I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 445 โอกาสพลิกวิกฤติของหลิงหลาน!
คำพูดของหมายเลขห้าทำให้หัวใจของอาจารย์ทุกคนหนักอึ้ง พวกเขามองไปที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งอีกครั้ง หวังว่าเขาจะคิดวิธีแก้วิกฤติของหลิงหลานออกมาได้
อาจารย์หมายเลขหนึ่งไม่ได้ตอบ เขาแค่ยกมือขวาขึ้นมา นิ้วชี้วาดออกไป เบื้องหน้าทุกคนพลันปรากฏภาพหนึ่ง ข้างในภาพไม่มีอะไร มีเพียงร่างคนผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือหลิงเซียวที่ตอนนี้กำลังพยายามสุดชีวิตคิดหาวิธีช่วยเหลือหลิงหลานผ่านพ้นวิกฤติไปได้
“เขาก็คือโอกาสพลิกวิกฤติของหลิงหลาน!” หมายเลขหนึ่งกล่าวอย่างเย็นชา
หมายเลขสองที่ซ่อนตัวอยู่ในเงาของหมายเลขหนึ่งมาโดยตลอดพลันพุ่งออกมาจากในเงาครึ่งตัว แววตาของเขาไหววูบ มีร่องรอยความเร่งรีบอยู่รางๆ “คนผู้นี้ พลังจิตแข็งแกร่งมาก!” และมีเพียงเขาที่มีพลังจิตแข็งแกร่งเหนือชั้นเหมือนกันถึงสามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้ นี่ทำให้หมายเลขสองเกิดความปรารถนาอยากลองแข่งกับอีกฝ่ายตัวต่อตัว
“ไม่เพียงแค่นั้น ความสามารถของเขาก็แข็งแกร่งสุดๆ ด้วย อย่างน้อยที่สุดก็แข็งแกร่งกว่าฉัน” เวลานี้หมายเลขเก้ากลับมาเยือกเย็นดังเดิมแล้ว และสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่แฝงเร้นอยู่ในร่างคนผู้นั้น เธอถูกสยบแล้ว
หมายเลขห้าเจอแรงกระตุ้นเดิมๆ เลยอดใจไม่ไหว เขาอดเลียริมฝีปากตัวเองไม่ได้ เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “อยากสู้กับเขาสักรอบจัง จะต้องน่าสนุกมากแน่ๆ เลย” ระหว่างพวกเขาสองคน ใครกันแน่ที่จะแข็งแกร่งกว่ากันนะ
หมายเลขหนึ่งได้ยินคำกล่าวก็หันหน้ามองไปที่หมายเลขห้า เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “นายยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
คำพูดของหมายเลขหนึ่งทำให้สีหน้าของหมายเลขห้าเปลี่ยนไป ทำหน้าไม่ยอมรับ
“วิถีของเขาพัฒนาเต็มที่แล้ว และเขาสัมผัสถึงขอบเขตเทวะแล้วด้วย ขอเพียงให้เวลาเขา เขาก็สามารถเข้าสู่โลกแห่งเทพได้” หมายเลขหนึ่งอธิบาย และก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่สัมผัสถึงระดับของอีกฝ่ายได้ชัดเจน คนผู้นี้ซ่อนฝีมือไว้ลึกมาก…หมายเลขหนึ่งอดยินดีแทนหลิงหลานไม่ได้ ปัญหาของหลิงหลานร้ายแรงมากแล้ว ถึงแม้หมายเลขหนึ่งเคยเอ่ยเตือนหลิงหลาน แต่เขาก็รู้ว่า อาศัยแค่ความสามารถของตัวหลิงหลานอยากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ มีโอกาสแค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น
ถ้าเกิดมียอดฝีมือที่ครอบครองวิถีคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ อัตราความเป็นไปได้ที่หลิงหลานผ่านพ้นวิกฤติก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถึงแม้อาจารย์ทุกคนล้วนครอบครองวิถีของตัวเอง แต่พวกเขากลับไม่สามารถปรากฏตัวขึ้นที่โลกความเป็นจริง ช่วยเหลือหลิงหลานไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ อาจารย์หมายเลขหนึ่งจึงได้แต่หวังว่าหลิงหลานจะพึ่งตนเองหาโอกาสหนึ่งในหมื่นนั้นเจอ และแก้ไขวิกฤติของตัวเองได้
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ในโลกความเป็นจริงมียอดฝีมือด้านวิถีปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ และช่วยเหลือหลิงหลานอย่างสุดจิตสุดใจ หมายเลขหนึ่งวางใจลงในที่สุด ต่อให้เขาสามารถออกไปได้ ก็ไม่ได้ดีไปมากกว่าอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
คำพูดของหมายเลขหนึ่งทำให้หัวใจของหมายเลขห้าหดเกร็ง เขารู้ดีว่าขอบเขตเทวะหมายถึงอะไร…สายตาที่มองไปทางหลิงเซียวก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจังขึ้นมา ไม่นึกเลยว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้เลย ชายผู้นี้ปกปิดความสามารถเก่งมาก สิ่งที่เผยออกมาเป็นเพียงสิ่งที่เขาอยากเปิดเผยออกมาเท่านั้น
ส่วนอาจารย์คนอื่นๆ ได้ยินว่าความสามารถที่แท้จริงของหลิงเซียวแข็งแกร่งมากก็วางใจลงเช่นกัน พวกเขาฝากความหวังไว้ที่ตัวหลิงเซียว หวังว่าหลิงเซียวจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง สามารถช่วยหลิงหลานไว้ได้
ทางฝั่งของหลิงเซียว เขาก็วางแผนรับมือภายในระยะเวลาที่สั้นสุดขีด สมองของหลิงเซียวทำงานเกินพิกัด คำนวณผลได้ผลเสียของแผนการทุกอย่าง รวมถึงปัญหาของหลิงหลานที่อาจจะเกิดขึ้นและวิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดข้อผิดพลาด
เรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ต้องจัดการทันทีคือ เขาต้องสยบพลังที่บ้าคลั่งนี้ไว้ ไม่อาจให้มันอาละวาดต่อไปอย่างไม่มีที่สิ่นสุดได้ เมื่อมันเลยจุดวิกฤติที่ร่างกายของหลิงหลานรองรับไหว หลิงเซียวรู้ว่าผลสุดท้ายคืออะไร นั่นก็คือร่างกายระเบิด ลูกสาวสุดที่รักของเขาจะมีจุดจบแบบนี้ได้อย่างไร เขาไม่อนุญาตเด็ดขาด
หลิงเซียวตัดสินใจแล้วก็ไม่ลังเลอีกต่อไป กลิ่นอายอบอุ่นอ่อนโยนแต่เดิมในเขตแดนถูกกวาดออกไปจนไม่เหลือ แล้วสับเปลี่ยนเป็นพลังงานที่มีลักษณะคมกริบ นี่คือความลับที่หลิงเซียวซ่อนลึกเอาไว้ เมื่อเขาเลื่อนขึ้นสู่ระดับเขตแดน เขตแดนที่เขาปลุกก็คือเขตแดนคู่…
พลังวิถีครอบงำอันแข็งแกร่งของหลิงหลานถูกบีบคั้นอีกครั้งท่ามกลางพลังงานที่เต็มไปด้วยความรุนแรงแข็งกร้าวอย่างท่วมท้นของหลิงเซียว แต่ถึงอย่างไรวิถีครอบงำก็เป็นพลังที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผลที่สุดในหมู่พลังทั้งหมด จะไปยอมก้มหัวง่ายๆ ได้อย่างไร และหลิงเซียวกลัวว่าพลังที่รุนแรงแข็งกร้าวจะทำร้ายรากฐานของหลิงหลานได้ เลยไม่กล้าปลดปล่อยพลังทั้งหมด นี่ก็เลยทำให้พลังของหลิงหลานมีโอกาสพักหายใจ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายเลยคุมเชิงกันขึ้นมา
แต่นี่ก็แก้ไขวิกฤตร่างกายระเบิดของหลิงหลานได้ชั่วคราวเหมือนกัน พลังที่อาละวาดบ้าคลั่งมาโดยตลอดชะงักฝีเท้าของมันลงในที่สุด
เวลานี้เอง แววตาของหลิงเซียวส่องประกายเจิดจ้าขึ้นมาแวบหนึ่ง ตะโกนอย่างเฉียบขาดว่า “ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วจะรออีกนานแค่ไหน?”
นับตั้งแต่ที่หลิงหลานสูญเสียการควบคุมพลัง เธอก็หลับตาสนิทมาโดยตลอด หลิงเซียวคาดเดาว่า หลิงหลานอาจจะหมดสติไปแล้ว เขารู้ดีว่าการจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้อย่างแท้จริง มีเพียงอาศัยความพยายามของตัวหลิงหลานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องเรียกสติของหลิงหลาน ให้หลิงหลานกลับมาได้สติดังเดิม และพยายามควบคุมพลังที่อาละวาดบ้าคลั่งด้วยกันกับเขา
เสียงตะโกนอันเฉียบขาดนี้แฝงไปด้วยพลังจิตมหาศาลของหลิงเซียว ฝ่าผนึกของพลังเข้าสู่ภายในห้วงสติของหลิงหลานอย่างล้ำลึกโดยตรง
พลังจิตของหลิงเซียวแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย หลิงหลานที่อยู่ในมิติการเรียนรู้ได้ยินเสียงอันเด็ดขาดนี้อย่างชัดเจน เธอฉุกใจขึ้นมา รีบโคจรพลังจิตของตัวเองอย่างบ้าคลั่งทันที
พลังจิตมหาศาลทำให้เสี่ยวซื่อที่ยืนอยู่ข้างกายหลิงหลานถอยหลังติดต่อหลายก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่เช่นกัน และถูกบีบให้ไปอยู่ในมุม พลังจิตของหลิงหลานระเบิดขึ้นมาฉับพลัน ทำให้เสี่ยวซื่อตกใจจนหน้าถอดสี เขาพยายามสุดชีวิตอยากเข้าไปใกล้หลิงหลาน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เข้าใกล้ไม่ได้เลย
ขณะที่เสี่ยวซื่อกำลังแตกตื่นอยู่นั้น เขาพลันตกตะลึง สีหน้าผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว และไม่เข้าไปใกล้หลิงหลานอีก หากแต่ยืนอยู่ด้านข้าง เพ่งมองหลิงหลาน เตรียมพร้อมทุกเมื่อ
พลังจิตที่ระเบิดออกมาของหลิงหลานฝ่าทะลวงผนึกของพลังวิถีครอบงำ ร่างกายที่เดิมทีเธอเชื่อมต่อไม่ได้เลยสักนิดเดียว ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาตอบรับรางๆ แล้ว หลิงหลานรู้ว่าจะพลาดโอกาสไปไม่ได้ ตะโกนดังลั่นว่า “เสี่ยวซื่อ ปลดผนึก!”
เสี่ยวซื่อคล้ายกับเคยถูกคนชี้แนะมาก่อน เมื่อคำพูดของหลิงหลานหลุดออกมา เขาก็รู้ว่าต้องทำอะไร เขาปลดผนึกพลังจิตของหลิงหลานที่เดิมทีเอ่อล้นออกมาและถูกผนึกไว้ชั่วคราวส่วนนั้น เมื่อพลังจิตเหล่านี้เพิ่มเข้าไปทำให้พลังจิตของหลิงหลานระเบิดออกเป็นสองเท่า และก็ทำให้พลังจิตที่ฝ่าผนึกของพลังวิถีครอบงำเพิ่มมากขึ้นด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะพลังงานของหลิงเซียวกับพลังวิถีต่อสู้กันเอง ทำให้พลังของวิถีครอบงำที่ดื้อรั้นไม่สนใจฝั่งของหลิงหลานไปชั่วขณะ พลังจิตของหลิงหลานจึงฝ่าทะลวงผนึกอย่างรวดเร็ว สัมผัสถึงร่างกายของเธอได้สำเร็จ
นี่ทำให้หลิงหลานยินดีเป็นบ้าเป็นหลังในใจ หลิงหลานรู้ดีเช่นกันว่า หากต้องการช่วยเหลือตัวเอง มีเพียงควบคุมร่างกายตัวเองได้ ถึงจะมีโอกาสผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ดังนั้นเธอจึงทุ่มสุดตัวสุดหัวใจ ให้พลังจิตของตนปกคลุมทั่วทั้งร่างกายตัวเองเอาไว้
ไม่นาน หลิงหลานสัมผัสได้ถึงร่างกายของตัวเอง ตามด้วยแขน ต้นขา แผ่ขยายออกไปอย่างช้าๆ ท้ายที่สุดก็มาถึงปลายนิ้วและปลายเท้า…เมื่อหลิงหลานควบคุมร่างกายได้ ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่ลึกล้ำเข้าไปในกระดูกสายหนึ่งสาดซัดเข้ามา
“ความรู้สึกนี้มัน คุ้นชะมัดยาดเลย” ทั่วทั้งร่างราวกับถูกมือนับไม่ถ้วนถลกออกทั้งเป็น เหมือนกับในชาติก่อนไม่มีผิด ถึงแม้ความเจ็บปวดจะเข้าสู่หัวใจ แต่หลิงหลานยังคงยิ้มขึ้นมา
สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดก็หมายความว่า เธอควบคุมร่างกายตัวเองสำเร็จแล้วจริงๆ
น่าเสียดาย สีหน้าดุดันไม่ได้เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาเพราะรอยยิ้มของเธอเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของหลิงหลาน เสี่ยวซื่อก็ร้องไห้ขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว “ฮือๆๆ ลูกพี่ เธอไหวหรือเปล่า?”
ภาพที่คุ้นเคยนี้ทำให้เสี่ยวซื่อนึกถึงชาติก่อนของหลิงหลาน เขากลัวว่าหลิงหลานจะเป็นเหมือนกับชาติที่แล้ว ท้ายที่สุดร่างกายไม่สามารถรองรับพลังเหล่านี้ไว้ได้ และพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาไม่สามารถพาหลิงหลานไปเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว ตอนนั้นเป็นเพราะมีจังหวะเวลาชัยภูมิที่ตั้งและมานะคน ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอะไรทั้งนั้น
ท่าทีหวาดหวั่นของเสี่ยวซื่อทำให้หัวใจของหลิงหลานทนไม่ไหว เธอกำลังคิดจะปลอบโยนเสี่ยวซื่อ ทว่าไม่มีโอกาสแล้ว เมื่อควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ สติของเธอก็ถูกดึงกลับมาที่ร่างกาย และออกไปจากมิติการเรียนรู้
หลิงหลานที่ยืนนิ่งไม่ขยับพลันส่งเสียงแหวะ กระอักเลือดพรวดออกมาหนึ่งคำ ถึงค่อยลืมตาขึ้นมาช้าๆ เห็นหลิงเซียวที่กำลังทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่เธอจะกระพริบตาปริบๆ
หลิงหลานนำพาพลังจิตที่แข็งแกร่งกลับมาที่กายเนื้อ ทำให้ร่างกายที่เดิมทีพังเสียหายยากจะรองรับไหว ถึงได้ทำให้อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง กระอักเลือดสดๆ ออกมา แต่หลิงหลานตอบสนองรวดเร็วสุดขีด ผนึกพลังจิตที่ล้นออกมาส่วนนั้นในชั่วพริบตา ไม่ให้ร่างกายพังทลายต่อไปเรื่อยๆ
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทำให้หลิงหลานไม่อาจเอ่ยปากพูดได้ไปชั่วขณะ เธอได้แต่กระพริบตาบอกใบ้เพื่อให้พ่อของเธอสบายใจ
หลิงเซียวเห็นแบบนี้ รู้ว่าหลิงหลานควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง ก็ตะโกนเสียงดังว่า “บีบพลังไว้อย่างสุดความสามารถ พ่อจะช่วยลูกเอง”
หลิงหลานได้ยินคำกล่าวก็เก็บพลังเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง พยายามสะกดเอาไว้ แต่พลังของวิถีครอบงำจะยอมแพ้เพียงเท่านี้ได้อย่างไร มันปฏิเสธการบีบคั้นของหลิงหลาน และอาละวาดอย่างคลุ้มคลั่งมากขึ้นแทน ขณะที่หลิงหลานกำลังรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอยู่นั้น พลังที่แข็งกร้าวรุนแรงอย่างมหาศาลสายหนึ่งได้พุ่งโจมตีพลังของเธอ ทำให้พลังที่โอหังพุ่งพรวดพราดพลันอ่อนลงไปนิดหน่อยทันที
เดิมทีหลิงหลานก็เป็นยอดฝีมือด้านทักษะการต่อสู้มือเปล่า บวกกับพรสวรรค์รู้แจ้งเห็นจริงของเธอ รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสดีในการบีบพลังเอาไว้ เธอเปิดใช้พลังจิตอีกครั้ง ยืมพลังของหลิงเซียว เริ่มบีบอัดพลังของตัวเอง…
ถ้าเกิดอาศัยเพียงตัวหลิงหลาน พลังของร่างเธอไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับพลังที่คลุ้มคลั่งเลย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ความสามารถของหลิงเซียวน่าสะพรึงกลัวสุดขีด ถ้าหากไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำร้ายหลิงหลานเข้าละก็ พลังของวิถีครอบงำนี้คงถูกเขาบีบให้สยบลงไปตั้งนานแล้ว เวลานี้การสะกดพลังวิถีครอบงำของหลิงเซียวแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไปตามหลิงหลานที่บีบอัดพลังให้ลดลงช้าๆ ท้ายที่สุดพลังทั้งหมดก็ถูกกดดันให้กลับเข้าไปในร่างกายของหลิงหลานได้สำเร็จ
ทว่าตอนนี้ถึงเป็นช่วงสำคัญที่สุด คุณสมบัติแต่เดิมของร่างกายหลิงหลานต่อต้านพลังที่ปะทุขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง นี่กำจัดความเป็นไปได้ที่จะหลอมรวมตามธรรมชาติ หากต้องการให้ทั้งสองอยู่ร่วมกัน มีเพียงอาศัยกำลังบังคับถึงจะมีโอกาสที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันได้…
เทียบกับความสับสนงุนงงของหลิงหลานแล้ว หลิงเซียวที่รอบรู้มีประสบการณ์เข้าใจเรื่องนี้ดีมาก เขาเองก็รู้ว่า ถึงแม้ตอนนี้เป็นวิกฤติของหลิงหลาน ทว่าขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสพลิกวิกฤติด้วย ขอเพียงคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ก็จัดการปัญหาของหลิงหลานได้อย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ยอมให้โอกาสนี้หลุดรอดไปเป็นอันขาด ดังนั้นเขาเลยตวาดเสียงดังว่า “หลานเอ๋อร์ ใช้พลังจิตของลูก เอาชนะพลังของลูก ทำให้มันยอมอยู่ใต้อำนาจลูกซะ!” ตอนที่หลิงหลานกลับมาเมื่อสักครู่นี้ก็นำพลังจิตสายนั้นมาด้วย ทำให้หลิงเซียวมองเห็นโอกาสสำเร็จ!
พอมีคำชี้แนะของหลิงเซียว หลิงหลานก็รู้ว่าควรทำอย่างไร เธอเปิดใช้พลังจิตในพริบตา เธอที่มีเป้าหมายแล้วก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย อัดพลังจิตทั้งหมดไปหาพลังในร่างกายที่ดื้อดึงพยายามหลุดออกจากการควบคุม
“จู่โจมทางจิต! จู่โจมทางจิต! จู่โจมทางจิต!…”
เพื่อกำราบพลังที่อาละวาดในร่างกาย หลิงหลานใช้การจู่โจมทางจิตหลายครั้งมาโจมตีพลัง อยากจะลดทอนพลังลงหน่อย
อย่างที่คิดไว้เลย หลังจากผ่านการโจมตีเหล่านี้ พลังที่คลุ้มคลั่งก็เปลี่ยนเป็นสงบลงไปมาก แต่ในใจหลิงหลานกลับยิ่งรู้สึกได้ถึงการคุกคาม ราวกับว่าพลังนั้นกำลังรอคอยการระเบิดรอบใหม่
ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่า ลางสังหรณ์ของหลิงหลานแข็งแกร่งมาก พอจู่โจมทางจิตหลายครั้ง ในที่สุดเมื่อพลังจิตที่ถูกผลาญไปเยอะมากไม่อาจประคับประคองไว้ได้ เลยทำให้พลังเจอโอกาสโต้กลับ ฉวยโอกาสชั่วพริบตานี้อาละวาดอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา เริ่มทำร้ายร่างกายหลิงหลาน ทำให้บาดแผลแต่เดิมของร่างกายหลิงหลานปริแตกอีกครั้ง เลือดไหลรินเป็นแม่น้ำโดยพลัน
“บังอาจ!” สภาพของหลิงหลานทำให้หลิงเซียวเดือดดาล พลังจิตที่แข็งแกร่งปกคลุมหลิงหลานไว้ทั่วทั้งร่าง
“หลานเอ๋อร์ ผ่อนคลายจิตใจ!” คำพูดของหลิงเซียวทำให้หลิงหลานใจกระตุก เธอผ่อนคลายพลังจิตลงอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะสัมผัสได้ถึงพลังจิตที่ทรงพลังสายหนึ่งหลอมรวมเข้ามา
“หลอมรวมจิต!” มีเพียงคนของสำนักบัญชาเทวะถึงสามารถทำเรื่องนี้ได้ หลิงเซียวกับหลิงหลานล้วนเป็นคนของสำนักบัญชาเทวะ ดังนั้นพลังจิตของพวกเขาเลยประสานกลมกลืนกันได้
หลิงหลานได้รับการเสริมกำลังจากพลังจิตของหลิงเซียวก็โจมตีกลับอย่างบ้าระห่ำทันที กดอัดพลังไว้ในจุดเดียว พลังงานของพลังอัดแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ไปตามการบีบอัดที่รุนแรงมากขึ้นไปทุกที ท้ายที่สุดก็ถูกบีบจนกลายเป็นลูกบอลกลมๆ เล็กๆ นับไม่ถ้วน กระจัดกระจายไปยังจุดต่างๆ ของร่างกาย
หลิงหลานรู้ว่าความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม ขอเพียงพยายามขึ้นอีกนิดก็สามารถควบคุมพลังของวิถีครอบงำได้อย่างสิ้นเชิง พอรู้สึกได้ถึงความหวังของหลิงหลาน หลิงเซียวก็เพิ่มการกดดันของพลังจิตอีกครั้ง
“พรวดๆๆๆ…” หลิงหลานได้ยินเสียงแบบนี้นับไม่ถ้วน ซึ่งดังขึ้นตรงจุดต่างๆ ของร่างกายเธอ หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกผ่อนคลาย ทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยกำลัง ความเจ็บปวดที่เหมือนกับฉีกกระชากแต่เดิมเริ่มบรรเทาลง เธอเริ่มโคจรเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายโดยอัตโนมัติ เยียวยาร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตัวเอง
หลิงเซียวเห็นหลิงหลานหลับตาลงอีกครั้ง และเวลานี้แทบจะไม่เห็นร่องรอยพลังที่คลุ้มคลั่งบนตัวหลิงหลานแล้ว หลิงเซียวก็ใช้พลังจิตตรวจสอบรอบหนึ่งอย่างไม่วางใจ พอพบว่าหลิงหลานแค่กำลังเสริมความแข็งแกร่งของขอบเขตและเยียวยาร่างกาย ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอกทันที
เดิมทีหลิงเซียวอยากรอหลิงหลานตื่น ทว่าผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ อุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือเขาก็เริ่มสั่นขึ้นมา หลิงเซียวมองดูก่อนจะขมวดคิ้ว เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว ถ้าเกิดไม่พาหลานลั่วเฟิ่งออกไปจากห้องชาแห่งนั้นอีก เกรงว่าจะกระตุ้นความสงสัยของคนอื่นได้ ผู้คุ้มกันลับของเขาส่งข้อความมาว่า มีหลายคนจับจ้องไปที่ห้องชา และก็กำลังหาโอกาสเข้าไปตรวจสอบสักรอบแล้ว
หลิงเซียวมองหลิงหลานอย่างเงียบงันแวบหนึ่งแล้วค่อยเปิดประตูห้องประลอง เดินออกไป และปิดประตูห้องทันที ขอเพียงข้างในห้องประลองมีคนอยู่ ด้านนอกก็ไม่สามารถเปิดออกได้ หลิงเซียวเลยวางใจเรื่องความปลอดภัยของหลิงหลานมาก
หลิงเซียวหายไปในเขตที่พักเช่นนี้เอง ผ่านไปไม่นาน หลิงเซียวที่ได้รับความสนใจมากมายก็พาหลานลั่วเฟิ่งออกไปจากห้องชา กลับไปยังที่พักของพวกเขา…
หลานลั่วเฟิ่งโมโหมากที่หลิงเซียวไม่สามารถพาหลิงหลานกลับมาได้ เธอนั่งเฉาอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายกลับไม่เห็นหลิงหลานเลยสักแวบเดียว ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเปิดเผยลูกสาวของตัวเองละก็ เธอคงจะอาละวาดอยู่ตรงนั้นแน่นอน...
หลังจากที่กลับมาถึงที่พัก หลานลั่วเฟิ่งก็เริ่มเค้นถามหลิงเซียวถึงสาเหตุที่ลูกสาวไม่มา หลิงเซียวกลัวว่าหลานลั่วเฟิ่งจะกังวลใจ เลยพูดเลี่ยงๆ ว่าเขาไปต่อสู้กับหลิงหลานในห้องประลองเพื่อทดสอบความสามารถของหลิงหลาน หลังจากนั้นหลิงหลานก็เลื่อนขั้นโดยไม่ตั้งใจภายใต้การกดดันของเขา เขาเลยขังหลิงหลานไว้ในห้องประลองเพื่อไม่ให้กระทบต่อการเลื่อนขั้นของหลิงหลาน ดังนั้นเลยไม่สามารถพาหลิงหลานมาพบเธอที่ห้องชาได้แล้ว
หลานลั่วเฟิงได้ฟังก็เดือดดาลทันที ดีนี่ ที่แท้คนที่ขัดขวางการพบหน้ากันระหว่างแม่ลูกของพวกเธอก็คือผู้ชายน่ารังเกียจตรงหน้านี้นี่เอง…อีกอย่าง เธอเลี้ยงลูกสาวที่แสนสดใสนะ ไม่ใช่ลูกชายที่บึกบึนทนทาน จะไปอยากได้ความสามารถแข็งแกร่งอะไรกันเล่า?
สรุปคือ หลานลั่วเฟิ่งที่โกรธเกรี้ยวได้พุ่งไปหาหลิงเซียวระดมหมัดและลูกเตะอย่างสูญเสียการควบคุม หลิงเซียวกลัวว่าจะทำร้ายหลานลั่วเฟิ่ง เลยไม่กล้าใช้กำลังภายในป้องกัน ดังนั้น พลเอกหลิงเซียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมาเนิ่นนานก็ได้รับบาดเจ็บแล้วในที่สุด
วันรุ่งขึ้น เมื่อนายพลหลิงเซียวเข้าร่วมกิจกรรมแห่งหนึ่ง ทุกการเคลื่อนไหวทำให้มุมปากของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ภายในชุดเครื่องแบบนายพลที่ยิ่งใหญ่องอาจนั้นซ่อนรอยช้ำเอาไว้นับไม่ถ้วน น่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
————————-