนเป็นธรรมชาติที่สมควรมีไป นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
คิ้วของหลิงหลานขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะที่ในใจกำลังมึนงงอยู่นั้น หลี่หลานเฟิงที่นั่งข้างเธอก็เกิดอาการสั่นไปทั่วทั้งร่างอย่างควบคุมไม่อยู่ ไม่เพียงเท่านั้น สองมือที่เขาวางอยู่บนเข่าก็สั่นระริกอย่างคุมไม่ได้เช่นกัน…
หลิงหลานตกใจ อดนึกถึงฉากที่เคยเกิดขึ้นตอนหลี่หลานเฟิงนั่งอยู่บนที่นั่งเสริมของหุ่นรบเธอในช่วงถูกบุกจู่โจมทางอากาศไม่ได้ หรือว่าสุขภาพร่างกายที่น่าเป็นห่วงของชีตาห์จะเกิดปัญหาขึ้นมาอีกแล้ว?
หลิงหลานที่กังวลใจอดยื่นมือขวาออกไปกดสองมือที่สั่นระริกของหลี่หลานเฟิงไม่ได้ การกระทำนี้ทำให้ร่างกายของหลี่หลานเฟิงสั่นสะท้านทันที เขาเงยหน้ามองไปที่หลิงหลานฉับพลัน ดวงตาแดงฉานสองข้างเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสิ้นหวัง ถึงขนาดที่ยังมีร่องรอยความบ้าคลั่งอีกด้วย แววตานั้นเหมือนกับว่าเขาถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง…
“ชีตาห์ นายไม่เป็นไรนะ?” หลิงหลานสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของหลี่หลานเฟิงเลยเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
คำถามของหลิงหลานราวกับช่วยชีวิตหลี่หลานเฟิงที่จมอยู่ในโลกของตัวเองไว้ แววตาของเขากระจ่างใสขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลี่หลานเฟิงที่กลับมามีสติพลิกมือกอบกุมมือขวาของหลิงหลานไว้ เขากุมแน่นมากเหมือนกับคว้าที่พึ่งสุดท้ายก็ไม่ปาน ไม่ยอมปล่อยมือ เรี่ยวแรงนั้นทำให้หลิงหลานรู้สึกเจ็บเล็กน้อย
หลิงหลานเกลียดการแตะเนื้อต้องตัวกับคนอื่นมาตลอด ขณะที่เธอกำลังใคร่ครวญว่าจะสะบัดมือใหญ่ของหลี่หลานเฟิงทิ้งดีหรือไม่ เธอกลับสัมผัสได้ว่าฝ่ามือของหลี่หลานเฟิงเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอนึกโยงไปถึงแววตาคลุ้มคลั่งสิ้นหวังของหลี่หลานเฟิงเมื่อสักครู่นี้ ก่อนจะใจอ่อนอย่างช่วยไม่ได้
คิดดูแล้ว สถานะของเธอในตอนนี้คือผู้ชาย ถูกเพื่อนผู้ชายเหมือนกันจับมือก็เป็นเรื่องปกติมาก บวกกับหลี่หลานเฟิงต้องการการปลอบโยนจากเพื่อนมาก…เอาเถอะ ทำดีวันละหนึ่งอย่าง อุทิศมือขวาของเธอปลอบโยนอีกฝ่ายหน่อยละกัน ถึงอย่างไรมือของเธอก็ไม่ได้เสียเนื้อไปสักชิ้นเพราะเหตุนี้ หลิงหลานคิดอย่างมองโลกในแง่ดีมาก
หลิงหลานจึงฝืนตัวเองให้เมินหลี่หลี่หลานเฟิงที่กอบกุมมือของเธอเอาไว้เช่นนี้เอง เธอมองไปที่เวทีต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จดจ่ออยู่กับการวิเคราะห์ปัญหาที่เธอพบเมื่อสักครู่นี้…เอ่อ ก็คือหลี่อิงเฟยคนนั้น ดูสวยไม่เป็นธรรมชาติขนาดนั้น จะไม่มีปัญหาจริงๆ เหรอ?
บางทีความสนใจของหลิงหลานอาจจะอยู่ที่ตัวหลี่หลานเฟิงจนหมด ตรงริมสุด หลี่ซื่ออวี๋ที่เดิมทีถูกเสียงของหลี่อินเฟยดึงดูดนั้น เวลานี้สีหน้าของเขาดูสะพรึงกลัวอย่างหาใดเปรียบ ความหวาดหวั่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราะความงามที่เลิศล้ำของอีกฝ่าย หากแต่เหมือนกับเห็นปีศาจก็ไม่ปาน...
‘ฟึบ’ หลี่ซื่ออวี๋ลุกขึ้นมาฉับพลันอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทำให้ฉางซินหยวนที่กำลังหลงใหลเคลิบเคลิ้มหน้าตาของหลี่อินเฟยเช่นเดียวกันตกใจขึ้นมา ฉางซินหยวนเห็นสีหน้าหวั่นกลัวของหลี่ซื่ออวี๋ ก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง รูปโฉมของหลี่อินเฟยถูกฉางซินหยวนโยนทิ้งไปที่ด้านหลังสมองอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ซื่ออวี๋ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
มือขวาของหลี่ซื่ออวี๋ปิดปากตัวเองทันทีราวกับกลัวว่าตัวเองจะกรีดร้องขึ้นมา ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะทำให้ตัวเองใจเย็นลง แล้วค่อยลดมือขวาลง รีบร้อนตอบกลับมาว่า “ซินหยวน จู่ๆ ฉันนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญที่ยังจัดการไม่เสร็จ ฉันต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ รบกวนนายช่วยขอลากับหัวหน้าแทนฉันทีนะ”
สีหน้าเคร่งขรึมของหลี่ซื่ออวี๋ทำให้ฉางซินหยวนเข้าใจว่า อีกฝ่ายจะต้องมีเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง เขารีบพยักหน้าบ่งบอกว่าจะถ่ายทอดคำพูดให้อย่างแน่นอน ส่วนหลี่ซื่ออวี๋ก็ไม่มีความอดทนอยู่ในคอนเสิร์ตอีกต่อไป และวิ่งออกไปจากสนามกีฬาด้วยความรีบร้อน
เมื่อมาถึงด้านนอกสนามกีฬา สายลมเย็นสบายโชยมา ทำให้สมองของหลี่ซื่ออวี๋ที่เดิมทีตื่นตะลึงแจ่มใสมากขึ้นทันที เนื่องจากทุกคนในโรงเรียนทหาต่างเพ่งความสนใจไปที่คอนเสิร์ตของหลี่อินเฟย หากไม่ได้อยู่ในสนามดูคอนเสิร์ต ก็จะอยู่ในหอพักของตัวเองล็อกอินเข้าไปในโลกในโลกเสมือนจริงดูไลฟ์สด เวลานี้ด้านนอกสนามกีฬาว่างเปล่าไร้ผู้คน
หลี่ซื่ออวี๋รีบเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็เดินมาถึงบริเวณที่มีต้นไม้รอบด้านสงบเงียบอย่างสิ้นเชิง เขากดหมายเลขชุดหนึ่งบนอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองอย่างร้อนอกร้อนใจ สี่ปีมานี้เขาไม่เคยติดต่อหมายเลขนั้นเองมาก่อน แต่ว่ายังคงคอยเก็บลึกไว้ในจิตใจของเขา ไม่เคยลืมเลือน
“อวี๋เอ๋อร์ ไม่นึกเลยว่าหลานก็มีเวลาติดต่อปู่เองเหมือนกัน คิดตกแล้วใช่ไหมว่าจะเตรียมตัวรับการจัดการของปู่กลายเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลหลี่” ชายชราที่น่าเกรงขามคนหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นบนหน้าจอเสมือนจริงของอุปกรณ์สื่อสาร เวลานี้ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมแฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการที่หลี่ซื่ออวี๋ติดต่อหาเขาเอง ทำให้เขาอารมณ์ดีมาก
หลี่ซื่ออวี๋กลับไม่รับรู้ความคิดของชายชรา เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายก็ตะคอกด้วยความเดือดดาลว่า “คุณปู่ครับ หลี่อินเฟยคนนั้นเป็นมายังไงกันแน่?”
“หลี่อินเฟย?” สีหน้ายิ้มแย้มในตอนแรกของชายชราเย็นเยียบลงทันที “หลานเจอเธอแล้ว?” ทันใดนั้นเขาคล้ายกับนึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ ดวงหน้าของชายชราปรากฏความเข้าใจขึ้นมา “จริงด้วยสินะ ตอนนี้เธอกำลังเปิดคอนเสิร์ตทีโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง หลานได้เจอเธอก็เป็นเรื่องธรรมดามาก”
“เธอเป็นใครกันแน่ครับ?” หลี่ซื่ออวี๋กัดฟันเค้นหกคำนี้ออกมาจากไรฟันทีละคำ
ชายชราตอบอย่างเรียบเฉยว่า “ลูกหลานสายรองคนหนึ่งของตระกูลหลี่ จากลำดับอาวุโสแล้ว ถือว่าเป็นญาติผู้น้องของหลาน”
“สิ่งที่ผมถามคือ ใบหน้านั้นได้มายังไงกันแน่ครับ” ความเฉยชาของชายชราทำให้หลี่ซื่ออวี๋ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ก่อนจะคำรามเสียงต่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว
คำถามประโยคนี้ทำให้สีหน้าของชายชราเคร่งขรึมเย็นชามากยิ่งขึ้น “นี่คือท่าทีที่หลานควรปฏิบัติต่อปู่ของหลานเหรอ?”
หลี่ซื่ออวี๋หลับตาสองข้างลงทันทีแล้วถูหน้าตัวเองแรงๆ สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มกลั้นโทสะที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในใจ จากนั้นก็ค่อยลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสองข้างของเขาไม่มีความโกรธเกรี้ยวจากเมื่อสักครู่แล้ว มันเปลี่ยนเป็นใจเย็นลงมาก “ขอโทษด้วยครับ คุณปู่ เมื่อตะกี้ผมทำเกินไป แต่ขอร้องละครับ ปู่บอกผมที ใบหน้าของหลี่อินเฟยเป็นมายังไงกันแน่ครับ?”
การแสดงออกของหลี่ซื่ออวี๋ทำให้ท่าทีของชายชราอ่อนโยนลงมาก เขาตอบกลับเรียบๆ ว่า “ใบหน้านั้นมีอะไรไม่เหมาะสมเหรอ?” คล้ายกับไม่เข้าใจความหมายของหลี่ซื่ออวี๋
“คุณปู่!” หลี่ซื่ออวี๋ร้องเสียงดังอีกครั้ง “ปู่รู้ดี…รู้ดี…” ยามนี้มือซ้ายที่ห้อยลงต่ำของหลี่ซื่ออวี๋กำหมัดแล้วในตำแหน่งที่ชายชรามองไม่เห็น บางทีเขาอาจใช้แรงมากเกินไป เส้นเลือดบนด้านหลังมือจึงปูดขึ้นมา เห็นได้ว่าเวลานี้ไฟโทสะกำลังพวยพุ่งขึ้นในใจหลี่ซื่ออวี๋ ทว่าเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นปู่ของเขาจึงจำเป็นต้องฝืนอดทนไว้
“รู้อะไรดี?” ชายชราถามหลี่ซื่ออวี๋กลับ ในขณะที่ความอดทนของหลี่ซื่ออวี๋ใกล้จะทะลุ ไฟโทสะกำลังจะระเบิดออก ชายชราก็กล่าวต่ออีกประโยคว่า “หลานอยากพูดว่า หลี่อินเฟยหน้าตาเหมือนกับหลี่มู่หลานพี่ชายใหญ่ของหลานใช่หรือเปล่า?”
คำพูดประโยคนี้ทำให้หลี่ซื่ออวี๋ใจเย็นลงฉับพลัน “ผมอยากรู้ว่า ทำไมปู่ต้องทำแบบนี้ด้วยครับ”
“ทำไมหลานอยากถามปู่?” สีหน้าของชายชรากลับราบเรียบอีกครั้ง
“ถ้าเกิดไม่มีการเห็นด้วยจากคุณปู่ หลี่อิงเฟยไม่มีทางปรากฏตัวในสายตาของผู้คนเป็นอันขาด ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลายเป็นนักร้อง เพื่อปกป้องฐานะและเกียรติยศของผู้นำตระกูลรวมถึงผู้สืบทอดแล้ว ตระกูลหลี่ไม่อนุญาตให้คนในตระกูลที่มีหน้าตาเหมือนกับเขาปรากฏตัวขึ้นมาเป็นอันขาด” หลี่ซื่ออวี๋เข้าใจตระกูลหลี่ดี หลี่อินเฟยหน้าตาเหมือนญาติผู้พี่คนโตขนาดนั้นไม่ควรมีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้มีตัวตนก็ต้องเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า นี่คือความเคารพต่อผู้นำตระกูลสายตรงรวมถึงผู้สืบทอดด้วย
“ตอนนี้หลี่มู่หลานยังไม่ใช่ผู้นำตระกูล” ชายชราเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะตอบด้วยคำพูดประโยคนี้
“แต่พี่ใหญ่คือผู้สืบทอดอันดับหนึ่งนะครับ” หลี่ซื่ออวี๋ตวาดเสียงต่ำอีกครา แค่เพราะสาเหตุเรื่องร่างกาย ไม่สามารถกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้ ก็เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของญาติผู้พี่คนโตได้เหรอ? เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่ออวี๋แค้นเคืองตระกูลหลี่ทั้งตระกูล และยิ่งมีเจตนาสังหารหลี่อินเฟยที่มีหน้าตาเหมือนกับญาติผู้พี่คนโตด้วย…
“ห้ามทำเรื่องโง่ๆ นะ เรื่องของหลี่อินเฟยเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสตระกูลหลี่หารือตกลงกันแล้ว ฉันเองก็ห้ามไม่ได้เหมือนกัน” ชายชราคล้ายกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในใจหลี่ซื่ออวี๋จึงเอ่ยน้ำเสียงเข้มงวดโดยพลัน
“ไม่มีวิธีเลยเหรอครับ?” หลี่ซื่ออวี๋ยิ้มหยัน ถ้าเกิดคุณปู่คิดจะปฏิเสธจริงๆ จะไม่มีวิธีการเลยได้อย่างไร เขาเข้าใจวิธีการของคุณปู่ตัวเองดี