I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 442 พิธีเปิด!
ผู้ช่วยของเหล่าเฉาได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยอย่างมีความสุขทันทีว่า “หัวหน้าฝ่ายธุรการ ถ้าเกิดเด็กกลุ่มนั้นรู้ความคิดของคุณละก็ พวกเขาจะต้องดีใจเป็นบ้าเป็นหลังแน่ๆ ครับ ครั้งนี้ลั่วเฉาเกือบเกิดเรื่อง ไอ้เด็กพวกนั้นโมโหจนแทบระเบิดแล้ว บอกว่าจะต้องให้โรงเรียนทหารชายที่สองเห็นดีกัน”
เหล่าเฉาได้ยินคำกล่าวก็เผยใบหน้าแย้มยิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า “นี่สิถึงเป็นนักเรียนของพวกเรา ถ้าเกิดปกป้องพี่น้องของตัวเองไม่ได้ พวกเขาแข็งแกร่งแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
ทางด้านนี้ตัดสินใจวางแผนว่าจะหลอกลวงวางอุบายใส่โรงเรียนทหารชายที่สอง ขณะเดียวกันทางด้านเหล่าอู๋จากโรงเรียนทหารชายที่สามกำลังสอบถามผู้ช่วยของเขาว่า “อาฉี นายว่า โรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่งกำลังวางแผนอะไรกันแน่?”
อาฉี ผู้ช่วยของเขาตอบว่า “จากในคำพูดฟังดูเหมือนมีความคิดร่วมมือกับพวกเรา แต่ก็ไม่พอใจโรงเรียนทหารชายที่สองนิดหน่อยเหมือนกับพวกเราครับ แต่หลังจากที่คณบดีโจวของโรงเรียนทหารชายที่สองกล่าวคำพูดประโยคนั้นออกมา หัวหน้าฝ่ายธุรการเฉาก็ดูเหมือนถอยให้”
“ถอย?” เหล่าอู๋ขมวดคิ้ว “เฉาหย่งอวี้คนนั้น ถึงแม้หน้าตาเหมือนคนใจดี ดูคุยง่าย แต่ฉันยังไม่เคยยึดความได้เปรียบจากในมือเขามาก่อนเลย คนแบบนี้จะยอมแพ้เพราะคำพูดประโยคเดียวของโจวหยวนอี้เหรอ?” เขาไม่เชื่อเด็ดขาด
ผู้ช่วยอาฉีเองก็ครุ่นคิดขึ้นมาเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็นึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านครับ เมื่อคืนผมได้ยินข่าวลือมา บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…”
แววตาของเหล่าอู๋พลันเปล่งประกาย บ่งบอกให้อาฉีรีบพูดเร็วๆ
“สาเหตุที่หัวหน้าทีมของโรงเรียนทหารชายที่สองทะเลาะกับโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเป็นเพราะนักเรียนหญิงคนหนึ่งครับ และนักเรียนหญิงคนนั้นมาจากโรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่ง เป็นอัจฉริยะของสาขาการนำร่องยานอวกาศที่ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเน้นหนักครับ…”
เหล่าอู๋อึ้งไป เขานึกว่าโรงเรียนทหารชายที่สองทะเลาะกับโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งในตลาดเป็นเพราะขัดแย้งกันเอง นึกไม่ถึงเลยว่ายังมีปัจจัยเสริมแทรกแบบนี้อยู่ด้านในด้วย…เหล่าอู๋ยิ้มขึ้นมาโดยพลัน “อย่างนี้นี่เอง ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนโอกาสของพวกเรามาแล้ว นายคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขาไว้ หลังจากที่คะแนนรวมของการแข่งขันช่วงต้นออกมาแล้ว พวกเราค่อยมาพิจารณาดีๆ กันอีกทีว่า ควรจะเลือกใครเป็นพันธมิตรในตอนสุดท้าย ตำแหน่งอันดับสี่ตลอดกาลควรจะเลื่อนขึ้นได้แล้ว” แววตาของเหล่าอู๋มีร่องรอยความทะเยอทะยานพาดผ่านอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ พวกหลิงหลานที่มาถึงสนามกีฬาหลักไม่รู้เลยว่ามีคลื่นลูกใหญ่กระเพื่อมอย่างลับๆ ด้านหลังพวกเขา พวกเขาเข้าแถวเตรียมตัวเดินเข้าไปในสนามอย่างเคร่งเครียด ในฐานะที่เป็นสมาชิกทีมเข้าร่วมการประลองที่ออกมาเป็นทีมสุดท้าย ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงเกียรติพิเศษที่พวกเขาได้รับนี้
เฉียวถิงรับธงโรงเรียนที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้นานแล้วก่อนจะจับไว้เต็มกำลัง ธงโรงเรียนที่เป็นตัวแทนโรงเรียนที่เขาอยู่ เขาเห็นมาห้าปีแล้ว แต่ไม่เคยรู้สึกว่ามันมีความหมายอะไรเลย ทว่าเวลานี้ ธงโรงเรียนเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันไร้รูปร่าง เขาพลันรู้สึกว่า บัลลังก์ราชันในโรงเรียนที่เขาปรารถนาในยามก่อน แท้จริงแล้วมันเล็กน้อยมากแค่ไหน...
“โลกของฉันไม่ควรอยู่แค่ในโรงเรียนทหารเล็กๆ มันควรอยู่ทั่วทั้งสหพันธรัฐ ไม่สิ อยู่ทั่วทั้งจักรวาล!” แววตาของเฉียวถิงมีเปลวไฟส่องสว่างลุกโชนขึ้นมา เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนแปลงจากเดิม จุดคอขวดขั้นสูงสุดของพลังปราณระดับสูงที่แต่เดิมนิ่งไม่ขยับได้คลายลงเล็กน้อย…
หลิงหลานสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเฉียวถิง เธอมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นพลังหรือความมั่นใจในตัวเอง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วก็คลายออกอย่างรวดเร็ว แววตาเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งขึ้นมา
ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งมากแค่ไหน เธอก็ไม่กลัวการท้าประลองใดๆ ทั้งนั้น!
ความหยิ่งทระนงผุดวาบขึ้นในใจหลิงหลาน พลังบนร่างสั่นคลอนอย่างรุนแรง ทำให้นักเรียนที่เดิมทีจมอยู่ท่ามกลางความตื่นเต้นเคร่งเครียดพลันตกใจขึ้นมาทันใด แรงกดดันมหาศาลทำให้พวกเขาไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น ได้แต่กัดฟันกรอด ต้านทานแรงกดดันอันทรงพลังสายนี้อย่างสุดความสามารถ เนื่องจากพวกเขาตั้งสมาธิจดจ่อ ท่วงท่าที่ตอนแรกดูตึงเครียดแข็งทื่อรวมถึงจิตใจที่สั่นคลอนพลันเปลี่ยนเป็นธรรมชาติและสงบนิ่งขึ้นมาก
เฉียวถิงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มาจากทางหลิงหลาน เขาก็หันหน้ามองไปที่หลิงหลานแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับมาอีกครั้ง แววตาเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มากยิ่งขึ้น พ่ายแพ้ครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ไปชั่วชีวิต เขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าหลิงหลานให้ได้!
หลี่หลานเฟิงที่มีพลังจิตระดับปีศาจอัจฉริยะสัมผัสการโต้ตอบของพลังระหว่างเฉียวถิงกับหลิงหลานได้ในพริบตา เขามองเฉียวถิงแล้วก็มองไปที่หลิงหลาน แววตาปรากฏความเคร่งขรึม ไม่ว่าจะเป็นเฉียวถิงที่เขามองว่าเป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต หรือว่าหลิงหลานที่เป็นเพื่อนสนิทที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดในชีวิตล้วนก้าวหน้ากันไม่หยุดหย่อน ชั่วพริบตาเมื่อสักครู่นั้น เขาสัมผัสได้ว่าตัวตนของทั้งสองแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
อย่างที่คิดไว้เลย การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น เขาต้องพยายามมากกว่านี้! แววตาของหลี่หลานเฟิงเย็นเยียบขึ้นมา เริ่มโคจรเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายอย่างเงียบๆ
นับตั้งแต่ที่หลิงหลานบอกเขาว่า ขอเพียงยืนหยัดฝึกฝนเคล็ดวิชานี้โดยไม่ย่อท้อ พื้นฐานสุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ถึงขนาดที่แก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด เขาฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีศึกษาและยืนหยัดอดทน ในที่สุดก็สามารถทำได้ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ ต่อให้เขาออกกำลังกายอยู่ก็สามารถโคจรเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายได้เหมือนกัน ถึงแม้ประสิทธิภาพไม่ได้ดีขนาดนั่งสมาธิ แต่ถ้าสั่งสมปีแล้วปีเล่าก็ยังมองเห็นประสิทธิภาพได้ ปัญหาที่ตอนแรกต้องใช้เวลาห้าหกปีถึงจะสามารถแก้ไขได้ เมื่อดูจากประสิทธิภาพในตอนนี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดก็สามารถประหยัดเวลาได้หนึ่งถึงสองปี
แน่นอนว่าเขาบอกผลการศึกษาวิจัยของเขาให้หลิงหลานฟังเช่นกัน กระต่ายของเขาเป็นอัจฉิรยะอย่างหาใครเทียมจริงๆ ใช้เวลาแค่เดือนเดียวก็ทำเรื่องที่เขาเสียเวลาไปหนึ่งปีถึงจะทำได้สำเร็จ หลี่หลานเฟิงคิดถึงตรงนี้ ในใจเขาทั้งภาคภูมิใจทั้งกลัดกลุ้มใจ ภูมิใจที่หลิงหลานเก่งกาจเหนือใคร และกลุ้มใจเรื่องความห่างชั้นระหว่างเขากับอีกฝ่าย ทว่าจิตใจของหลี่หลานเฟิงแข็งแกร่งมาก ไม่ได้สะเทือนใจเพราะความอัจฉริยะของหลิงหลาน ในเมื่อพรสวรรค์ไม่อาจเทียบได้ เช่นนั้นก็ต้องใช้การฝึกฝนอย่างหนักมาชดเชย
หลี่หลานเฟิงไม่คาดคิดเลยว่า นิ้วทองคำของหลิงหลานทำให้เธอมีเวลาฝึกฝนหนักเพิ่มขึ้นหลายเท่า ดังนั้นไม่ว่าพรสวรรค์หรือว่าการฝึกฝนอย่างหนัก หลี่หลานเฟิงถูกกำหนดให้ไล่ตามหลิงหลานไปชั่วชีวิตแล้ว
“ลูกพี่ รีบเก็บพลังเร็วเข้า!” เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงจิตใจกลับร้อนใจแล้ว เขาย่อมไม่ลืมว่าพลังของหลิงหลานไม่มั่นคงมาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่เฉียวถิงสามารถกระตุ้นพลังของหลิงหลานได้ง่ายๆ
หลิงหลานที่พลังมาถึงจุดวิกฤติแล้ว มีโอกาสสูญเสียการควบคุมได้ทุกเวลาจริงๆ ถ้าหากปล่อยให้พลังของลูกพี่ตนระเบิดออกละก็ ความเป็นไปได้ที่จะสูญเสียการควบคุมนี้ก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด เสี่ยวซื่อไม่กล้าเสี่ยง
คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานสะดุ้งตกใจ เธอนึกเรื่องปัญหาของตัวเองขึ้นมาได้แล้วเช่นกัน เลยรีบสะกดพลังที่เพิ่มพรวดพราดลง บรรดาสมาชิกทีมที่เดิมทีต้านทานแรงกดดันอย่างสุดกำลังรู้สึกว่าร่างกายเบาลง พวกเขาก็ลอบพรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง โล่งใจในที่สุด พวกเขาในยามนี้เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง ไม่ได้ตึงเครียดและกระวนกระวายใจเหมือนในตอนแรกแล้ว พวกเขามองหลิงหลานด้วยความซาบซึ้งใจแวบหนึ่ง พวกเขากลับมาใจเย็นอีกครั้งได้ทั้งหมดต้องขอบคุณการบีบคั้นของพลังหลิงหลาน พวกเขานึกว่าหลิงหลานกำลังช่วยพวกเขาอยู่
ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่า นี่เป็นความเข้าใจผิดที่สวยงาม หลิงหลานทำให้ภาพลักษณ์ของเธอเปลี่ยนเป็นสูงส่งมากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัวอีกครั้ง
เวลานี้เอง ทางฝั่งเวทีกล่าวคำปราศรัย หลิงเซียวที่กำลังพูดคุยกับหลานลั่วเฟิงภรรยาสุดที่รักพลันขมวดคิ้วแล้วก็คลายออกทันที หลานลั่วเฟิ่งที่คอยจ้องไปตรงทางเข้าไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของหลิงเซียวเลย เธอตื่นเต้นอย่างยิ่งยวด ดึงแขนเสื้อของหลิงเซียว เอ่ยถามไม่หยุดว่า “เข้ามาแล้วยัง? เข้ามาแล้วหรือยัง?” ทำไมมองนานแล้ว ถึงยังไม่เห็นเงาลูกสาวสุดที่รักของเธอเลยล่ะ? โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไปไหนแล้ว? ทำไมยังไม่ลงสนาม?
หลิงเซียวรีบพูดปลอบว่า “ใกล้แล้วๆ ปกติแล้วโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งจะถูกจัดไว้ท้ายที่สุด ตอนนี้โรงเรียนอื่นออกมากันหมดแล้ว น่าจะถึงตาพวกเขาลงสนามกันแล้ว”
ถึงแม้หลิงเซียวมีรอยยิ้มเต็มหน้า ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงในดวงตา เมื่อสักครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังของหลิงหลาน เขาที่มีความสามารถแข็งแกร่งสุดยอดจับสังเกตได้ในพริบตาว่าพลังของหลิงหลานเกิดปัญหาแล้ว เขากังวลใจไม่หยุด ขณะเดียวกันก็หดหู่ใจเล็กน้อย ต่อให้ลูกสาวสุดที่รักของเขาเกิดปัญหา ก็ไม่คิดมาหาพ่ออย่างเขาคนนี้ช่วยแก้ไขปัญหาเลย ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่า เขาไม่ได้เรื่องในฐานะพ่อเกินไปแล้ว
“ทีมที่ลงสนามสุดท้ายคือโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนทหารที่เกรียงไกรที่สุดของสหพันธรัฐ ประวัติศาสตร์ยาวนาน อบรมสั่งสอนอัจฉริยะออกมานับไม่ถ้วน…” หลังจากทีมเข้าร่วมการแข่งขันถัดมาปรากฏตัวขึ้น พิธีกรของสนามกีฬาหลักเริ่มประกาศชื่อและประวัติของโรงเรียนทหารที่ลงสนามนี้ และทำการแนะนำสั้นๆ
หลานลั่วเฟิ่งได้ยินว่าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งปรากฏตัวแล้วก็ลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทันที การกระทำอย่างฉับพลันของเธอทำให้แขกกิตติมศักดิ์รอบๆ ประหลาดใจไม่หยุด หลิงเซียวรีบลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มขื่น ปรบมือให้กับทีมเข้าร่วมการแข่งขันของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่กำลังเดินมา การกระทำนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ตระหนักขึ้นมาได้ฉับพลันว่า พลเอกหลิงเซียวเป็นนักเรียนที่จบจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง มิน่าล่ะ ภรรยาของเขาถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้…
หลิงเซียวให้คำอธิบายเหตุผลที่ภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ และหน้าจอเสมือนจริงทั้งสี่ด้านในสนามกีฬาหลักก็ปรากฏภาพนายพลหลิงเซียวกับภรรยาของเขาลุกขึ้นมาปรบมือ นี่ทำให้ผู้ชมทุกคนที่อยู่ที่นี่ตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ทั่วทั้งสนามตกอยู่ท่ามกลางเสียงเชียร์โดยพลัน
เฉียวถิงที่นำทีมเห็นหลิงเซียวที่อยู่บนเวทีกล่าวคำปราศรัย เขาก็กำเสาธงในมือ ฝืนข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจ หลิงเซียวคือไอดอลของเขา และก็เป็นเป้าหมายที่เขาอยากก้าวข้าม การประลองในครั้งนี้ เขาจะต้องแสดงผลงานให้ดีๆ อยากให้นายพลหลิงเซียวรู้ว่า เขาจะเป็นหลิงเซียวคนถัดไป
เมื่อพวกฉีหลงเห็นนายพลหลิงเซียวกับหลานลั่วเฟิ่ง พวกเขาก็มองไปที่ลูกพี่ของตนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หลังจากนั้นก็รู้สึกได้ในชั่วพริบตาว่าอุณหภูมิรอบๆ ลูกพี่พวกเขาคล้ายกับเย็นขึ้นเล็กน้อย
บรรดานักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเห็นนายพลหลิงเซียวซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพวกเขายืนปรบมือให้พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างหาใดเปรียบทันที จนเกือบจะทำให้ทีมเกิดความวุ่นวายไปชั่วขณะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงหลานแค่นเสียงเหอะออกมาทีหนึ่ง ทำให้พวกเขาได้สติละก็ เกรงว่าพวกเขาคงจะสูญเสียการควบคุมและทำเรื่องน่าขายหน้าอีกครั้ง หลังจากที่ยากกว่าจะกลับมาเป็นปกติภายใต้การกดดันของหลิงหลาน
ไม่ง่ายเลยกว่าหลิงหลานจะควบคุมสถานการณ์ได้อีกครั้ง เธอมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มในหน้าจออย่างพูดไม่ออกมากๆ ชายหนุ่มหล่อเหลาปรบมืออย่างกระตือรือร้น พ่อของเธอนี่นะ มักจะก่อปัญหาให้เธอโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอเลย
หลังจากนั้นหลิงหลานก็มองไปยังหลานลั่วเฟิ่งที่ตกอยู่ท่ามกลางความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด สมองเริ่มปวดตุบๆ ขึ้นมา ควรรู้ไว้ว่า คนที่เธอไม่สามารถรับมือได้มากที่สุดก็คือแม่ของเธอนี่เอง ถ้าเกิดท่าทีของเธอดูแย่ขึ้นมา ก็จะโดนอาบด้วยน้ำตา…
ไม่พูดถึงหลิงหลานที่กำลังอารมณ์สับสันแล้ว หลังจากพวกเขาวนสนามหนึ่งรอบ ในที่สุดก็ถูกเจ้าหน้าที่พาไปยังเขตของพวกเขา หลิงเซียวถึงค่อยพาหลานลั่วเฟิ่งนั่งลง เป็นเพราะเรื่องนี้เอง โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเลยได้รับสายตาอิจฉาจากพวกนักเรียนทหารรอบๆ นับไม่ถ้วนอย่างรวดเร็ว นั่นคือนายพลหลิงเซียวนะ และก็เป็นไอดอลของพวกเขาด้วย ทำไมนายพลหลิงเซียวไม่ใช่รุ่นพี่ของพวกเขาบ้าง? ในใจนักเรียนทหารนับไม่ถ้วนอดน้ำตานองหน้าท่ามกลางความอิจฉาไม่ได้ พวกเขาโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก
———————————–