I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 447 ไม่ได้ซับซ้อนขนาดนั้น!
การประลองในวันที่สองของศึกประลองหุ่นรบผ่านไปอย่างราบรื่น ฉีหลงที่เขาร่วมการประลองทักษะต่อสู้มือเปล่าเจอยอดฝีมือในช่วงเช้าซึ่งมาจากโรงเรียนทหารชายที่สาม ขอบเขตทักษะการต่อสู้มือเปล่าของอีกฝ่ายเหมือนกับเขา อยู่ที่สูงสุดของขั้นกลางระดับพลังปราณเช่นเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าการประลองรอบนี้เป็นศึกยืดเยื้อ แต่หลิงหลานไม่กังวลใจเลย ภายใต้การฝึกฝนขัดเกลาในหลายปีมานี้ ความอดทนของฉีหลงย่อมเหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่าอย่างแน่นอน พูดได้ว่า ฉีหลงไม่กลัวการแข่งขันยืดเยื้อมากที่สุด
ทว่าบทสรุปในตอนสุดท้ายกลับอยู่เหนือความคาดหมายของหลิงหลานไปบ้าง บางทีอาจเป็นเพราะลูกพี่ของตัวเองมาชมการประลองที่สนามด้วยตัวเอง ฉีหลงเลยเหมือนกับฉีดยากระตุ้นเข้าไปก็ไม่ปาน รูปแบบการต่อสู้แต่เดิมก็มีพลังบ้าคลั่งอยู่แล้ว ในการประลองรอบนี้ ฉีหลงแสดงการยกตนข่มขวัญตั้งแต่แรก โจมตีรุนแรงฉับพลันกดดันฝ่ายตรงข้าม ซัดอีกฝ่ายจนรับมือไม่ทัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกเป็นฝ่ายรับ
การโหมโจมตีของฉีหลงรุนแรงและไม่สนใจเหตุผลมากเกินไป ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรับมืออย่างยากเย็นก็เผยช่องโหว่ออกมาโดยไม่ทันระวัง เดิมทีพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของฉีหลงก็คือสัญชาตญาณสัตว์ป่าซึ่งเป็นลางสังหรณ์ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ทันทีและก็ KO อีกฝ่ายในรวดเดียว คว้าชัยชนะมาได้
ตั้งแต่ที่การประลองนี้เริ่มต้นจนกระทั่งสิ้นสุดลงใช้เวลาสั้นสุดขีด ทำให้ผู้ชมที่คิดว่าเป็นการจับคู่กันอย่างเท่าเทียม ต้องสู้กันหลายร้อยกระบวนท่าจนถึงขนาดมากกว่าหนึ่งพันท่าถึงจะได้เห็นบทสรุปพากันตกตะลึง กระทั่งกรรมการที่รับผิดชอบเวทีของพวกเขาก็ยังไม่ทันได้สติประกาศชัยชนะหลังจากที่ฉีหลง KO คู่แข่งสำเร็จ และเป็นฉีหลงที่ทนรอไม่ไหว เอ่ยปากเตือนถึงจะเรียกสติเขากลับมาได้
ฉีหลงที่เข้าสู่รอบสามได้สำเร็จเจอการประลองแพ้คัดออกรอบใหม่อีกครั้งในตอนบ่าย ครั้งนี้คู่ต่อสู้ของเขาอ่อนด้อยกว่าเขาเล็กน้อย แต่ฉีหลงไม่ได้ผ่อนคลายความระมัดระวังลงเพราะอีกฝ่ายอ่อนแอกว่าเขา เขาต่อสู้อย่างสุดแรงใจ ทุ่มความสามารถทั้งหมดตั้งแต่เริ่มการประลอง ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายเลยสักนิดเดียว ท้ายที่สุดก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่น่าแปลกใจ ผ่านเข้าสู่รอบที่สี่
ฉีหลงที่สิ้นสุดการประลองของวันนี้เดินลงจากเวทีประลองและเห็นหลิงหลานผงกศีรษะให้เขาเล็กน้อย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก นี่หมายความว่าลูกพี่ของเขายังพอใจผลงานของเขาในวันนี้ เขากลัวว่าลูกพี่จะไม่พอใจ แล้วจะฝึกฝนหนักสุดขีดอีกครั้ง… คิดถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น ฉีหลงก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่
“ยินดีด้วยที่เข้ารอบ 200 คนสุดท้ายของการแข่งทักษะต่อสู้มือเปล่า!” หลิงหลานมองฉีหลงเดินมาที่ข้างกายเธอ ถึงแม้จะประหลาดใจนิดหน่อยว่าทำไมเจ้าหมอนี่ถึงเดินไปตัวสั่นงกๆ ไป แต่เห็นเขากำลังวังชาเต็มเปี่ยม หลิงหลานก็เมินเรื่องนี้ไป และแสดงความยินดีให้ฉีหลงโดยตรง
ฉีหลงได้ยินคำกล่าวก็ลูบหัวเกรียนๆ ของตัวเองอย่างขัดเขินและยิ้มโง่เง่าขึ้นมา
หลิงหลานพูดไม่ออก เธอไม่ได้เอ่ยหัวข้อนี้ต่อแล้วพูดถึงสถานการณ์การประลองของพวกสมาชิกทีมคนอื่นๆ ขึ้นมาแทน คนแรกที่พูดถึงก็คือ หานจี้จวินเพื่อนชายที่แสนสนิทสนมของฉีหลง “หานจี้จวินผ่านรอบคัดเลือกแล้วเหมือนกัน เข้าไปในรายชื่อ 50 คนที่เข้าร่วมรอบตัดสินสุดท้าย แต่ว่าอันดับอยู่ค่อนข้างท้าย ดูเหมือนจะสี่สิบสองหรือว่าสี่สิบสามนี่แหละ แย่กว่าลั่วเฉามาก ผลคะแนนรอบคัดเลือกของลั่วเฉาอยู่อันดับสามจากในหมู่ทุกคน ก็เลยเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกแล้ว…”
“หา ลั่วเฉาเก่งขนาดนี้เชียว? หานจี้จวินสู้ไม่ได้เลยเหรอ?” ฉีหลงถามด้วยความตื่นตะลึง
“อย่าดูถูกลั่วเฉานะ พรสวรรค์ของเธอก็คือเกิดมาเพื่อทำเรื่องนี้ ตอนที่เจอปัญหาในอวกาศ เธอสามารถทำการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมที่สุดได้ทันที ส่วนหานจี้จวินกลับต้องอาศัยสมองของเขามาวิเคราะห์วางแผนล้วนๆ เขาย่อมสู้ลั่วเฉาในแง่ความเร็วไม่ได้อยู่แล้ว” หลิงหลานอธิบาย “อีกอย่าง ฉันไม่คิดว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดของผู้หญิงจะด้อยกว่าผู้ชายหรอกนะ บางครั้ง เธอจะแข็งแกร่งมากขึ้น!” ตอนที่หลิงหลานกล่าวคำพูดนี้ก็มองฉีหลงแวบหนึ่งอย่างสื่อความหมาย
สายตานี้ทำให้ฉีหลงกลัวจนตัวสั่น เขาเริ่มคิดทบทวนว่า เขาเผลอพูดอะไรผิดตรงไหนหรือเปล่า เลยทำให้ลูกพี่ของเขาเข้าใจผิดว่าเขาดูถูกผู้หญิง?
ฉีหลงตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ คิดไม่ออกว่าตัวเองทำผิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ ขณะที่ละล้าละลังอยู่นั้น จู่ๆ ความคิดก็แล่นวาบขึ้นในสมอง…
หรือว่าเขาเพิ่งดูถูกน้องสาวลั่วเฉา ลูกพี่ก็เลยโมโห? ฉีหลงรู้แจ้งทันใด ลั่วเฉาเป็นเด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันกับพวกเขา ในช่วงที่เป็นลูกเสือ ลูกพี่ก็มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับลั่วเฉาแล้ว
ฉีหลงเชื่อว่าตนเองหาคำตอบเจอแล้ว ก่อนจะแอบเตือนตัวเองว่าต่อไปจะต้องดีต่อลั่วเฉาให้มากกว่านี้หน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตเธอกลายเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขาแล้วจะมาคิดบัญชีทีหลัง พอถึงเวลานั้น ถ้าเกิดเป่าหูข้างหมอนให้ลูกพี่ออกหน้าสั่งสอนพวกเขาเองละก็ พวกเขาจะต้องพบจุดจบน่าอนาถที่สุดอย่างแน่นอน
หลิงหลานย่อมไม่รู้ว่าฉีหลงจิ้นเธอกับลั่วเฉา ไม่รู้ว่าจินตนาการไปถึงตรงไหนแล้ว เธอเห็นฉีหลงก้มหน้าโดยไม่ส่งเสียงก็คิดว่าเขาเป็นห่วงหานจี้จวินเพื่อนซี้ของเขาเลยไม่ได้พูดหัวข้อนี้ต่ออีก และหันไปพูดถึงคนอื่นๆ แทน “เมื่อตะกี้ หลี่หลานเฟิงส่งข่าวมาว่า การประลองทางฝั่งหลี่ซื่ออวี๋จบแล้ว ที่หนึ่งของการแข่งขันปฐมพยาบาลแพทย์ทหารเป็นของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเราอย่างเป็นทางการแล้ว”
กล่าวถึงตรงนี้ มุมปากของหลิงหลานก็อดยกขึ้นไม่ได้ เธอมีความมั่นใจต่อหลี่ซื่ออวี๋ แต่ไม่นึกเลยว่า อีกฝ่ายจะคว้าอันดับหนึ่งมาได้ง่ายๆ ขนาดนี้ ได้ยินหลี่หลานเฟิงพูดว่า หลี่ซื่ออวี๋จบการประลองในรอบเดียว วิธีการและความเร็วในการปฐมพยาบาลของเขาทำให้กรรมการทุกคนตกตะลึง ผู้ป่วยห้ารายที่มีอาการบาดเจ็บแตกต่างกันและระดับการได้รับบาดเจ็บไม่เท่ากัน เขาใช้เวลาแค่สามนาทีก็รักษาทุกคนเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ วิธีการที่เลือกได้รับความเห็นชอบจากกรรมการทุกคนว่าเป็นวิธีการที่ดีเยี่ยมที่สุดด้วย
“ห้าคน? สามนาที? บ้าไปแล้ว เขาฉีดยากระตุ้นด้วยหรือไง?” ฉีหลงอึ้งทึ่ง เขารู้ว่าเทคนิคการรักษาของหลี่ซื่ออวี๋ล้ำเลิศมาก แต่ไม่นึกเลยว่าจะเก่งขนาดนี้ มาตรฐานการปฐมพยาบาลของแพทย์ทหารสหพันธรัฐคือ ห้านาทีต่อคน เขาถึงขนาดไม่จำเป็นต้องใช้เวลาต่อหนึ่งคนจนหมดเลยด้วยซ้ำ
“เพราะว่าหลี่ซื่ออวี๋ลดขั้นตอนการปฐมพยาบาลจนถึงขีดสูงสุดแล้ว และก็เพราะเรื่องนี้เอง พวกกรรมการแข่งขันปฐมพยาบาลแพทย์ทหารเลยคิดว่าไม่มีความหมายที่จะแข่งต่อไปแล้ว” หลิงหลานนึกได้ว่าคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ถูกเธอล่อลวงเข้ามาในหน่วยรบ ก็อดลอบภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้
ฉีหลงก็ดีใจด้วยเหมือนกันที่หน่วยรบของตัวเองมีแพทย์ทหารที่เก่งกาจขนาดนี้ ต่อไปชีวิตของพวกเขาย่อมปลอดภัยขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย
หลิงหลานพูดถึงฉางซินหยวนต่อว่า “ฉางซินหยวนก็เข้ารอบถัดไปแล้วด้วย จากที่จ้าวจวิ้นพูดมา ฉางซินหยวนอาจจะเก็บงำความสามารถบางส่วนไว้ ผลคะแนนเลยอยู่กลางๆ”
“เหล่าฉาง หมอนั่นชินกับการระมัดระวังตัวไปแล้ว น่าจะเป็นผลตกค้างจากการบีบคั้นของเฉียวถิง เขาไม่ชอบเข้าไปอยู่ในสายตาผู้คนมากๆ นี่ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย” ฉีหลงสนิทกับฉางซินหยวนมาก เนื่องจากฉางซินหยวนอายุมากกว่าพวกเขาหลายปี ดังนั้นพวกเขาก็เลยเรียกฉางซินหยวนว่า เหล่าฉาง
“อื้อ นี่เป็นปัญหา นี่ก็คือสาเหตุที่ฉันอยากให้ฉางซินหยวนเข้าร่วมการประลอง เขาต้องผ่านพ้นเรื่องนี้ไปให้ได้ ไม่งั้นเขาจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งไม่ได้” หลิงหลานรู้ปัญหาของฉางซินหยวนดีเช่นกัน และพูดเหตุผลที่เธอให้ฉางซินหยวนเข้าร่วมการประลองออกมา
“เขาทำได้แน่นอน” ฉีหลงมองฉางซินหยวนในแง่ดีมาก
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” หลิงหลานตอบกลับหนึ่งประโยค จากนั้นก็เงยหน้ามองการประลองรอบๆ ยังไม่สิ้นสุดลง เอ่ยถามว่า “ฉีหลง นายอยากดูการต่อสู้อีกไหม?” ในเมื่อฉีหลงประลองจบแล้ว หลิงหลานก็อยากกลับไปยังเขตที่พัก ถึงแม้ปัญหาเรื่องพลังจะแก้ไขแล้ว แต่ยังต้องฝึกฝนขัดเกลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อโคจรพลังที่อยู่ใต้อำนาจได้เป็นธรรมชาติ
“ไม่แล้ว 200 คนเลยนะ ใครจะไปรู้ว่าคู่แข่งของฉันคือใคร ไม่สู้กลับไปพักผ่อนดีกว่า สะสมพลังเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้วันพรุ่งนี้” ฉีหลงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมามาก เขาไม่อยากเสียเวลาที่นี่แล้ว
“งั้นก็ดี พวกเราไปกันเถอะ!” หลิงหลานพาฉีหลงออกไปจากสนามประลอง ระหว่างทางกลับไป ในที่สุดฉีหลงก็เรียกความกล้า ถามคำถามที่ซ่อนลึกอยู่ในใจเขามาตลอดว่า “ลูกพี่ ทำไมในศึกประลองรอบนี้ นายถึงไม่เข้าร่วมรายการเดี่ยว เอาแต่เข้าร่วมการประลองแบบกลุ่มอย่างเดียวละ? นายควรรู้นะ ไม่ว่าทักษะการต่อสู้มือเปล่า หรือว่าการประลองหุ่นรบ ไม่มีใครเป็นคู่แข่งของนายได้เลย ต่อให้เป็นเฉียวถิงก็ตาม” ความเชื่อมั่นของฉีหลงที่มีต่อหลิงหลานคือหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาไม่คิดว่ามีใครในหมู่นักเรียนโรงเรียนทหารสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของลูกพี่ตัวเองได้
หลิงหลานเหลือบมองฉีหลงอย่างเย็นชา ทำให้ความกล้าที่เพิ่งจะเรียกขึ้นมาของฉีหลงวิ่งหนีเตลิดไปทันที
อันที่จริงแล้วสายตาของหลิงหลานนั้นเป็นสายตาประหลาดใจ ไม่ได้มีความหมายอะไรอื่นเลย เพียงแต่ฉีหลงอยู่ใต้การกดขี่ ‘ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ’ ของหลิงหลานมาโดยตลอด ดังนั้นก็เลยหวาดกลัวไปเอง
หลิงหลานครุ่นคิดแล้วค่อยเอ่ยว่า “การประลองทักษะต่อสู้มือเปล่า มีนายอยู่ก็พอแล้ว! หุ่นรบ เฉียวถิงคว้าแชมป์ได้ไม่มีปัญหา และให้จ้าวจวิ้นขึ้นไปรับประสบการณ์วิธีการต่อสู้ของยอดฝีมือดู ก็เป็นประโยชน์ต่อเขา…” เพื่อรักษาภาพลักษณ์เจิดจรัสของเธอที่เป็นลูกพี่ เธอได้แต่จำเป็นต้องทำตัวจิตใจสูงส่งงดงาม ไม่เห็นแก่ตนเอง
“สิ่งสำคัญที่สุดคือ ฉันตั้งเป้าหมายไว้ที่การต่อสู้ประจัญบานตอนสุดท้าย ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเฉียวถิงคือคู่แข่ง…” หลิงหลานกล่าวถึงตรงนี้ก็ปิดปากไม่กล่าวอะไร แต่ฉีหลงกลับรู้ความหมายลึกซึ้งในคำพูดของหลิงหลาน เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง สาเหตุที่ซ่อนอยู่ด้านหลังคนอื่นก็เพื่อรุกฆาตในตอนสุดท้าย! สมกับเป็นลูกพี่ของเขาจริงๆ วางแผนเอาไว้เรียบร้อยมาตั้งแต่แรกแล้ว
หลายวันต่อมา การประลองบางอย่างสิ้นสุดลง การประลองบางอย่างเริ่มต้นขึ้น กระทั่งการประลองหุ่นรบที่ผู้คนจับตามองก็เตรียมพร้อมเริ่มต้นในวันที่เจ็ดของศึกประลองหุ่นรบเช่นกัน ซึ่งเหมือนกับการประลองทักษะต่อสู้มือเปล่า แต่ละโรงเรียนจะมีโควตาห้าคน สำหรับโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งนอกจากเฉียวถิงแล้ว หน่วยรบหลิงเทียนได้ส่งจ้าวจวิ้นออกไป การตัดสินใจนี้ไม่ได้ทำให้นักเรียนที่เข้าร่วมการประลองคนอื่นๆ ประหลาดใจ เพราะในฉากหน้า คนที่มีความสามารถด้านหุ่นรบสูงสุดของกลุ่มหุ่นรบหลิงเทียนก็คือจ้าวจวิ้น
เทียนจีกับอู๋จี๋ก็ส่งหัวหน้ากลุ่มออกไปประลอง ส่วนโควตาสุดท้าย หลิงหลานให้จางจิงอัน อย่างไรเสียก็เป็นคนที่ออกมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ บวกกับความสามารถของจางจิงอันไม่ได้อ่อนด้อย หลิงหลานก็เลยเปิดประตูหลังให้อย่างโจ่งแจ้ง
นอกจากหานจี้จวินจะเข้าร่วมการประลองเส้นทางยานบินแล้ว เขายังเข้าร่วมการประลองวางแผนกลยุทธ์ด้วย ขณะเดียวกันยังมีหลี่หลานเฟิงเข้าร่วมด้วย พวกเขาสองคนเข้าสู่รายชื่อรอบตัดสิน 50 คนสุดท้าย หานจี้จวินเข้าสู่สิบอันดับแรก ทว่าหลี่หลานเฟิงกลับอยู่ที่สามสิบกว่าๆ ผลลัพธ์นี้ทำให้หลิงหลานประหลาดใจ หลี่หลานเฟิงเกิดมาเพื่อทำเรื่องนี้ ตรงกันข้าม หานจี้จวินโน้มเอียงไปทางชอบใช้กลยุทธ์ที่เปิดเผยมากเกินไปขณะวางแผน และมองข้ามกลยุทธ์ที่ชั่วร้าย…
หลังจากนั้นหลิงหลานถามหลี่หลานเฟิงว่า ทำไมผลคะแนนถึงเป็นแบบนี้ หลี่หลานเฟิงกลับยิ้มโดยไม่พูดอะไร…ท้ายที่สุดถึงค่อยเอ่ยด้วยความจนใจ ภายใต้สายตาเย็นเยียบบีบคั้นอันแสนคมกริบของหลิงหลาน “ฉันแค่เดินตามรอยนาย ศึกสุดท้าย พอความสนใจของทุกคนไปอยู่ที่หานจี้จวิน...”
เมื่อได้ยินคำกล่าว หลิงหลานก็เกาดั้งจมูก อึดอัดใจมากๆ สาเหตุที่เธอไม่ได้เข้าร่วมการประลองอื่นย่อมไม่ซับซ้อนเหมือนที่หลี่หลานเฟิงคิดไว้ขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะพลังของเธอเกิดปัญหาเลยต้องฝึกปรือสักหน่อยเหรอ? แน่นอนว่า เธอไม่ได้ปฏิเสธว่ามีความคิดแบบนี้ เพียงแต่นั่นเป็นเรื่องที่เธอคิดหลังจากที่เธอไม่สามารถเข้าร่วมการประลองได้แล้วเท่านั้น
——————-