I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 492 การต่อสู้ประจัญบานที่แท้จริง! (2)
“เลือกจนตาลายอะไร? ฉันรักษาตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องมากเลยนะ!” หลิงเซียวปรายตามองเพื่อนสนิทของตัวเองอย่างตักเตือน ไม่ให้เขาพูดจามั่วซั่ว ภรรยาของเขาก็ขึ้นยานตามเขามาด้วย ถ้าเกิดทำให้เธอเข้าใจผิดขึ้นมา เขาก็เจอโศกนาฎกรรมแล้ว
“ได้ๆๆ ฉันรู้ว่านายเป็นคนกลัวเมีย ฉันไม่พูดแล้ว!” ชิวเยี่ยได้แต่ยกมือยอมแพ้ บ่งบอกว่าเขารู้แล้ว ดูสิ นี่ก็คือวีรบุรุษที่สูญเสียความกล้าหาญเพราะลุ่มหลงในความรัก หลิงเซียวมีหน้ามีตาข้างนอกเพียงใด เมื่อกลับบ้านก็ยังต้องสงบเสงี่ยมเชื่อฟังไม่ใช่เหรอ? พูดตามตรง โศกนาฎกรรมของหลิงเซียวก็เป็นสาเหตุที่เพื่อนเก่าเหล่านี้ไม่กล้าแต่งภรรยาง่ายๆ พวกเขากลัวว่าจะกลายเป็นหลิงเซียวคนต่อไป
“นี่เรียกว่ารสนิยมเข้าใจไหม? คนโสดอย่างพวกนายรับรู้ถึงความสุขใจในนี้ไม่ได้หรอก” หลิงเซียวกล่าวอย่างดูถูก อุดมการณ์ต่างกันย่อมไปด้วยกันไม่ได้ หมาป่าเจ้าชู้ที่ไม่เคยเจอความรักที่แท้จริงพวกนี้จะไปเข้าใจความรู้สึกระหว่างเขากับหลานลั่วเฟิ่งได้อย่างไร
“เอาล่ะ พระจันทร์น้อย[1] ฉันต้องกลับไปอยู่กับภรรยาแล้ว” หลิงเซียวลุกขึ้น ก่อนจะหยิบหมวกทหารที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาสวม
“ให้ตายสิ อย่าเรียกฉันว่าพระจันทร์น้อยนะ!” ชิวเยี่ยตวาดด้วยความเดือดดาล กี่ปีแล้วนะ นับตั้งแต่ที่หลิงเซียว ‘พลีชีพ’ เขาก็ไม่เคยได้ยินชื่อที่ทำให้เขาเกลียดชังนี้อีกเลย เวลานี้พอได้ยินอีกก็รับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวในยามก่อนอีกครั้ง ทำให้เขาลืมมาดที่ผู้บัญชาการควรมี และเสียกิริยาขึ้นมาทันที
ภายในห้องเสนาธิการที่อยู่ด้านข้าง เหอซวี่หยางกำลังดื่มชาคุยเล่นกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการของยานบิน ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถามว่า “หืม นายได้ยินอะไรหรือเปล่า?”
“…ไม่!” นั่นไม่ใช่เสียงของผู้บัญชาการพวกเขาแน่นอน! เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
“อ้อ งั้นฉันน่าจะฟังผิดไป” เหอซวี่หยางเอ่ยพลางแย้มยิ้ม พระจันทร์น้อย? ผู้บัญชาการยานรบชิวเยี่ย? รอยยิ้มตรงมุมปากเขากว้างขึ้น ไม่นึกเลยว่าพลตรีชิวเยี่ยจะมีชื่อเล่นแบบนี้ด้วย จุ๊ๆๆ นายพลของเขาชั่วร้ายมากเกินไปจริงๆ!
“ฮ่าๆ ยังเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ เรียกชื่อนี้ทีไร นายก็โมโหตลอด” หลิงเซียวหัวเราะขึ้นมาด้วยความคิดถึง
“ถ้านายพูดอีก ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับนายอีกแล้วนะ!” ชิวเยี่ยตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ก็ได้ ในเมื่อนายพูดถึงขนาดนี้ ฉันก็จะไม่พูดแล้ว” หลิงเซียวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เขาจัดหมวกทหารของตัวเองแล้วก็เตรียมตัวจากไป
“เชี่ย ไปเร็วขนาดนี้เชียว? งั้นนายเรียกให้ฉันมาทำไม?” ดวงหน้าของชิวเยี่ยเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เรียกหาเขาเพื่อคุยแค่ไม่กี่ประโยคก็เตรียมตัวกลับไปหาภรรยาเนี่ยนะ? นี่มันเห็นภรรยาดีกว่าเพื่อนมากเกินไปแล้ว
ฝีเท้าของหลิงเซียวหยุกชะงักโดยพลัน เขาลังเลอยู่สักพักถึงค่อยกล่าวว่า “พอรู้ว่าคนที่รับผิดชอบการขนส่งคือนาย ฉันถึงได้มาเยี่ยมนายไง อีกอย่าง ฉันอยากถามนายว่า นายอยากมากองทัพที่ยี่สิบสามของฉันไหม”
ชิวเยี่ยได้ยินคำกล่าวก็เกือบจะคว่ำถ้วยชาในมือด้วยความตื่นเต้น เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าวทันใด ก่อนจะชกไปที่ไหล่ของหลิงเซียวแรงๆ แล้วเอ่ยพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก “แม่งเอ๊ย ฉันรอนายเรียกตัวตั้งแต่ที่นายตั้งกองทัพที่ยี่สิบสามขึ้นมา รอมาหนึ่งปีไม่มีการเคลื่อนไหว ฉันยังนึกว่านายลืมเพื่อนเก่าอย่างพวกฉันไปแล้วนะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง? เพียงแต่ผ่านไปสิบเจ็ดปีแล้ว สิ่งของยังคงเหมือนเดิมแต่ผู้คนเปลี่ยนไป ตอนนี้เพื่อนหลายคนก็มีตำแหน่งสูงกันทั้งนั้น ทำให้ฉันต้องระมัดระวังว่า พวกนายยังยินดีเริ่มต้นใหม่กับฉันหรือเปล่า” หลิงเซียวอดกังวลไม่ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาขบคิดพิจารณามาหนึ่งปีถึงค่อยตัดสินใจมาหาเพื่อนเก่าเหล่านี้
คำพูดของหลิงเซียวทำให้รอยยิ้มของชิวเยี่ยเลือนหายไป เขาเองก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าระหว่างพวกเขานั้น มีหลายคนได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาได้แต่ถอนหายใจทีหนึ่ง สิบเจ็ดปีเพียงพอที่จะเปลี่ยนบางคนและบางเรื่องได้ จะมีสักกี่คนที่ยังจดจำคำมั่นสัญญาตอนวัยหนุ่มได้?
“เลิกถอนหายใจน่า แค่นายยินดีมา ฉันก็พอใจมากแล้ว ไว้รอคำสั่งโยกย้ายจากฉันละกัน” ไฉนหลิงเซียวจะมองความผิดหวังของชิวเยี่ยไม่ออก เขายิ้มพลางเอ่ยปลอบใจ จากนั้นก็เดินออกจากห้องบังคับการ ทันใดนั้นเองเขาก็นึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับชิวเยี่ยว่า “ใช่แล้ว รบกวนนายช่วยดูแลลูกชายฉันในการเดินทางครั้งนี้ด้วยนะ!”
“วางใจเถอะ!” ชิวเยี่ยโบกมือให้หลิงเซียวบอกให้เขาวางใจได้ รอจนกระทั่งหลิงเซียวจากไปถึงค่อยยิ้มร้ายขึ้นมา “ฉันจะดูแลเขาให้ดีแน่นอน อืม ไว้หาตำแหน่งที่ลำบากที่สุดจากนั้นก็โยนพวกเขาลงไป…”
……
“ฉันเชื่อว่าลูกพี่หลานจะต้องสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแน่ๆ ถึงได้แจกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับสมาชิกแต่ละคนล่วงหน้า” หลี่หลานเฟิงเอ่ยอย่างเฉียบขาด
ทุกคนมองไปทางหลิงหลาน ตั้งตารอคำตอบของเธอ
หลิงหลานไม่ได้ตอบ หากแต่เอ่ยกับหลี่หลานเฟิงว่า “งั้นนายว่าเพราะอะไรฉันถึงต้องแจกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ตั้งแต่เริ่มแรกด้วย ฉันคิดว่านายน่าจะมีคำตอบแล้ว”
“ฉันนึกออกได้แค่ความเป็นไปได้ข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เราจินตนาการไว้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นระหว่างทาง” หลี่หลานเฟิงบอกสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา
“หรือว่าจริงๆ แล้วการทดสอบของการต่อสู้ประจัญบานจะเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ที่พวกเราขึ้นยาน?” หานจี้จวินที่เคยผ่านการทดสอบก่อนเข้าโรงเรียนทหารพลันเกิดความคิด นึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้
หลิงหลานพยักหน้ากล่าวว่า “จี้จวินพูดถูกแล้ว ฉันเดาว่าการต่อสู้ประจัญบานเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ที่เริ่มจับฉลากแล้ว ฉันคิดไม่ออกว่าทำไมทางผู้จัดต้องให้พวกเราไปถึงตำแหน่งอย่างปลอดภัยด้วย ถ้าเกิดการต่อสู้ประจัญบานเป็นแค่การป้องกันและแย่งชิงฐานที่มั่นเท่านั้น งั้นก็ไม่คู่ควรให้กลายเป็นสุดยอดสงครามที่ยึดคะแนนครึ่งหนึ่งของศึกประลองหุ่นรบหรอกนะ”
คำพูดของหลิงหลานทำให้หลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินผุดความคิดแล่นวาบขึ้นในสมอง พวกเขาเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นกลยุทธ์!”
หานจี้จวินเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ตอนนี้ สิ่งที่ทดสอบคือระดับกลยุทธ์ของทีม ดูว่าพวกเรามองแผนการของพวกเขาออกหรือเปล่า และห้าสิบล้านที่จัดสรรให้ในตอนแรกก็ทดสอบแผนการโดยรวม การวางแผน แล้วก็ความสามารถด้านพลาธิการ ถึงขนาดที่ช่างพัฒนาก็ถูกคำนวณอยู่ในนั้นด้วย สมกับที่เป็นการต่อสู้ประจัญบานจริงๆ มันเกี่ยวข้องเกือบทุกภาควิชาของโรงเรียนทหารเลย”
“นี่ยังทดสอบการนำร่องยานด้วยนะ กองยานนี้บินไปตามดาวฉี่หมิงจริงๆ เหรอ? ฉันคิดว่าไม่นะ” หลิงหลานบอกผลการคาดคะเนของเธอกับเสี่ยวซื่อออกมา ทำให้บรรดาสมาชิกทีมได้ยินแล้วดวงตาก็ส่องวาบผิดปกติ
“จี้จวิน เนื่องจากพรสวรรค์ของนายไม่ใช่ต้นหน พอเข้ามาในห้องลำเลียงก็โดนปิดผนึกสายตาไว้ และไม่มีเรดาร์เตือน ไม่มีทางรู้ทิศทางการบินของกองยานเลย แต่ฉันเชื่อว่าลั่วเฉาจะต้องสังเกตเห็นปัญหาเรื่องนี้แน่นอน ฉันหวังแค่ว่าเธอจะแจ้งหลิงเซียวได้ทันเวลา ไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดที่ไม่จำเป็นเพราะขาดการเตรียมตัว” ในเมื่อเป็นพันธมิตรกัน หลิงหลานย่อมหวังว่าความสามารถของโรงเรียนสหศึกษาที่หนึ่งยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี
ขณะที่ทางฝั่งหลิงหลานกำลังคาดการณ์อยู่นั้น ทางด้านโรงเรียนสหศึกษาที่หนึ่ง ลั่วเฉาสัมผัสได้จริงๆ ว่าเส้นทางการบินของยานมีปัญหา พวกเขาคล้ายกับหลุดออกจากดาวฉี่หมิง เข้าสู่เขตที่ไม่รู้จัก ซึ่งเขตที่ไม่รู้จักนี้ไม่มีอยู่ในตำราที่เธอเคยศึกษามาเลย
ลั่วเฉาบอกปัญหานี้ให้หลิงเซียวอย่างรวดเร็ว หลิงเซียวเชื่อใจลั่วเฉามาก เขาเริ่มแจกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ภายในห้องโดยไม่สนใจความคิดของคนอื่น และโรงเรียนทหารอีกสามแห่งที่อยู่ในห้องลำเลียงด้วยกันกับพวกเขาก็ชาญฉลาดมาก พวกเขาเริ่มแจกจ่ายอาวุธยุทโธปกรณ์ตามโรงเรียนทหารสหศึกษาที่หนึ่ง ทว่าพวกเขายังคงวางอาวุธหนักพิเศษบางอย่างไว้ด้วยกัน ไม่ได้แจกจ่ายออกไป…
ในช่วงเวลาบินหนึ่งชั่วโมงกว่า กองยานบินแต่เดิมพลันกระจายตัวออกจากกัน แล้วบินไปยังมุมต่างๆ ของดาวลึกลับดวงหนึ่งโดยที่นักเรียนทหารทุกคนต่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นนี้เอง
“ติ๊ดๆๆ!” ผ่านไปอีกประมาณยี่สิบกว่านาที ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกริ่งเตือนดังขึ้นภายในห้องลำเลียงของหลิงหลาน จากนั้นก็ได้ยิน JMC ที่รับผิดชอบห้องลำเลียงนี้ตะโกนอย่างร้อนอกร้อนใจว่า “ห้องหมายเลขสาม โปรดระวัง ห้องหมายเลขสาม โปรดระวัง ศัตรูบุก! ศัตรูบุก! โปรดทำการออกตัวร่อนลงฉุกเฉินภายในสามนาที โปรดทำการออกตัวร่อนลงฉุกเฉินภายในสามนาที!”
เสียงแจ้งเตือนนี้ทำให้ทุกคนตกใจจนหน้าถอดสี กระทั่งเฉียวถิงก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ ลงมาในชั่วขณะ หลังจากเสียงเตือนของ JMC ประตูห้องที่เดิมทีปิดสนิทพลันเปิดออก เนื่องจากประตูห้องถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน พวกคนที่ยืนอยู่ค่อนข้างใกล้กับประตูห้องก็ถูกพายุที่ทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่งกวาดออกไปทันใด ก่อนจะร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว…
“เสี่ยวซื่อ รายงานสถานการณ์!” หลิงหลานสั่งเสี่ยวซื่อทันทีโดยไม่ได้ตื่นตระหนก
“พวกเรามาถึงดาวที่ไม่รู้จัก!” หลังจากเสียงของเสี่ยวซื่อก็มีดาวสีดำดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงสติของหลิงหลาน เมื่อซูมภาพเข้าไปสู่ชั้นบรรยากาศ หลิงหลานถึงค่อยพบว่าในนั้นดำมืด ขนาดอาศัยสายตาที่ยอดเยี่ยมของเธอก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลย
“เกิดอะไรขึ้น?” เวลานี้หลิงหลานที่สงบนิ่งมาตลอดก็หน้าเปลี่ยนสีไปเหมือนกัน
“ดาวด้านล่างไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเลยสักนิดเดียว หรือควรพูดว่าชั้นบรรยากาศของมันปิดกั้นการมาถึงของแสงทุกอย่าง ถึงได้ทำให้ทั่วทั้งดาวเปลี่ยนเป็นมืดสนิท” เสี่ยวซื่ออธิบายเพิ่ม
“ไม่รู้ว่าอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่เราเตรียมมาเยอะพอหรือเปล่า” พอเห็นดาวที่มืดมนไร้แสงสว่างดวงนั้น หลิงหลานก็สอบถามหลินจงชิงที่อยู่ข้างกาย
“ผู้ควบคุมหุ่นรบแต่ละคนสามารถติดตั้งได้สองอัน เหลืออยู่แปดสิบอัน” หลินจงชิงรีบตอบทันทีราวกับเครื่องคิดเลขมนุษย์
“สองอันยังน้อยไปหน่อย” หลิงหลานขมวดคิ้วแน่น ไม่คาดคิดว่าอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่เตรียมไว้ล่วงหน้าสองคืนจะขาดแคลนอยู่ไม่น้อย เพราะว่าพวกเขามายังดวงดาวที่มืดสนิททั้งดวง
“ลูกพี่ ไม่ต้องเป็นห่วง ดาวดวงนี้มีตอนกลางวัน” เสี่ยวซื่อเห็นหลิงหลานกังวลใจก็เอ่ยปากคลายความกังวล “แต่ว่ากลางวันสั้น กลางคืนยาวเท่านั้น”
“เวลาโดยละเอียดล่ะ” หลิงหลานถามอย่างไม่เกรงใจ
“กลางวันแค่แปดชั่วโมง ส่วนกลางคืนกลับยาวติดต่อกันสิบหกชั่วโมงเลย”
“กลางคืนยาวชะมัด ช่องโหว่เรื่องแสงสว่างยังใหญ่มาก” หลิงหลานนวดคิ้ว เธอคำนวณพลาดจุดนี้ไป
ในตอนนี้เอง JMC ของยานบินเริ่มนับถอยหลังสามนาทีสุดท้าย ถ้าเกิดนับถึงศูนย์ยังไม่ได้ออกจากห้องลำเลียง ห้องลำเลียงก็จะปิดประตู คนที่ไม่ได้ลงไปก็จะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน “180 179 178…”
เมื่อเผชิญหน้ากับความมืดมิด บรรดานักเรียนทหารที่ไม่อาจรู้แน่ชัดว่าทุกอย่างด้านล่างเป็นอย่างไรก็เริ่มลังเลว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของ JMC ดีหรือไม่ ถึงขนาดที่มีคนไม่น้อยเริ่มโวยวายว่าให้รวมกลุ่มกัน อย่าบุ่มบ่ามลงไปเด็ดขาด ถ้าเกิดด้านล่างมีอันตรายขึ้นมา อีกทั้งพวกเขาก็มองไม่เห็น จะไม่เสียชีวิตเอาได้เหรอ? คำพูดเหล่านี้ทำให้ผู้คนไม่น้อย ขณะที่ทุกคนตัดสินใจกันไม่ได้ หลิงหลานก็เปิดช่องสื่อสารรวมฉับพลัน ก่อนจะออกคำสั่งที่สองของเธอว่า “ทั้งหมดออกตัว!”
เธอรู้ว่ามนุษย์ล้วนมีความหวาดหวั่นในจิตใจ ดังนั้นเธอเลยขับหุ่นรบไปที่หน้าประตูยานเป็นคนแรก ก่อนจะเห็นความมืดที่เข้มข้นด้านล่างนั้นเหมือนกับอสูรร้ายน่าสะพรึงกลัวที่สามารถกลืนกินทุกอย่าง หลิงหลานเรียกความกล้าของตัวเอง แล้วก็ขับหุ่นรบออกตัวอย่างฉับไว จากนั้นหุ่นรบก็ตกลงไปยังผืนดาวอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวซื่อ วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดของดาว!” ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้เช่นนี้ หลิงหลานตัดสินใจให้เสี่ยวซื่อวิเคราะห์แทนออปติคัลคอมพิวเตอร์ของหุ่นรบโดยไม่ลังเล เทียบกับอย่างหลังแล้ว เธอไว้ใจเสี่ยวซื่อมากกว่า
“ระดับแหล่งกำเนิดแสง: 0 องค์ประกอบของอากาศ: คาร์บอนไดออกไซด์ 67% ออกซิเจน 30% อื่นๆ 3% แรงลม: ระดับเจ็ด แรงโน้มถ่วง…” ข้อมูลแล่นวาบติดต่อกันเป็นชุดอย่างรวดเร็วบนหน้าจอหุ่นรบ หลิงหลานส่งข้อมูลเหล่านี้ให้กับสมาชิกทุกคนของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งทันที เธอหวังว่าพวกสมาชิกที่กระโดดตามเธอลงมาจะไม่ทำการควบคุมผิดพลาดจนเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นมาเพราะว่าข้อมูลบางอย่างไม่ถูกต้อง
————————-
[1] ล้อเลียนชื่อของชิวเยี่ย ซึ่งเยี่ยออกเสียงเหมือนคำว่าพระจันทร์