I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 418 หัวเดียวกระเทียมลีบ!
ทว่าการลังเลนี้ของเฉียวถิงทำให้โอกาสที่มีอยู่น้อยนิดในตอนแรกหายไปหมดแล้ว และเซี่ยอี๋กับหลินจงชิงที่หมดหนทางได้แต่รอความตายกลับมีโอกาสสวนกลับ
ทั้งสองคนเห็นแบบนั้นในใจก็ลิงโลดมาก พวกเขาขับหุ่นรบของตัวเองพุ่งไปหาเฉียวถิงอย่างอำมหิตโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เข้าไปประจันหน้าแล้ว จังหวะเดียวกันอาจจะต้องเผชิญกับพลังงานลำแสงที่หลี่หลานเฟิงสาดยิงอย่างท่วมท้น แต่มันก็หยุดยั้งการกระทำของพวกเขาไม่ได้แล้ว
หลินจงชิงกับเซี่ยอี๋รู้ดีว่า เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ควบคุมไพ่ราชาที่แข็งแกร่ง พวกเขาไม่มีความสามารถต้านทานตอบโต้กลับเลย อู่จย่งที่ยังเก่งกาจกว่าพวกเขานิดหน่อยได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว ถ้าเกิดลังเลใจ ไม่อาจตัดสินใจได้ทันที มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเสียชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่สามารถใช้วิธีการระเบิดตัวเองมาสร้างความเสียหายให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง
ดังนั้น พอพวกเขาเห็นว่ามีโอกาสเข้าใกล้เฉียวถิง ทั้งสองคนย่อมไม่มีความเกรงกลัว ขณะที่พุ่งไปหาเฉียวถิง พวกเขาแต่ละคนก็กดปุ่มระเบิดตัวเองของหุ่นรบ
เมื่อเห็นฉากนี้ ถังอวี้ที่อยู่ในห้อง VIP อดถอนหายใจไม่ได้พลางเอ่ยว่า “เฉียวถิง เขาไม่เด็ดขาดเกินไปแล้ว” ในช่วงเวลาสำคัญ เฉียวถิงยังคงทำการป้องกัน อาศัยความสามารถของเขา ถ้าเกิดเขาใจเด็ดได้มากกว่านี้อีกหน่อย ออกดาบโจมตีใส่หลิงเทียนหมายเลขหกและหมายเลขเจ็ดโดยไม่ลังเล เขาย่อมสังหารสองคนนี้ได้ในชั่ววินาที เช่นนั้นหลิงเทียนหมายเลขหกกับหมายเลขเจ็ดก็จะไม่มีโอกาสเข้าใกล้เฉียวถิงเลย และก็ไม่สามารถใช้วิธีการระเบิดตัวเองแบบนี้มาทำร้ายเฉียวถิงได้ด้วย
ถังอวี้ที่มีสายตาแหลมคมเห็นแวบเดียวก็มองแผนการของหลิงเทียนหมายเลขหกกับหมายเลขเจ็ดออก น่าเสียดายที่เฉียวถิงกลับลังเลในช่วงเวลาสำคัญ ความลังเลที่ไม่ควรเกิดขึ้นนี้ได้มอบโอกาสระเบิดตัวเองแก่หลิงเทียนหมายเลขหกกับหมายเลขเจ็ดที่ตอนแรกไม่มีโอกาสเลยสักนิดเดียว
“เฉียวถิงน่าจะลำบากแล้ว” ผู้อำนวยการมองเห็นชัดเจนมากเช่นกัน เทียบกับถังอวี้แล้ว เขามองและวิเคราะห์จากสภาพความเป็นจริงมากกว่า ความจริงแล้วเฉียวถิงย่อมเป็นฝ่ายได้เปรียบมาตั้งแต่แรก แต่เขาทำการตัดสินใจพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการต่อสู้ นี่จึงทำให้ความได้เปรียบของเขาหายไปทีละน้อย ถ้าหากเฉียวถิงทำพลาดต่อไปเรื่อยๆ ละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าความได้เปรียบในฐานะที่เขาเป็นผู้ควบคุมไพ่ราชาจะหายไปจนหมด โดยภาพรวมแล้ว เขาบกพร่องอยู่บ้างอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าเกิดเฉียวถิงยังไม่ทุบหม้อข้าวจมเรือละก็ ศึกใหญ่ครั้งนี้น่าจะอันตรายแล้วครับ” ถังอวี้ขมวดคิ้วกล่าว ถึงแม้เขาไม่ได้มองเห็นชัดเจนขนาดผู้อำนวยการ แต่เขาก็รู้เหมือนกันว่า ความได้เปรียบของเฉียวถิงลดลงไปเรื่อยๆ แล้ว ถ้าเกิดไม่เดิมพันดูสักตั้ง เกรงว่าผลแพ้ชนะยากจะคาดการณ์แล้ว
“เฉียวถิงน่าจะนึกไม่ถึงว่าหลิงเทียนหมายเลขสิบเอ็ดคนนั้นจะโหดเหี้ยมขนาดนี้” ผู้อำนวยการหาสาเหตุความผิดพลาดของเฉียวถิงเจอ พอกล่าวถึงตรงนี้ ผู้อำนวยการก็อดส่ายหน้าถอนหายใจไม่ได้และเอ่ยว่า “บอกตามตรง วิธีการของหมายเลขสิบเอ็ดคนนี้เกินเลยไปหน่อย เขาไม่รีรอที่จะสละเพื่อนร่วมทีมของตัวเองเพื่อหยุดเฉียวถิงเลย” เขาที่เกษียณแล้วหวงแหนพวกเพื่อนร่วมรบเก่าแก่ที่เคยต่อสู้ร่วมกันอย่างยิ่ง ดังนั้นเลยไม่อาจยอมรับพฤติกรรมแบบนี้ได้นิดหน่อย
“ถ้าเกิดหลิงเทียนหมายเลขสิบเอ็ดไม่ทำแบบนี้ หลิงเทียนหมายเลขหกกับหมายเลขเจ็ดจะต้องโดนเฉียวถิงฆ่าทิ้งและขับออกจากสนามทันทีอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ” ถังอวี้กลับเห็นค้าน “ในเมื่อจุดจบเหมือนกัน ไม่สู้ต่อสู้หลังชนฝาดีกว่า บางทีอาจจะทำให้เพื่อนร่วมทีมของตัวเองไม่ต้องตายอย่างเสียเปล่าขนาดนั้นก็ได้”
“นอกจากนี้ ผู้อำนวยการครับ นี่เป็นโลกเสมือนจริง การเสียชีวิตไม่ใช่การตายที่แท้จริงนะครับ” ถังอวี้เตือนผู้อำนวยการว่าโลกเสมือนจริงยังคงแตกต่างจากโลกความเป็นจริง
“ฉันแค่กลัวว่า เด็กพวกนี้จะติดนิสัยจากในนี้เข้า นั่นก็คือตราบใดที่ได้รับชัยชนะ ก็ฃสังเวยทุกอย่างที่สามารถสละทิ้งได้น่ะสิ…” ถึงแม้โรงเรียนทหารจะมีการแข่งขันอย่างดุเดือด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สนามรบที่แท้จริง ที่นี่สามารถทำตัวอำมหิตไร้ความปรานีแบบนี้ได้ ทว่าพวกเขาจะยิ่งไม่สนใจทุกสิ่งทุกอย่างในสนามรบหรือเปล่า? ผู้อำนวยการอดเกิดความกังวลแบบนี้ขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“บางครั้ง ต่อให้ไม่อยากสังเวยก็จำเป็นต้องสังเวยชีวิตนะครับ” คำพูดของผู้อำนวยการทำให้ดวงตาทั้งสองข้างของถังอวี้ทะมึนลงทันที ฉายแววเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งออกมารางๆ ราวกับหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง
ความผิดปกติของถังอวี้ทำให้ผู้อำนวยการตระหนักขึ้นมาได้ฉับพลัน เขารีบกล่าวเปลี่ยนเรื่องว่า “เรื่องของอนาคต ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราดูต่อไปกันเถอะ บางที ไม่แน่ว่าเด็กพวกนี้อาจจะนำเซอร์ไพรส์บางอย่างมาให้พวกเราก็ได้” ผู้อำนวยการงุ่นง่านใจเล็กน้อยที่ตัวเองพูดจาโดยไม่ไตร่ตรองมากเกินไป เผลอแตะบาดแผลที่ถังอวี้ซ่อนลึกไว้ในใจโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถังอวี้ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ เท่านั้น เวลานี้เขาหมดความสนใจที่จะสนทนาแล้ว
ในระหว่างที่ถังอวี้พูดคุยกับผู้อำนวยการนั้น เซี่ยอี๋กับหลินจงชิงก็ระเบิดตัวเองตายเหมือนกับที่พวกเขาคาดการณ์ไว้จริงๆ
ควรพูดว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ทว่าไม่ได้บรรลุเป้าหมายทั้งหมดของพวกเขา แม้เซี่ยอี๋กับหลินจงชิงจะปะทะเฉียวถิงอย่างรวดเร็วสุดขีด แต่อย่างไรเสียเฉียวถิงก็คือเฉียวถิง อันดับหนึ่งด้านหุ่นรบของโรงเรียนทหารไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอม ความสามารถในการควบคุมของเขาโดดเด่นเหนือใครจริงๆ ต่อให้อยู่ใกล้แค่เอื้อม ไม่มีเวลาพอให้เขาหลบการจู่โจมฉับพลันของทั้งคู่ได้อย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็ทำการบังคับอย่างเร่งด่วนทันที จึงทำให้เขาหลบการชนของเซี่ยอี๋ได้สำเร็จ ส่วนหลินจงชิงก็แค่เฉียดผ่านหุ่นรบของเขานิดหน่อยเท่านั้น
ถ้าหากเซี่ยอี๋กับหลินจงชิงไม่ได้เลือกระเบิดตัวเอง พูดได้เลยว่าเฉียวถิงแก้การจู่โจมของพวกเขาสองคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เซี่ยอี๋กับหลินจงชิงสองคนตั้งเป้าหมายระเบิดตัวเองไว้แต่แรก ดังนั้นพอพวกเขากำลังเฉียดผ่านหุ่นรบของเฉียวถิง เผชิญกับลำแสงที่หลี่หลานเฟิงยิงมา ขณะที่กำลังเปลี่ยนเป็นการเข่นฆ่ากันเองนั้น พวกเขาทั้งสองก็ระเบิดตัวเองสำเร็จแล้ว
‘ตูมๆ’ เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังขึ้นสองครั้ง หุ่นรบของเซี่ยอี๋กับหลินจงชิงระเบิดที่ด้านนอกหุ่นรบของเฉียวถิงพร้อมเพรียงกัน การระเบิดสองสายสร้างพลังงานมหาศาลซัดเฉียวถิงจนสลบไปทันที หุ่นรบที่ไร้คนขับสูญเสียการควบคุมฉับพลัน จากนั้นหุ่นรบก็ร่วงหัวทิ่มลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
หลี่หลานฟิงที่อยู่บนฟ้าเห็นแบบนั้นก็อดยินดีขึ้นมาในใจไม่ได้ รู้ว่าเซี่ยอี๋กับหลินจงชิงระเบิดตัวเองสำเร็จแล้ว เขารีบขับหุ่นรบของตัวเองบินตามลงมา ลำแสงยิงใส่หุ่นรบไพ่ราชาที่สูญเสียการควบคุมโดยไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว
ปังๆๆ! เสียงของลำแสงหลายสายที่ยิงโดนหุ่นรบดังขึ้นติดต่อกัน ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะโล่แสงหุ่นรบของเฉียวถิงยังรักษาการป้องกันพลังงานไว้ในระดับหนึ่ง เกรงว่าปืนหลายนัดนี้อาจจะสร้างความเสียหายให้กับหุ่นรบตัวนี้จำนวนหนึ่งแล้ว แต่ก็เพราะปืนหลายนัดนี้ โล่แสงบนหุ่นรบของเฉียวถิงจึงเปลี่ยนเป็นมืดสลัวขึ้นมาทันที ขอเพียงหลี่หลานเฟิงยิงอีกไม่กี่นัด คาดว่าเขาสามารถทำลายโล่แสงของหุ่นรบตัวนี้ได้แล้ว เวลานั้น หุ่นรบไพ่ราชาที่ไม่มีพลังงานป้องกันก็จะต้านทานการโจมตีจากอาวุธใดๆ ไม่ได้เลย
อย่างไรเสีย เฉียวถิงคืออัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของโรงเรียนทหารในหลายปีมานี้ ไม่ว่าพลังจิตหรือว่าคุณสมบัติร่างกายต่างเรียกได้ว่าอยู่ระดับปีศาจอัจฉริยะ แค่พริบตาเดียวเขาก็ได้สติกลับมา เมื่อเขาพบว่าหุ่นรบตัวเองตกสู่สภาพเสียการควบคุม และเห็นหลี่หลานเฟิงที่อยู่บนฟ้าไล่ล่าสังหารอย่างสุดชีวิต เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์อับจนแบบนี้ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกเลย สิ่งแรกที่เขาตัดสินใจไม่ใช่กอบกู้หุ่นรบที่สูญเสียการควบคุม หากแต่ยกปืนลำแสงในมือขึ้นมา เล็งไปยังหลี่หลานเฟิงที่อยู่บนฟ้า ยิงสวนกลับไปอย่างเยือกเย็น
‘ปังๆๆ!’ ถึงแม้ทั้งคู่ต่างเชี่ยวชาญการโจมตีระยะไกล ทว่าความสามารถในด้านนี้ของเฉียวถิงเก่งกาจกว่าหลี่หลานเฟิง แค่สามนัดก็บีบหลี่หลานเฟิงจำต้องหลบแล้ว การโจมตีของลำแสงในมือจึงหยุดชะงักลงเพราะเหตุนี้เอง นี่ทำให้เฉียวถิงอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้…
“คำเตือน หุ่นรบเข้าสู่ระดับการบินต่ำกว่า 100 เมตรแล้ว มีความเสี่ยงตก ปัจจุบัน 90 เมตร 80 เมตร…50 เมตร 40 เมตร 30 เมตร! อันตราย อันตราย โปรดเพิ่มระดับความสูงของหุ่นรบทันที…” เพิ่งจัดการการโจมตีของหลี่หลานเฟิงเสร็จ เวลานี้หุ่นรบของเฉียวถิงเกิดวิกฤติใหม่อีกแล้ว ออปติคัลคอมพิวเตอร์ของหุ่นรบแจ้งเตือนฉุกเฉินขึ้นมา เตือนเฉียวถิงว่า หากเกินขีดจำกัด 30 เมตรแล้ว ไม่ดันหุ่นรบให้สูงขึ้นอีก ก็จะหลีกเลี่ยงจุดจบหุ่นรบตกไม่ได้…
“ขึ้นมาซะ!” เฉียวถิงเลิกโจมตีหลี่หลานเฟิงชั่วคราว ทุ่มสมาธิในการขับหุ่นรบ เปิดใช้งานเครื่องยนต์ไอพ่นหลักและสำรองทั้งหมด ขณะเดียวกันก็โบกสะบัดนิ้วมืออย่างว่องไว เปลี่ยนค่าสัมประสิทธิ์คงที่ของหุ่นรบ
ท้ายที่สุดหุ่นรบที่ร่วงลงมาอย่างรวดเร็วพลันลอยค้างอยู่ในระดับความสูงยี่สิบเมตรกว่า พลังมหาศาลของเครื่องยนต์ไอพ่น รวมถึงหุ่นรบที่เปลี่ยนให้เหมาะสมกับการบินต่ำมากที่สุดต้านทานแรงดึงดูดของผิวโลกอย่างสุดชีวิต เสียงกระหึ่มอย่างรุนแรงของเครื่องยนต์ไอพ่นดังไปทั่วสนามประลอง เนื่องจากอยู่ใกล้กับพื้นมาก กระแสลมที่เครื่องยนต์ไอพ่นระเบิดออกมาได้ทำให้ทรายนับไม่ถ้วนบนพื้นกระเซ็นขึ้น ไม่นานฝุ่นทรายก็ตลบอบอวลไปทั่ว น่านฟ้าที่สูงยี่สิบสามสิบเมตรกลายเป็นโลกแห่งทรายในพริบตา ระดับความขุ่นมัวทำให้ผู้คนไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ด้านในได้ชัดเจน
สุดท้ายเฉียวถิงที่ควบคุมหุ่นรบได้ก็แบ่งสมาธิขับหุ่นรบให้ไต่ขึ้นช้าๆ ไปพลางโดยที่ไม่ลืมเหนี่ยวไกปืนลำแสงไปพลาง ยิงใส่หลี่หลานเฟิงที่พยายามโจมตีเขา…
หุ่นรบไต่ขึ้นไปยังระดับความสูงห้าสิบเมตรได้ในที่สุด หนีพ้นจากวิกฤติหุ่นรบตกมาได้แล้ว แรงขับเคลื่อนทั้งหมดของหุ่นรบก็กลับคืนเป็นปกติ เฉียวถิงมองคำแจ้งเตือนว่าความเสียหายไปถึง 30% บนหน้าจอด้วยความเจ็บปวดใจ การระเบิดตัวเองของเด็กสองคนนั้นเมื่อสักครู่ยังคงนำความเสียหายมาให้หุ่นรบของเขาในระดับหนึ่ง
เฉียวถิงคับแค้นใจสุดขีด เกลียดชังหลี่หลานเฟิงที่อยู่บนฟ้ามากยิ่งขึ้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะการโจมตีแบบวงกว้างโดยไม่สนมิตรหรือศัตรูของอีกฝ่าย เขาก็คงไม่ลังเลใจเพราะเหตุนี้ จนทำให้หุ่นรบสองตัวนั้นมีโอกาสระเบิดตัวเอง เฉียวถิงโยนความผิดพลาดของตัวเองมากล่าวโทษว่าเป็นเพราะความบ้าคลั่งของหลี่หลานเฟิง เขาเลยตัดสินใจว่าจะฉวยโอกาสกำจัดหลี่หลานเฟิงที่ติดหนึบคนนี้ก่อนในตอนที่สองคนสุดท้ายของหลิงเทียนยังมาไม่ถึง
ขณะที่เฉียวถิงอยากเคลื่อนไหวนั้น ‘ติ๊ด!’ ‘ติ๊ด!’ ‘ติ๊ด!’ เสียงแจ้งเตือนของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของโลกหุ่นรบก็ดังขึ้นติดต่อกันสามครั้ง เฉียวถิงกวาดตามองข้อความแจ้งเตือนของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักแวบหนึ่งตามจิตใต้สำนึก เนื้อหานั้นแทบจะทำให้เขากระอักเลือดตาย ที่แท้ลูกทีมที่เหลืออยู่เพียงสามคนของเขาเพิ่งจะถูกคนของหลิงเทียนสังหารทิ้งขับไล่ออกไปจากสนามในช่วงเวลาไม่กี่วินาที หรือพูดอีกอย่างก็คือ เหลยถิงเหลือเพียงเขา…เฉียวถิงคนเดียวแล้ว เขาหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแท้จริง
ทว่ากลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนยังคงห้อยตัวเลขสามคนไว้สูง เฉียวถิงเห็นแล้วไฟโทสะก็ลุกโชนขึ้นในหัวใจ เดิมทีคิดว่านี่เป็นการต่อสู้ที่ได้เปรียบเพียงฝ่ายเดียว เวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นเหลยถิงของพวกเขาถูกอัดจนปลิดปลิวราวใบไม้ร่วง ถึงขนาดที่เขาก็ตกที่นั่งลำบากอยู่บ้าง นี่ทำให้เฉียวถิงเคียดแค้นใจขึ้นมา
เฉียวถิงจ้องมองหลี่หลานเฟิงที่ยังคงรักษาระยะห่างกับเขาไว้ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร ซึ่งจิตสังหารรุนแรงที่มาอย่างฉับพลันนี้ทำให้หลี่หลานเฟิงที่อยู่ห่างไกลหัวใจเย็นยะเยือก เขาเคยสัมผัสจิตสังหารที่ทรงพลังมากกว่านี้จากตัวหลิงหลานมาก่อน ทำให้เขารู้ดีว่าการต่อสู้นับจากนี้ไปจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เขากำปืนลำแสงในมือไว้แน่น ตั้งสมาธิเตรียมพร้อมขึ้นมา
ทันใดนั้นหุ่นรบของเฉียวถิงพลันบิดตัวกลางอากาศ วินาทีถัดมาก็มาถึงข้างกายหลี่หลานเฟิง ในช่วงเวลาสำคัญ เฉียวถิงทิ้งการโจมตีระยะไกลที่ตัวเองเชี่ยวชาญมากที่สุด และเลือกต่อสู้ระยะประชิดที่ค่อนข้างอ่อนด้อยแทน การกระทำที่อยู่ เหนือความคาดหมายนี้ทำให้ผู้ชมการประลองทุกคนต่างอดอุทานขึ้นมาไม่ได้ ไม่เข้าใจการตัดสินใจของเฉียวถิงไปชั่วขณะ