I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 489 แตะมือเป็นพันธมิตร! (1)
เวลานี้มีพวกหัวหน้าทีมที่อ่านเอกสารแล้วพลันหวนนึกถึงเนื้อหาข้อที่เจ็ดที่พวกเขาได้เห็น แล้วก็รู้แจ้งทันใด ทีนี้ไม่ว่าหัวหน้าทีมรวมถึงบรรดาสมาชิกทีมที่ตอนแรกตั้งคำถามหรือว ว่าตอนแรกไม่เชื่อมั่นในตัวหลิงหลานล้วนทำหน้ายอมรับอย่างสุดจิตสุดใจ
รองหัวหน้าทีมของจางจิงอันเห็นแบบนั้นก็รีบเอ่ยปากประกาศจุดยืนว่า “หัวหน้ากลุ่มหลิง หน่วยรบของพวกเราจะฟังคำสั่งของนายแน่นอน” เสียงนี้กระตุ้นให้หัวหน้าทีมสองคนของหน่วยหุ่น นรบอื่นทยอยแสดงจุดยืน และก็ยินดีเชื่อฟังคำสั่งของหลิงหลานทุกอย่าง
เวลานี้หลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินสบตากันอีกครั้ง รองหัวหน้าทีมจางจิงอันออกความคิดเห็นหลายครั้ง สนับสนุนลูกพี่หลานทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ถ้าเกิดพวกเขาไม่รู้ว่าจางจิงอันร่วมมื อกับลูกพี่หลานแล้วละก็ พวกเขาก็ไม่คู่ควรเป็นเสนาธิการของหน่วยรบหลิงเทียน
เฉียวถิงเห็นแบบนี้ ในใจก็ไม่สบายใจ เขารู้ว่าเขาไม่มีวาสนาต่อตำแหน่งผู้บัญชาการนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เฉียวถิงยอมแพ้เงียบๆ ก่อนหน้านี้ หนึ่งเป็นเพราะโดนหลิงหลานกับหลี่หลานเ เฟิงร่วมมือกันใช้คำพูดมาผูกมัดเขา จำเป็นต้องถอยชั่วคราว อีกสาเหตุหนึ่งคือ เขาอยากดูว่าหลิงหลานสามารถควบคุมกลุ่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์หรือเปล่า เมื่อพบว่าหลิงหลานไม่สามารถควบ บคุมบรรดาหัวหน้าทีมต่างๆ ที่หัวแข็งดื้อรั้นเหล่านี้ได้ เฉียวถิงก็จะเตรียมตัวลงมือ เวลานั้นเขาก็นับว่ามีเหตุผลพอให้เป็นคนสั่งการแล้ว
น่าเสียดาย ผลสุดท้ายทำให้เขาจนใจมาก วิธีการของหลิงหลานยังเด็ดขาดแข็งกร้าวกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของหานอวี้ เขาก็ไม่ได้เลือกประนีประนอม หากแต่ ยอมทิ้งอีกฝ่ายไปเลยดีกว่า และก็ทำให้หานอวี้ก้มหัว นี่ไม่เพียงกดดันมาดหยิ่งยโสของหานอวี้ ขณะเดียวกันก็ขู่ขวัญหัวหน้าทีมคนอื่นๆ รวมถึงบรรดาสมาชิกด้วย ไม่มีใครกล้าคัดค้าน การตัดสินใจของหลิงหลานอีก ทำให้ทุกคนดำเนินการตามคำสั่งอย่างรวดเร็วอย่างแท้จริง เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!
เมื่อเห็นทุกคนกำลังมองเธอเป็นผู้บัญชาการแล้ว หลิงหลานก็รู้ว่าควรพอแค่นี้แล้ว เธอให้หัวหน้าทีมต่างๆ ไปที่คลังอาวุธเลือกอาวุธที่หน่วยรบตัวเองต้องการ แล้วมอบป้ายชื่อตัว วแทนเธอให้หลินจงชิง หลังจากที่หัวหน้าทีมต่างๆ เลือกเสร็จแล้วก็ให้หลินจงชิงใช้ป้ายชื่อเธอทำการยืนยันสุดท้าย หลิงหลานเป็นหัวหน้านำทีมที่แท้จริงของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง ตอน นที่ลงทะเบียน ก็ใช้ป้ายชื่อของเธอเป็นหลักฐานในการรับเงินห้าสิบล้าน
เฉียวถิงกำลังคิดจะลุกขึ้นแล้วจากไป หลิงหลานพลันหันหน้าไปเอ่ยกับเขาว่า “หัวหน้าทีมเฉียว รบกวนนายอยู่ต่อด้วย”
เฉียวถิงชะงัก หลังจากนั้นก็นั่งลงด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก รอคอยสิ่งที่หลิงหลานจะพูดเงียบๆ
หลิงหลานไม่ได้เอ่ย หากแต่ให้หานจี้จวินหยิบกระดาษกับปากกาออกมา แล้วเริ่มวาดลงบนกระดาษ ผ่านไปประมาณสามนาที หลิงหลานถึงค่อยเงยหน้าขึ้น เอ่ยกับเฉียวถิงว่า “หัวหน้าเฉียว น นายเข้ามาช่วยฉันตรวจสอบหน่อย?”
เฉียวถิงอึ้งไป เขาเดินเข้าไปก่อนจะพบว่าสิ่งที่หลิงหลานวาดก็คือเนื้อหาที่ปรากฏในหน้าจอใหญ่หนึ่งนาทีตอนพิธีจับฉลาก หลิงหลานวาดออกมาได้ประมาณเจ็ดส่วน บางตำแหน่ง เขาไม่ ได้สังเกตเลย ไม่นึกเลยว่าหลิงหลานจะจำทั้งหมด
“ช่วยฉันเติมที!” หลิงหลานยื่นปากกาในมือเข้าไป
เฉียวถิงเงยหน้าเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมต้องให้ฉันเติมด้วย?”
สายตาของหลิงหลานจ้องไปที่เฉียวถิงโดยตรง ถามกลับด้วยสีหน้านิ่งๆ ว่า “หัวหน้าเฉียว หรือว่านายไม่ได้จำแผนที่?”
เฉียวถิงเงียบไปอีกครั้ง ไม่นึกว่าความคิดและการกระทำของเขาจะโดนหลิงหลานดูออก นี่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกเหมือนโดนหลิงหลานควบคุม เฉียวถิงสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ปล่อยวางร่ องรอยความพ่ายแพ้ในใจ จากนั้นก็รับปากกา และวาดจุดที่หลิงหลานไม่ได้จำออกมา คราวนี้แผนที่ก็สมบูรณ์เกือบแปดส่วนแล้ว
เมื่อเห็นเฉียวถิงวางปากกา หลิงหลานก็ผงกศีรษะกล่าวว่า “ถึงแผนที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็พอให้พวกเราใช้แล้ว”
เฉียวถิงแทบจะกระอักเลือด นี่ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์อีกเหรอ? ถ้าเกิดหลิงหลานไม่ได้จำแผนที่คนเดียวเกือบเจ็ดส่วน และสามส่วนที่เขาจำได้ มีประมาณหนึ่งส่วนที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำ หลิงหลานพอดี ถึงสามารถทำแผนที่ที่สมบูรณ์เกือบแปดส่วน เชื่อว่านอกจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแล้ว โรงเรียนอื่นไม่มีแผนที่ที่เกือบสมบูรณ์แบบเช่นนี้แน่นอน
หลิงหลานไม่สนใจสีหน้าหงุดหงิดของเฉียวถิง เธอหันหน้าไปสั่งหลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินว่า “รีบทำแผนที่แบบนี้ออกมาสิบแผ่น ฉันจะใช้”
“ได้ หัวหน้า!” หานจี้จวินกับหลี่หลานเฟิงรีบพยักหน้าตอบรับ เนื่องจากสถานะของหลิงหลานที่เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาสองคนจึงทิ้งวิธีการเรียกแบบสบายๆ ในชีวิตประจำวันพร้อมกันโดยไม่ได ด้นัดหมาย แล้วแทนที่ด้วยวิธีการเรียกที่เป็นมาตรฐานของหน่วยรบ
แววตาของหลิงหลานปรากฏรอยยิ้ม หานจี้จวินกับชีตาห์มีมองได้ทะลุปรุโปร่งจริงๆ รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเหมาะสม หลังจากที่เธอรับตำแหน่งผู้บัญชาการทีมโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง คำเรียก กว่า ‘ลูกพี่’ ที่มีกลิ่นอายนักเลงมาเฟียแต่เดิมนั้นก็ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว
ทางด้านหลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินกำลังยุ่งอยู่กับการทำแผนที่ ทางเฉียวถิงก็พาคนของเขาออกไปจากห้องประชุม เขาต้องไปเลือกอาวุธแปดล้านให้ดีๆ นี่เกี่ยวพันถึงกำลังรบของหน่วย ยรบพวกเขา เฉียวถิงไม่กล้าทำลวกๆ
ไม่นาน คนในห้องประชุมก็เดินออกไปจนหมดแล้ว เหลือเพียงคนของหน่วยรบหลิงเทียนเท่านั้น ฉางซินหยวนเห็นว่าไม่มีคนนอกแล้ว ร่างกายที่เดิมทีกลั้นหายใจตัวแข็งทื่อมาตลอดก็ผ่อยคลาย ลงทันที ให้ตัวเองทรุดตัวลงบนเก้าอี้ ให้ตายสิ เขาใกล้จะอึดอัดตายอยู่แล้ว
หลี่หลานเฟิงที่เดิมทีกำลังวาดแผนที่สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวทางด้านฉางซินหยวน เขาคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็หยุดปากกา หันหน้าไปถามว่า “ฉางซินหยวน ของพวกนั้น นาย ยทำไว้ทั้งหมดกี่อันเหรอ?”
“สิบอันน่ะ ทำไม? เกิดปัญหาเหรอ?” ฉางซินหยวนถามด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าทั้งหมดโดนทำลายไปแล้วเหรอ? ทำไมหลี่หลานเฟิงยังต้องถามมากด้วย?
“งั้นก็ไม่ใช่แล้ว เสียงระเบิดที่ฉันได้ยินมีสิบสองเสียง” หลี่หลานเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าขรึม เขามองไปยังหานจี้จวินที่อยู่ด้านข้าง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “ดูท่ามีโรงเรียนอ อื่นลงมือใส่พวกเราแล้วจริงๆ ถ้าเกิดให้ฉันตรวจเจอนะว่าพวกเขาเป็นใคร ตอนต่อสู้ประจัญบาน ก็เริ่มต้นด้วยการเอาพวกเขามาอุ่นเครื่องก่อนเลย” จิตสังหารพวยพุ่งในคำพูดนี้
“ถ้าเกิดฉันเดาไม่ผิด หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นโรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่ง” หลิงหลานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน ใช้มือประคองแก้มตัวเองอย่างเกียจคร้าน เอ่ยปากขึ้นมาทันใด
หลี่หลานเฟิงประหลาดใจ “กระต่าย? นายรู้ได้ยังไง?”
หลิงหลานส่งสายตาเย็นชาเหลือบมองหลี่หลานเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์ หมอนี่ไม่รู้หรือไงว่าเธอไม่ชอบชื่อเล่นกระต่ายนี้เอามากๆ”
เมื่อเธอเห็นข้างร่องรอยความลอบยินดีและลำพองใจหลุดรอดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจากในแววตาของหลี่หลานเฟิง หลิงหลานก็รู้แจ้งทันใด ก่อนจะรู้สึกขบขันเล็กน้อยทันที ไม่นึกเลยว่าช ชีตาห์ที่ทำตัวสุขุมชาญฉลาดก็มีด้านที่เป็นเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ เรียกเธอว่ากระต่าย ก็เพื่อจะได้ยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ? หลิงหลานที่รู้สึกว่าห ลี่หลานเฟิงที่เป็นแบบนี้ดูตลกมากๆ ก็เลยไม่ได้ห้ามปรามหลี่หลานเฟิงเรียกชื่อนี้…
‘อืม ว่าไงดี เธอเองก็เป็นคนที่เป็นห่วงความรู้สึกเพื่อน ในเมื่อเพื่อนชอบ งั้นก็ปล่อยตามใจเขา เรียกเธอว่า ‘กระต่าย’ เธอก็ไม่ได้เสียอะไรสักหน่อย!’ หลิงหลานคิดแบบนี้
ส่วนหานจี้จวินคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างได้ เขาขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “หรือว่าพวกลั่วเฉาอยู่เบื้องหลัง?”
หานจี้จวินยังคงจำได้ว่าเมื่อวานตอนที่ฉลองเป็นแชมป์การประลองหุ่นรบแบบทีม ลูกพี่หลานได้เตือนพวกเขาถึงเวลาและสถานที่รวมตัวประชุมในวันนี้ ตอนนั้นลั่วเฉากับหานซู่หย่าก็อยู่ ด้วย และพวกเธอก็ได้ยินเช่นเดียวกัน
“อื้อ! นิสัยของหานซู่หย่าไม่เอาใจใส่รอบคอบ บางทีอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้ แต่ลั่วเฉาที่เฉลียวฉลาดจะต้องเอาคำพูดไปบอกตามหน้าที่ที่ได้รับมาอย่างสุดความสามารถแน่ๆ” หลิงหลานไม่ ได้ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย มุมปากของเธอยกขึ้นน้อยๆ เอ่ยพลางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ถ้าเกิดโรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่งนิ่งเงียบไม่ทำอะไร นั่นถึงค่อยทำให้ฉันผ ผิดหวังแล้ว”
คำพูดนี้ของหลิงหลานทำให้หานจี้จวินจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง ลูกพี่หลานพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าลั่วเฉาหักหลังพวกเขาแล้วจริงๆ? แต่ในคำพูดของลูกพี่หลานกลับไม่มีควา ามโมโหเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อเกี่ยวพันถึงเพื่อนสนิทของตัวเอง สมองของหานจี้จวินก็เหมือนกับหยุดค้างก็ไม่ปาน มีไฟเพียงนิดหน่อยในความมืดมิด ปฏิกิริยาตอบสนองเชื่องช้าเล็กน้อย
หลี่หลานเฟิงกลับดวงตาเปล่งประกาย “กระต่าย นายหมายความว่า ลั่วเฉาเข้าใจความคิดของนาย ที่จงใจบอกข่าวเรื่องประชุมให้พวกเขาฟังสินะ?”
หลิงหลานพยักหน้ากล่าวว่า “ใช่ ถึงแม้ลั่วเฉาน้อยขี้อายไปหน่อย แต่ว่าสมองกับการรับรู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าจี้จวินเลย” น้ำเสียงของหลิงหลานแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ ใครว่าผู้หญิงอย่างพว วกเราสู้ผู้ชายไม่ได้กัน?
ลั่วเฉาน้อย? วิธีการเรียกที่สนิทสนมมาก! แล้วน้ำเสียงภาคภูมิใจนี้อีก ดูยังไงก็เหมือนโอ้อวดเลย…หลี่หลานเฟิงนึกถึงลั่วเฉาที่หลิงหลานเคยเต็มใจยอมไปซื้อเสื้อผ้าด้วย (หลี่ หลานเฟิง นายเมินหานซู่หย่าไปแล้วเหรอ?) ถึงขนาดที่ยังเลือกเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง ผู้ชายที่ยินดีทำเรื่องน่ารำคาญพวกนี้เพื่อผู้หญิงหนึ่งคน…นอกจากเป็นแฟนกันแล้ว ยัง เป็นอะไรได้อีกล่ะ?
พอคิดถึงตรงนี้ หลี่หลานเฟิงก็พึมพำในใจอย่างคลุมเครือ ‘กระต่ายเด็กขนาดนี้ ก็มีแฟนแล้ว จะให้ผู้ชายอายุยี่สิบอย่างพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไงอีกล่ะ?’ เอาเถอะ หลี่หลานเฟิงอิ จฉานิดๆ แล้ว เขาคิดอย่างแค้นใจว่า ‘กระต่ายไม่รู้จักเคารพอาวุโสเลยหรือไง? น่าจะให้รุ่นพี่มีก่อนแล้วรุ่นน้องถึงจะมีได้สิ แบบนี้ถึงจะถูกนะ!’
หานจี้จวินย่อมไม่รู้ความคิดเหล่านี้ของหลี่หลานเฟิง เขาตระหนักได้ทันทีเพราะการเตือนของหลี่หลานเฟิง แววตาของเขาทอประกาย มีร่อยรอยความยินดีปรีดา ก่อนจะกล่าวว่า “ลูกพี่ นาย ยอยากร่วมมือกับโรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่งเหรอ?”
“ไม่ใช่ฉันอยาก แต่ว่าพวกเขาอยาก!” หลิงหลานตอบกลับเรียบๆ ไม่ว่าร่วมมือหรือไม่ร่วมมือ ผลลัพธ์สุดท้ายของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง สาเหตุที่เธอยินดีให้โอกาสนี้ กับโรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่ง เป็นเพราะว่านั่นคือโรงเรียนของลั่วเฉากับหานซู่หย่า หลิงหลานไม่ถือสาที่จะช่วยพวกเขา
แน่นอนว่า เงื่อนไขข้อแรกคือพวกเขาต้องการร่วมมือด้วยใจจริง ถ้าเกิดอยากใช้ประโยชน์พวกเขา หลิงหลานไม่มีทางใจดีออมมือให้อีกฝ่ายเพราะพวกลั่วเฉากับหานซู่หย่าแน่นอน
หานจี้จวินกำลังคิดจะถามต่อ หลิงหลานพลันเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้าประตูห้องประชุม มือข้างหนึ่งทำท่าหยุด ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา”
หานจี้จวินทำหน้าจริงจัง กลับคืนสู่สีหน้าเคร่งขรึมของตัวเอง ส่วนหลี่หลานเฟิงก็เก็บแผนที่ที่เขากับหานจี้จวินวาดเอาไว้หลายแผ่นขึ้นมาจากบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว รอจนกระทั่งเก็บ บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เห็นศีรษะเล็กๆ ชะโงกออกมาอย่างเงียบๆ ตรงหน้าประตู เมื่อเห็นพวกหลิงหลานอยู่ ดวงหน้าพลันเบิกบานมีความสุข รอยยิ้มเขินอายผุดออกมาเงียบๆ เธอ—ก็คือลั่ว เฉานี่เอง