I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 434 น่าเกลียดน่ากลัวมาก?
ครั้งนี้เทียนจีกับอู๋จี๋ต่างมีโควตากลุ่มละ 12 คน จากความต้องการของลูกพี่หลาน พวกเขานำพาผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มหุ่นรบพวกเขามาสิบสองคน หัวหน้าของกลุ่มหุ่นรบทั้งสองแห่งนี้มาถึงตรงหน้าซ่งเหยียนซวี่พร้อมกัน ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง ไม่มีใครยอมให้ทางใคร
ซ่งเหยียนซวี่ลอบปาดเหงื่อที่หลั่งออกมาบนหน้าผาก เขามองไปทางด้านซ้าย และก็มองไปทางด้านขวา ถึงค่อยเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกคุณใครจะมาก่อนครับ?”
หานอวี้เหลือบมองมู่เส่าอวี่ หัวหน้ากลุ่มเทียนจีที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเองอย่างเย็นชา มู่เส่าอวี่ก็ใช้สายตาเย็นเยียบถลึงกลับไปเช่นเดียวกัน ประกายไฟระหว่างพวกเขาสาดไปทั่วทุกทิศทาง ทว่าไม่มีใครตอบคำถามของซ่งเหยียนซวี่ก่อนสักคน ภายในห้องโถงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง
การประจันหน้ากันอย่างเงียบงันของทั้งคู่ทำให้หน้าผากของซ่งเหยียนซวี่หลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาไวมากขึ้น เขาอดลอบด่าไม่ได้ ‘แม่งเอ๊ย นักเรียนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งพวกนี่คิดจะทำอะไรกันแน่? อยากตีกันหรือไง? ทำไมไม่มีความคิดสามัคคีเลยสักนิดเดียว’
ซ่งเหยียนซวี่คิดว่า ดูจากสถานการณ์อย่างในตอนนี้แล้ว โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไม่มีทางคว้าคะแนนดีๆ อะไรมาได้แน่นอน เขาลอบกล่าวโทษเฉียวถิงที่รับหน้าที่เป็นกำลังรบสำคัญอันดับหนึ่งว่านำทีมได้ไม่ดี ไม่อาจแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในทีมได้ทันเวลา ปล่อยให้ความขัดแย้งเหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น
สถานการณ์ในห้องโถงยิ่งตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ทั้งสองทีมดูเหมือนกำลังจะเปิดศึกได้ทุกเวลา เซี่ยอี๋ที่ชมดูอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชามาตลอดพลันเอ่ยปากว่า “ไม่งั้น ให้หัวหน้ามู่ไปก่อนดีไหม?” เขาไม่อาจทนเห็นซ่งเหยียนซวี่เหงื่อแตกจนขาดน้ำระหว่างคนทั้งสองได้ นอกจากนี้ อีกฝ่ายก็ใจดีถ่ายทอดคำพูดของน้องลั่วเฉากับหานซู่หย่ามาให้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องช่วยเหลืออีกฝ่าย
มู่เส่าอวี่กับหานอวี้หันหน้าไปหาเซี่ยอี๋พร้อมกัน อยากรู้ว่าคำพูดนี้ของเซี่ยอี๋มีความหมายลึกซึ้งอะไร เซี่ยอี๋แค่ยิ้มพลางยักไหล่ ท่าทีที่ดูเหมือนเขาแค่แนะนำด้วยความหวังดีทำให้หานอวี้หงุดหงิดอย่างยิ่งยวด เขาแค่นเสียงเหอะทีหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง ไม่ได้จ้องตามู่เส่าอวี่ต่อ อันที่จริงนี่ก็บ่งบอกแล้วว่าเขายอมรับคำแนะนำของเซี่ยอี๋โดยปริยาย
มู่เส่าอวี่เห็นแบบนี้ก็พาทีมเดินขึ้นหน้าโดยไม่เกี่ยงงอน ถึงแม้เขาจะพ่ายแพ้หลิงเทียน แต่อย่างไรเสีย เดิมทีเทียนจีก็เป็นกลุ่มอำนาจอันดับสอง เขาจะให้อู๋จี๋ที่มีอันดับตามหลังชิงนำหน้าไปหนึ่งก้าวได้ยังไง ไม่ว่ายังไงก็จะต้องแย่งชิงเกียรติยศนี้มาให้ได้
หลังจากที่เทียนจีลงทะเบียนเสร็จแล้ว มู่เส่าอวี่ก็ผงกศีรษะให้เซี่ยอี๋ ขอบคุณที่เขาออกปากช่วยเหลือเขา และก็บ่งบอกถึงการรับรู้บุญคุณของเขา จากนั้นเขาก็ปรายตามองไปที่หานอวี้อย่างเย็นชาอีกครั้ง ถึงค่อยพาทีมออกไปจากห้องโถง เมื่อหานอวี้พาคนของอู๋จี๋ทำการลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ถลึงตาใส่เซี่ยอี๋อย่างอำมหิตและแค่นเสียงเหอะ บ่งบอกว่าเขาจะจดบัญชีนี้ไว้ ถึงค่อยพาคนของอู๋จี๋ออกจากห้องโถงอย่างหยิ่งทระนง
“คนแบบไหนเนี่ย…” ลั่วล่างไม่พอใจท่าทีที่หานอวี้แสดงต่อเซี่ยอี๋ กล่าวพลางเบะปาก
“ไม่เป็นไร มีลูกพี่อยู่ อีกฝ่ายก่อเรื่องอะไรไม่ได้หรอก” เซี่ยอี๋ตอบกลับพลางยิ้มตาหยี เขาถึงไม่สนใจท่าทีที่หานอวี้ทำต่อเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาศึกประลองหุ่นรบ
ควรรู้ไว้ว่า ถึงแม้หัวหน้าทีมโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งในฉากหน้าคือเฉียวถิง แต่ความจริงแล้ว หัวหน้าทีมที่แท้จริงคือหลิงหลาน ถึงแม้หานอวี้มีคุณสมบัติเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบ แต่จะได้ออกไปประลองหรือไม่นั้น ท้ายที่สุดยังต้องดูความยินยอมของลูกพี่เขา อำนาจในการตัดสินใจอยู่ในมือลูกพี่ของเขา ตราบใดที่สมองของหานอวี้ไม่ได้พิการ อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางหาเรื่องเขาในช่วงเวลานี้แน่นอน ดังนั้นเขาถึงได้ใจเย็นมาก
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ทำไมลูกพี่ถึงแบ่งโควตาให้กลุ่มหุ่นรบล่างๆ ด้วย…” ลั่วล่างสงสัยมาตลอด เกียรติยศเป็นของหลิงเทียนพวกเขาชัดๆ
“นายคิดดูสิว่า ครั้งนี้ผู้ควบคุมระดับพิเศษของพวกเรามากี่คน?” เซี่ยอี๋หัวเราะขึ้นมา “เกือบทั้งหมดเลยนะ ฉันตั้งตารอการต่อสู้ประจัญบานของทุกโรงเรียนในตอนสุดท้ายมากๆ เลย ถ้าเกิดพวกเขารู้ว่าคู่แข่งของพวกเขาแทบจะเป็นผู้ควบคุมระดับพิเศษกับยอดฝีมือหัวกะทิของภาควิชาต่างๆ ทั้งหมด พวกเขาจะมีสีหน้าแบบไหนกัน…”
ลั่วล่างครุ่นคิดถึงฉากนั้น มุมปากก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “น่าจะตลกมากเลย!” รอยยิ้มนั้นทำให้ทั่วทั้งร่างของเขาเปลี่ยนแปลงพราวพร่างอย่างหาใดเปรียบทันที ทำให้เซี่ยอี๋เผลอหันหน้ามองไปที่อื่น…เชี่ย ทำไมหมอนี่ยิ้มแล้วโคตรสวยขนาดนี้ เขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้วนะ
ตอนนี้เอง คนกลุ่มใหญ่เข้ามาจากตรงหน้าประตูอีกกลุ่ม เซี่ยอี๋คุ้นหน้าคุ้นตาหนึ่งในนั้นมาก เขาพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบเข้าไปต้อนรับ ร้องเรียกว่า “รุ่นพี่จาง พวกนายมากันแล้ว ไวมากเลย” ในที่สุดก็รอดแล้ว ออกห่างจากลั่วล่างอย่างเปิดเผย กอบกู้หัวใจของเขาที่ใกล้จะมีปัญหาได้สักที
คนที่มาก็คือจางจิงอัน หัวหน้ากลุ่มคนก่อนของโดฮา เขาพาหน่วยรบของเขามา รวมถึงนักเรียนจากกลุ่มเล็กๆ แห่งอื่นที่คัดเลือกออกมาให้เข้าร่วมประลอง ถึงแม้แต่ละกลุ่มจะมีจำนวนคนไม่มาก มีเพียงคนสองคน แต่พอรวมกันขึ้นมาแล้ว ยังมากกว่าคนจากสองกลุ่มก่อนหน้านี้อยู่นิดหน่อย มีประมาณสามสิบกว่าคน
จางจิงอันเห็นเซี่ยอี๋เข้ามาต้อนรับ เขาก็มองไปยังห้องโถงที่เวลานี้ว่างเปล่าไร้ผู้คนแวบหนึ่งตามจิตใต้สำนึก จากนั้นก็เอ่ยอย่างเจาะจงอยู่บ้างว่า “พวกเขาไปกันหมดแล้ว?”
เซี่ยอี๋พยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใช่แล้ว คนของเหลยถิง เทียนจีกับอู๋จี๋ลงทะเบียนเรียบร้อย ตอนนี้กลับไปพักผ่อนในที่พักของตัวเองกันแล้ว”
จางจิงอันได้ยินคำกล่าวก็หันหน้าไปเอ่ยกับพวกหัวหน้าจากกลุ่มอื่นๆ ว่า “หัวหน้าทุกท่าน งั้นเราก็รีบไปจัดการขั้นตอนลงทะเบียนกันเถอะ พวกหัวหน้าหลิงใกล้จะมาถึงแล้วด้วย ทุกคนอย่าโอ้เอ้”
ทุกคนพากันพยักหน้า รีบพาคนของพวกเขาไปลงทะเบียนในจุดลงทะเบียนทันที
จางจิงอันถึงค่อยหันหน้าไปพูดกับเซี่ยอี๋ว่า “ครั้งนี้เป็นหนี้บุญคุณหัวหน้ากลุ่มหลิงแล้วที่ให้เกียรติพวกเรา มอบโควตาให้ฉันแปดที่เป็นพิเศษ น่าเสียดายที่หน่วยรบของฉันเทียบกับพวกเหลยถิง เทียนจีและอู๋จี๋ไม่ได้ บางคนยังอ่อนด้อยอยู่นิดหน่อย”
เซี่ยอี๋เอ่ยอย่างแย้มยิ้มว่า”รุ่นพี่จางก็คิดมากไป ลูกพี่ของพวกเราบอกไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมากที่สุด ขอเพียงเหมาะสมมากที่สุดก็พอ หน่วยรบของรุ่นพี่จางเป็นทีมที่ร่วมมือเข้าขากันมากที่สุดในโรงเรียนเรา ลูกพี่หลานของพวกเราเลยไว้วางใจมาก”
จางจิงอันได้ยินคำพูดก็ยิ้มขึ้นมา อดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ “นายมันเด็กฉลาดพูดจริงๆ ความสามารถก็ดี มิน่าล่ะ หัวหน้ากลุ่มของพวกนายถึงให้นายออกหน้ามาต้อนรับพวกเรา”
เซี่ยอี๋รีบเอ่ยอย่างถ่อมตัวว่า “นั่นเป็นเพราะลูกพี่หลานเชื่อใจ ฉันมีความสามารถอะไรที่ไหนกัน”
ท่าทีดึงดันในความคิดตัวเองของเซี่ยอี๋ทำให้จางจิงอันส่ายหน้าติดต่อกัน ลอบถอนหายใจที่หลิงหลานไปขุดคนที่มีความสามารถมากมายแบบนี้มาได้อย่างไร
ความสัมพันธ์ของกลุ่มจางจิงอันไม่เลว สนิทสนมปรองดองกันอย่างยิ่ง นี่ทำให้ซ่งเหยียนซวี่พรูลมหายใจเบาๆ ในที่สุดก็รู้สึกได้สักทีว่า นี่คือคนจากทีมเดียวกันจริงๆ คนกลุ่มที่แล้วเขานึกว่านั่นเป็นทีมจากคนละฝ่ายที่มีความแค้นกันเสียอีก
ขณะที่ซ่งเหยียนซวี่ทั้งเครียดทั้งยุ่งวุ่นวายอยู่นั้น พวกเพื่อนร่วมงานของเขาก็ทานอาหารเสร็จกลับมาแล้ว พอเห็นว่ามีคนอยู่ในห้องโถงไม่น้อย ก็รู้แล้วว่าโรงเรียนทหารใหม่มาถึงแล้ว ดังนั้นจึงรีบเดินขึ้นหน้าไปช่วยลงทะเบียน
เมื่อมีผู้ร่วมงานเพิ่มมาสิบคน การลงทะเบียนให้ทุกคนจึงเสร็จเรียบร้อยอย่างฉับไว เวลานี้เอง หน้าประตูก็มีคนทะลักเข้ามาอีกสี่สิบกว่าคน คนที่นำทีมคือเด็กหนุ่มที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเหยียบเข้ามาในห้องโถง อุณหภูมิพลันลดฮวบลง ห้องโถงที่เดิมทีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดทันที
ซ่งเหยียนซวี่ที่กำลังลงทะเบียนพลันรู้สึกได้ถึงไอเย็นสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนร่าง ก่อนจะหนาวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
เซี่ยอี๋กับลั่วล่างที่พิงกำแพงรอทุกคนลงทะเบียนให้เสร็จเรียบร้อยมาตลอดเห็นคนที่มา แววตาของพวกเขาก็เปล่งประกายทันใด พวกเขารีบเดินออกมา และไปตรงหน้าเด็กหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชาคนนั้น ร้องทักด้วยความนอบน้อมว่า “ลูกพี่!”
เด็กหนุ่มเคร่งขรึมเย็นชาพยักหน้าให้เซี่ยอี๋กับลั่วล่าง จากนั้นก็หันหน้ามองไปที่จางจิงอัน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “รุ่นพี่จาง พวกนายลงทะเบียนเสร็จแล้วเหรอ?”
จางจิงอันได้ยินคำกล่าวก็รีบตอบกลับว่า “ใช่แล้ว รุ่นน้องหลิง พวกเราจัดการเสร็จกันหมดแล้ว” คำตอบของจางจิงอันทำให้คนในห้องโถงได้สติกลับมาโดยพลัน พวกเขารีบเปิดที่ให้คนที่หลิงหลานพามาเข้าไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อทำการลงทะเบียน
การมาของหลิงหลานทำให้บรรดาหัวหน้ากลุ่มหุ่นรบขนาดต่างๆ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่หนักดั่งขุนเขา ดังนั้นพวกเขาจึงทยอยบอกลาหลิงหลาน พาพวกลูกทีมของตัวเองออกไปจากห้องโถงอย่างรวดเร็ว
หลิงหลานเห็นพวกจางจิงอันออกไปจากห้องโถงอย่างฉับไวราวกับมีปีศาจร้ายไล่ตามหลังก็ไม่ปาน ในใจเธอก็พูดไม่ออกมากๆ เธอหันหน้าไปถามอู่จย่งว่า “ฉันน่าเกลียดน่ากลัวมากหรือไง?” ถึงแม้พี่สาวมีหน้าน้ำแข็ง แต่ยีนของพี่สาวชั้นหนึ่งแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ หลิงเซียว หรือว่าแม่ หลานลั่วเฟิ่งต่างเป็นหนุ่มหล่อสาวงามระดับสุดยอด แต่พวกเขาหวาดกลัวเหมือนกับเห็นผีเนี่ยนะ?
อู่จย่งเหลือบมองหลิงหลานแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลุบเปลือกตาลงทันที ลูกพี่หลานน่าจะมีหน้าตาดีมากๆ ใช่ไหมนะ…อู่จย่งจินตนาการหน้าตาที่แท้จริงของหลิงหลานไม่ออกเลย ในความทรงจำทั้งหมดคือสายตาคมกริบของหลิงหลาน รวมถึงไอเย็นแช่แข็งที่แทรกซึมออกมาอย่างเงียบเชียบ...ว่าไปแล้ว ใครจะไปกล้าจ้องมองวิเคราะห์หน้าตาลูกพี่หลานจริงๆ แค่มองแวบเดียวก็ทำให้ถอยหนีไปสามฟุตแล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาคมกริบเย็นเยียบของลูกพี่หลานที่กวาดมองผ่านใบหน้าเขา อู่จย่งก็ต้านทานไอเย็นที่คล้ายกับจะขูดกระดูกของเขาออก พยายามรวบรวมคำพูดน่าฟังตอบกลับว่า “จะเป็นไปได้ยังไง ลูกพี่หลานหล่อเหลายิ่งใหญ่องอาจ ทรงอำนาจหาใครเทียม…”
ทำไมไอเย็นในแววตาของลูกพี่หลานถึงรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ เขาพูดชมชัดเจนเลยนะ…อู่จย่งย่อมนึกไม่ถึงว่า คำพูดชมที่เขากล่าวถึงบรรยายผู้ชายได้ดีมากจริงๆ แต่ถ้าใช้บรรยายผู้หญิง มันก็เลวร้ายนิดหน่อยจริงๆ นั่นแหละ
ในตอนที่อู่จย่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเขาอาจจะไม่มีโอกาสเข้าร่วมศึกประลองหุ่นรบแล้ว และตายอยู่ตรงนี้ ฉีหลงก็เอ่ยปากช่วยชีวิตเขาว่า “ลูกพี่ พลังบนตัวนายรุนแรงมากเกินไป ทำให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือนถูกภูเขากดทับ คนทั่วไปทนรับไม่ไหวหรอก”
หลิงหลานได้ยินคำกล่าว ไอเย็นก็สลายไปเล็กน้อย อู่จย่งที่เฉลียวฉลาดสุดขีดรีบพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ลูกพี่หลาน คนที่สามารถยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างๆ นายได้ต้องมีทักษะร่างกายไปถึงระดับแบบพวกฉันแล้ว”
หลิงหลานขมวดคิ้ว ก็เป็นเหมือนอย่างที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งในมิติกล่าวไว้ พลังบนตัวเธอแข็งแกร่งมากขึ้นไปทุกที ถึงขนาดที่ไปถึงจุดวิกฤติแล้ว บางครั้งก็มีร่องรอยสูญเสียการควบคุมด้วย แต่ว่าผ่านไปนานขนาดนี้ เธอยังหาโอกาสที่พลังหลอมรวมกับร่างกายไม่เจอเลย นี่ทำให้เธอไม่กล้าแสดงทักษะการต่อสู้มือเปล่าออกมาง่ายๆ กลัวว่าถ้าหากเสียการควบคุมแล้วจะก่อให้เกิดเรื่องน่าเศร้าอันใหญ่หลวง
หลิงหลานที่เข้าใจแล้วก็ล้มเลิกการตามหาคำตอบที่แท้จริง มีเพียงหลี่หลานเฟิงที่อยู่ด้านหลังเท่านั้นที่แววตาไหววูบ เขาไม่ลืมว่า เขาเคยเห็นรอยยิ้มล่มชาติบ้านเมืองนั้น ทว่านี่เป็นความลับของเขา ซึ่งเขาไม่อยากแบ่งปันให้คนอื่น
การมาถึงของหลิงหลานทำให้ซ่งเหยียนซวี่และเจ้าหน้าที่เหล่านี้กระตือรือร้นขึ้นมากันหมด มุ่งมั่นตั้งใจลงทะเบียนให้พวกหลิงหลาน รอจนส่งหลิงหลานออกไปถึงค่อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีหลายคนถึงขนาดตัวชาอยู่บนที่นั่งตัวเอง มือเท้าไร้เรี่ยวแรง ซ่งเหยียนซวี่ค่อยพบว่า เขาลืมทักทายเซี่ยอี๋กับลั่วล่าง ถึงขนาดที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเซี่ยอี๋กับลั่วล่างดำเนินขั้นตอนลงทะเบียนเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่…
“หลิงหลานเหรอ? กลิ่นอายพลังของหมอนั่นแข็งแกร่งมาก ยังเหนือกว่าเฉียวถิงที่เป็นกำลังรบอันดับหนึ่งของพวกเขาเสียอีก ต่อให้ยืนอยู่ด้านข้างไกลๆ ก็ทำให้คนหายใจไม่ออกได้แล้ว” ซ่งเหยียนซวี่มองข้อมูลของหลิงหลานที่บันทึกในออปติคัลคอมพิวเตอร์ พึมพำกับตัวเองว่า “เป็นแค่ผู้ควบคุมระดับพิเศษเหรอ?” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
———————–