I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 425 เขตแดน!
“สุดยอดขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณ!” ดวงตาทั้งสองข้างของเฉียวถิงส่องประกาย เขารู้ระดับทักษะต่อสู้มือเปล่าของหลิงหลานตั้งแต่หนึ่งปีก่อนแล้ว ตอนนั้นเขาอาจจะยังไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ทว่าตอนนี้ก็ไม่แน่แล้ว
“ฉันบอกแล้วไงว่า นายไม่มีทางเอาชนะได้ตลอดกาล!” มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มหยัน สิ้นเสียงคำพูด เธอก็ปลดปล่อยพลังบนร่าง ความกดดันทรงอำนาจที่แข็งแกร่งและมีไอเย็นเยียบสายหนึ่งปกคลุมไปทั่วห้องควบคุมในชั่วพริบตา เฉียวถิงรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิทั่วทั้งห้องควบคุมกำลังดิ่งฮวบลง ไอเย็นที่ไม่อาจขับออกจู่โจมตรงเข้ามาที่หัวใจ เขารู้สึกว่าแขนขาของตัวเองใกล้จะถูกแช่แข็งก็ไม่ปาน
เวลานี้เอง เขาเห็นกำปั้นของตัวเองที่ยันฝ่ามือของหลิงหลานไว้ปรากฏชั้นน้ำแข็งบางๆ ยิ่งไปกว่านั้น ชั้นน้ำแข็งนี้กำลังแผ่ขยายไปที่แขนช้าๆ…
เฉียวถิงเห็นแบบนั้น คิ้วก็ขมวดแน่น ปล่อยพลังของร่างเขาออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย พยายามขัดขวางการแผ่ขยายของชั้นน้ำแข็งตรงกำปั้น แต่เขาก็สังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่า เมื่อพลังของเขาสัมผัสชั้นน้ำแข็งก็เหมือนกับน้ำที่หยดลงไปในมหาสมุทร หายวับไปในพริบตา โดยที่ไม่เห็นระลอกคลื่นเลยสักนิดเดียว
ทำไมถึงไม่ทำงาน? ทันใดนั้นสมองของเฉียวถิงมีความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นมา สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด ร้องอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ “เขตแดน? นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
ไม่อาจกล่าวโทษที่เฉียวถิงไม่เชื่อ ควรรู้เอาไว้ว่าการกลายเป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนไม่ใช่เรื่องที่อาศัยเพียงการหยั่งรู้แล้วก็ทำได้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อีกสักแค่ไหนก็ต้องผ่านการสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้จริงหลายปีจนยากจะนับได้ ผ่านการทดสอบฝึกฝนมาอย่างโชกโชน เพื่อที่จะหยั่งรู้ความลี้ลับของเขตแดนภายใต้โอกาสความบังเอิญที่มีอยู่เล็กน้อย ถึงค่อยเข้าสู่ระดับของยอดฝีมือชั้นยอดนี้ ในประวัติศาสตร์หลายหมื่นปีของหัวเซี่ยยังไม่เคยปรากฏว่ามีคนเข้าสู่ระดับเขตแดนโดยที่อายุต่ำกว่าสามสิบมาก่อนเลย ต่อให้หลิงหลานเป็นอัจฉริยะ เป็นปีศาจอีกสักแค่ไหน หากไม่มีการสั่งสมประสบการณ์ต่อสู้จริงก็ไม่มีทางเข้าสู่ขอบเขตที่ทำให้ผู้คนทั้งนับถือทั้งอิจฉาได้ตอนอายุสิบเจ็ด ต่อให้เป็นตัวเฉียวถิงเอง เขาที่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณก็ไม่กล้าพูดเหมือนกันว่า อีกสิบกว่าปีให้หลัง เขาสามารถเข้าสู่ระดับนั้นได้…
เวลานี้เฉียวถิงไม่รู้เลยว่า ถึงแม้หลิงหลานดูเหมือนมีอายุแค่สิบเจ็ดปี แต่เนื่องจากเธอมีมิติการเรียนรู้ ผ่านความทุกข์ทรมาน ผ่านการเข่นฆ่าสังหารมานับครั้งไม่ถ้วนด้านใน ประสบการณ์ที่สั่งสมมาย่อมไม่น้อยไปกว่าประสบการณ์หลายสิบปีของคนทั่วไป
เมื่อเห็นสีหน้าของเฉียวถิงเต็มไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด แววตาของหลิงหลานก็เผยร่องรอยความเวทนา เธอเอ่ยอย่างนิ่งเรียบว่า “เรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เมื่ออยู่กับฉันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
เฉียวถิงได้ยินคำกล่าว แววตาพลันหดลง เขาเข้าใจความหมายนี้แล้ว ไม่นึกเลยว่าการคาดการณ์ของเขากลายเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้จู่โจมเข้าที่หัวใจอย่างเงียบเชียบ ทำให้เฉียวถิงนิ่งงันเหมือนหุ่นไก่ไปชั่วขณะ
ทว่าหลังจากนั้น คำพูดประโยคต่อมาของหลิงหลานก็เรียกสติเขา “นายควรรู้สึกว่าโชคดีนะ เพราะว่านายเป็นคนแรกที่ได้สัมผัสเขตแดนของฉัน!”
“เปิดใช้งานเขตแดน!” นี่เป็นความจงใจของหลิงหลาน เขตแดนสามารถเปิดใช้งานอย่างเงียบๆ ได้ แต่หลิงหลานกลับจงใจใช้คำพูดมาโจมตีเฉียวถิง ตอนที่เธอเพิ่งจะเจอเฉียวถิง ความสำรวมและความถ่อมตนของเฉียวถิงทำให้หลิงหลานเกิดความระแวดระวัง
เฉียวถิงเป็นอัจฉริยะ หลิงหลานรู้ดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอมีมิติการเรียนรู้ มีการสั่งสอนชี้แนะอย่างตั้งอกตั้งใจจากอาจารย์ของมิติ มีนิ้วทองคำสนับสนุน ความสามารถของเธอในปัจจุบันย่อมไม่อาจไปถึงความสามารถของเฉียวถิงในยามนี้ได้แน่นอน อัจฉริยะแห่งยุคที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถ และมีความพยายามแบบนี้ดันโชคร้ายกลายเป็นคู่ต่อสู้ของเธอ และตอนนี้เขารู้จักการอดทนข่มกลั้น รู้จักการนอนฟืนแข็งกินดีขม[1] หลิงหลานคิดดูแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องดีอะไร ถ้าเกิดให้อีกฝ่ายเติบโตขึ้นมาแบบนี้ พอถึงเวลาที่เขามาหาเรื่องเธออีกครั้ง ย่อมเป็นโศกนาฏกรรมอย่างแน่นอน
หลิงหลานรู้ดีว่า หากต้องการใช้ชีวิตอย่างมั่นคงปลอดภัยก็ต้องตัดภัยร้ายทิ้งตั้งแต่ต้น ดังนั้นหลิงหลานถึงได้ก้าวร้าวขึ้นมาฉับพลัน คิดจะปราบเฉียวถิงอย่างสิ้นเชิง อยากให้เฉียวถิงเกิดมารในใจ ไม่มีความกล้ามาต่อสู้กับเธออีก!
หลังจากเสียงของหลิงหลานนี้ เฉียวถิงก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งก็ไม่ปาน เขาถึงขนาดเกิดความเข้าใจผิดว่า เลือดของตัวเองกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว
“ไม่ได้ ฉันจะโดนแช่แข็งไม่ได้ ฉันต้องขยับ ฉันต้องขยับให้ได้” เฉียวถิงเป็นคนเย่อหยิ่ง จะยอมจำนนง่ายดายแบบนี้ได้อย่างไร? เขากู่ร้องในใจ อาศัยเจตจำนงที่แข็งแกร่ง ให้ตัวเองชักแขนของตนกลับมาอย่างแรง…
พอมองเฉียวถิงที่ใบหน้าบิดเบี้ยวทว่ายังคงไม่ยอมศิโรราบ แววตาของหลิงหลานก็มีร่องรอยการยอมรับพาดผ่านอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เฉียวถิงจะทำตัวแข็งกร้าววางอำนาจบาตรใหญ่มากเกินไป แต่ส่วนลึกยังคงมีการยึดมั่นในหลักปฏิบัติของทหารหัวเซี่ยอยู่…เฉียวถิงที่เป็นแบบนี้ทำให้หลิงหลานชื่นชม ความคิดที่อยากทำลายอีกฝ่ายในตอนแรกเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที เธอเก็บงำพลังของเขตแดนเล็กน้อย ให้เฉียวถิงชักกำปั้นของเขาออกจากฝ่ามือของเธอได้
“ย้าก...” เฉียวถิงเก็บหมัดของตัวเองกลับมาได้สำเร็จ แม้หลิงหลานเก็บงำพลังเขตแดนแล้ว ทว่าความสามารถของเขตแดนห่างชั้นกับพลังปราณมากเกินไป เฉียวถิงฝืนดึงพลังของตัวเองออกมาเกินตัวเพื่อต้านทานพลังของเขตแดนที่ผูกมัดไว้ ทำให้เขาโดนพลังสะท้อนกลับจนได้รับบาดเจ็บภายใน ก่อนจะกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำอย่างยั้งไม่อยู่
เมื่อเห็นเฉียวถิงอาศัยความสามารถของตัวเองสลัดหลุดจากการควบคุมของเธอได้อย่างราบรื่น หลิงหลานก็ถอนเขตแดนออกอย่างรวดเร็ว สายตาเย็นเยียบจ้องมองอีกฝ่าย ในเมื่อเธอตัดสินใจปล่อยอีกฝ่ายไป หลิงหลานก็ไม่ฉวยโอกาสได้ทีขี่แพะไล่ต่อเหมือนกัน
เมื่อไม่มีการควบคุมของเขตแดน เฉียวถิงก็ถอยหลังติดต่อกันหลายก้าวโดยไม่ลังเล บางทีแรงผูกมัดหายไปอย่างกะทันหันมากเกินไป เฉียวถิงเลยเตรียมตัวไม่พอ ฝีเท้าที่ถอยหลังดูเหมือนโซเซอยู่บ้าง หลังจากที่ถอยหลังติดต่อกันสี่ห้าก้าว เฉียวถิงที่ยืนได้มั่นคงแล้วค่อยเอามือขวากดไปที่หน้าอกตัวเองเบาๆ ฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสที่มาจากภายในร่างกาย แววตาเปลี่ยนเป็นดำทะมึน ถึงขนาดที่มีร่องรอยความสิ้นหวังอยู่ด้านใน…
หรือว่าโลกใบนี้มีปีศาจอัจฉริยะอยู่จริงๆ? อายุสิบเจ็ดก็ไปถึงระดับเขตแดนแล้ว ปีศาจอัจฉริยะแห่งยุคแบบนี้ เขาสามารถเอาชนะได้จริงๆ เหรอ? ความสงสัยแล่นวาบขึ้นในใจ ทว่าแป๊บเดียว เฉียวถิงก็กลับมาเยือกเย็นดังเดิม เขานึกได้ว่านี่ไม่ใช่ยุคหัวเซี่ยโบราณที่ทักษะการต่อสู้มือเปล่าเรืองอำนาจ หากแต่เป็นยุคที่หุ่นรบคือราชา เขาเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในโรงเรียนทหารที่เลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาได้ตอนปีสี่ ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงเซียวที่เป็นตำนานของหัวเซี่ยเหมือนกัน ต่อให้อีกฝ่ายเป็นปีศาจอัจฉริยะด้านทักษะการต่อสู้มือเปล่า แต่ในด้านหุ่นรบ เขา เฉียวถิงยังคงแข็งแกร่งที่สุด!
เฉียวถิงจิตใจสงบลงแล้ว แววตาก็เปล่งประกายอีกครั้ง แต่พอเขานึกได้ว่าตอนนี้หลิงหลานเป็นผู้ควบคุมระดับพิเศษแล้ว ยากจะรับรองว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเลื่อนขั้นเป็นไพ่ราชาได้สำเร็จในอีกสองปี เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ในใจเฉียวถิงยิ่งหวาดหวั่นหลิงหลานมากกว่าเดิม สายตาที่มองไปทางอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นทะมึนยากจะหยั่งรู้ได้
ต่อให้หลิงหลานไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเฉียวถิงมากนัก แต่เธอก็พอรับรู้ได้เจ็ดแปดส่วน ไม่ใช่ว่าหลิงหลานเชี่ยวชาญการอนุมานหรือการคาดการณ์ หากแต่เสี่ยวซื่อที่ทำการจับตามองเฉียวถิง 360 องศา ไม่ได้พลาดการเปลี่ยนแปลงทางสายตาเล็กๆ น้อยๆ ของเฉียวถิงเลย ยิ่งไปกว่านั้น ด้านหลังเสี่ยวซื่อมีที่ปรึกษาอาวุโสนับไม่ถ้วน (อาจารย์หมายเลขห้ารับหน้าที่เป็นกำลังหลัก) ไม่นานก็วิเคราะห์ความคิดที่แท้จริงของเฉียวถิงออก และเสี่ยวซื่อก็บอกผลการวิเคราะห์เหล่านี้ให้ลูกพี่ของตน แน่นอนว่า เสี่ยวซื่อเอาคุณงามความดีมาเป็นของตัวเองอย่างหน้าไม่อายมาก ไม่เปิดเผยว่าด้านหลังตัวเขายังมีที่ปรึกษาอาวุโสด้วย
พอเห็นเฉียวถิงกลับมามีความมั่นใจดังเดิม หลิงหลานก็ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือว่าควรกังวลดี หลิงหลานชื่นชมในความแข็งแกร่งทรหดของเฉียวถิง เธอครุ่นคิดสักพักและเอ่ยว่า “จากนี้ไป ถ้านายพร้อมแล้วก็มาหาฉันได้ตลอด”
ถึงแม้สีหน้าและน้ำเสียงของหลิงหลานยังคงเย็นยะเยือกอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่เฉียวถิงยังคงสัมผัสได้ว่า หลิงหลานไม่ได้กดดันอย่างรุนแรงเหมือนในตอนแรกแล้ว นี่ทำให้ความรู้สึกมากมายสับสนปนเปขึ้นในใจเฉียวถิง ไม่นึกเลยว่า เขา เฉียวถิงก็มีช่วงเวลาที่โดนคนข่มเหงเหมือนกัน นี่เป็นผลกรรมที่เขากดขี่คนอื่นในตอนนั้นหรือเปล่า?
เฉียวถิงยิ้มขื่น เขาปลุกใจตัวเองให้ฮึกเหิม ก่อนจะมองไปยังสมาชิกกลุ่มเหลยถิงที่แนบชิดมุมกำแพงคนนั้นแล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ!”
สมาชิกกลุ่มคนนั้นรีบพุ่งเข้ามา ทำหน้าเหมือนรอดพ้นจากภัยพิบัติ ตอนที่หลิงหลานเปิดเขตแดนเมื่อสักครู่นี้ ถึงแม้เขาไม่ได้อยู่ข้างในเขตแดน แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างสายหนึ่ง เขาเกือบนึกว่าตัวเองจะตายตรงนี้แล้ว เวลานี้ได้ยินหัวหน้ากลุ่มของตัวเองกำลังพาเขาออกไป เขาก็รีบพุ่งตามเข้าไปติดๆ ไม่กล้ารั้งอยู่อีกต่อไป ความเร็วนั้นราวกับว่าด้านหลังมีผีร้ายตามติดก็ไม่ปาน พริบตาเดียวก็วิ่งออกไปจากห้องควบคุมแล้ว
ก่อนที่เฉียวถิงจะจากไป เขามองหลิงหลานแวบหนึ่งอีกครั้ง แววตาดูซับซ้อนอย่างยิ่งยวด…เขาที่ใจเย็นลงแล้วรู้ดีว่า เมื่อสักครู่หลิงหลานออมมือให้แล้ว
คนของเหลยถิงออกไปจากศูนย์บัญชาการอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของเฉียวถิง ส่วนสมาชิกกลุ่มหลิงเทียนที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วก็กรูเข้าไปในศูนย์บัญชาการที่เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งเมื่อคนของเหลยถิงย้ายออกไป ป้ายชื่อที่แต่เดิมแขวนเอาไว้สูงบนหน้าประตูก็เปลี่ยนจากเหลยถิงมาเป็นหลิงเทียนเช่นกัน!
“เฉียวถิง…” หลี่หลานเฟิงมองเงาหลังของเฉียวถิงที่จากไป คิ้วก็ขมวดน้อยๆ เขามาสายอยู่บ้าง ตอนที่เพิ่งจะมาถึงศูนย์บัญชาการก็เห็นเฉียวถิงพาคนจากไป เขาที่หวาดหวั่นเฉียวถิงมาตลอดจึงเพ่งความสนใจไปที่ทุกการเคลื่อนไหวของเฉียวถิงอย่างยิ่งยวด พูดได้ว่าเข้าใจอีกฝ่ายดีมาก
แม้มองเพียงแวบเดียว แต่หลี่หลานเฟิงที่ประสาทสัมผัสไวยังคงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย จะว่ายังไงดีนะ เฉียวถิงในยามก่อนเป็นคนหยิ่งทระนงวางอำนาจบาตรใหญ่ คิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้ใด แสดงความสามารถของตัวเองออกมาทั้งหมด ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ ถึงแม้คนแบบนี้ทำให้คนส่วนหนึ่งเลื่อมใสต่อผู้ที่แข็งแกร่ง แต่ก็ทำให้คนบางส่วนไม่ชอบถึงขนาดที่รังเกียจ ต่อให้ความสามารถของเฉียวถิงแข็งแกร่งมากมาโดยตลอด อยู่เหนือกว่าทุกคนหนึ่งช่วงหัว แต่หลี่หลานเฟิงไม่คิดว่าเฉียวถิงจะอยู่ยงคงกระพันจริงๆ อยากต่อกรกับอีกฝ่ายไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสเอาชนะเลย ทว่าเฉียวถิงเมื่อสักครู่นี้ ถึงแม้กลิ่นอายพลังยังทรงอำนาจเหมือนเก่า แต่เขาไม่ได้เฉียบคมจนทำให้คนเกิดความรังเกียจนิดหน่อยเหมือนในตอนแรก เขาคล้ายกับรู้จักการอดทนข่มกลั้นอย่างเงียบเชียบแล้ว…
หลี่หลานเฟิงมาถึงห้องทำงานพักผ่อนของหัวหน้ากลุ่มหุ่นรบโดยที่นำความกังวลเล็กน้อยมาด้วย ก่อนจะพบว่าหลิงหลานยืนอยู่ด้านหน้าหน้าต่างฝรั่งเศสบานหนึ่ง กำลังจ้องมองลงไปยังทิวทัศน์ของโรงเรียนทหารด้านล่าง
“กระต่าย กำลังมองอะไรอยู่เหรอ?” ตอนที่อยู่กันแค่สองคน หลี่หลานเฟิงจะเรียกหลิงหลานว่า ‘กระต่าย’ ด้วยความสนิทสนม นี่ทำให้เขารู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิงหลานสนิทสนมกันมากขึ้นเล็กน้อย ไม่อาจปปฏิเสธได้ว่า หลี่หลานเฟิงมีความคิดเห็นแก่ตัว เขาไม่อยากกลายเป็นสมาชิกธรรมดาทั่วไปของหน่วยรบหลิงหลาน ดังนั้นเขาจึงคอยพยายามเน้นย้ำความพิเศษไม่เหมือนใครของตัวตนเขาต่อหน้าหลิงหลานอยู่เสมอ
หลิงหลานไม่ตอบ เพียงแต่มองลงไปข้างล่างด้วยใบหน้าเย็นชา หลี่หลานเฟิงเดินเข้าไปและจ้องมองไปตามสายตาของหลิงหลาน ก่อนจะพบว่าเป็นราชันสายฟ้าเฉียวถิง ถึงแม้เขาพาคนออกไปจากศูนย์บัญชาการของกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งแล้ว ทว่าเขากำลังยืนประจันหน้ากับหลายคนในป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ซึ่งอยู่ห่างจากศูนย์บัญชาการไปหลายร้อยเมตร
“พวกนั้นเป็นรองหัวหน้ากลุ่มหุ่นรบเหลยถิง” หลี่หลานเฟิงคิดว่าหลิงหลานไม่เข้าใจสถานการณ์ ก็เลยอธิบายให้เอง
อันที่จริงหลิงหลานรู้สถานะของคนพวกนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ทันทีที่เธอเห็น เสี่ยวซื่อก็รายงานข้อมูลของคนเหล่านี้มาอย่างละเอียด
————————–
[1] หมายถึง การเคี่ยวกรำตนเอง อดทน เพียรพยายามอย่างยิ่ง เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังเอาไว้