I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 530 ปลอมตัว!
อารมณ์ตื่นเต้นของจ้าวจวิ้นพลันเยือกเย็นลง “งั้นก็ต้องแบ่งสมาธิทำสองเรื่องในครั้งเดียวสิ ฉันขับหุ่นรบไปด้วย แล้วยังต้องร้องเพลงไปด้วยไม่ได้หรอกนะ” ตอนที่พูดว่าร้องเพลง ใ ใบหน้าของจ้าวจวิ้นก็งอง้ำลงทันที เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงที่เขาเป็นตาเฒ่าหูหนวกแยกแยะเสียงดนตรีไม่ได้ แถมเขายังต้องกรีดร้องเสียงดังทะลุลำคออีก นี่มันน่าขายหน้ าจนไม่มีอะไรจะให้เสียหน้าแล้ว
“ทำไมต้องร้องเพลงด้วยล่ะ? มีกฎระบุว่าเสียงแห่งความเสื่อมโทรมจะต้องอาศัยเสียงเพลงส่งไปด้วยเหรอ? พูดตามปกติไม่ได้หรือไง?” หลิงหลานถามกลับอีก
“พูด?” จ้างจวิ้นตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่ ขอแค่นายพูดไม่หยุด ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แค่พูดไปเรื่อยก็ได้แล้ว หลังจากนั้นก็แนบพรสวรรค์ไว้ในคำพูดของนายแล้วส่งออกมา ก็ได้แล้วนี่นา” หลิงหลานแนะนำ
“จริงด้วย ทำไมฉันคิดไม่ถึงนะ” คำเตือนสติของหลิงหลานทำให้จ้าวจวิ้นตระหนักได้ในที่สุด เขาเจอเส้นทางที่เหมาะให้เขาเดินแล้ว ทำให้ในอนาคตเขากลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่น่ากล ลัวบนสนามรบ จนทำให้ประเทศศัตรูต่างหวาดกลัวอย่างยิ่ง และก็ได้รับฉายาว่า ‘ยมทูตช่วงชิงชีวิต’
“แน่นอนว่านี่ต้องอาศัยนายขัดเกลาด้วยตัวเอง ถึงยังไงพรสวรรค์ก็เป็นของนาย” เวลานี้หลิงหลานก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่า บทสนทนาที่ไม่ได้ตั้งใจในวันนี้จะทำให้จ้าวจวิ้นออกจากดักแด้ กลายเป็นผีเสื้อ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นเทพสังหารบนสนามรบ
“เข้าใจแล้ว ลูกพี่!” จ้าวจวิ้นพูดอย่างตื่นเต้น เขาแอบเปลี่ยนคำเรียกขานเงียบๆ นี่บ่งบอกว่าเขาเห็นหลิงหลานเป็นลูกพี่ที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ใช่ลูกพี่หลานที่เรียกอย่างให้เกี ยรติในฉากหน้า
ทั้งสองคนดูเหมือนพูดคุยกันสักพัก แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ในห้วงจิตใจ ในสายตาของพวกฉีหลง ลูกพี่หลานกับจ้าวจวิ้นแค่เงียบไปไม่กี่วินาทีเท่านั้น จากนั้นก็ได้ยินจ้าวจวิ้นลืมตา เริ่มร้องเพลงเสียงเบา
จ้าวจวิ้นไม่เคยลองใช้พรสวรรค์ผ่านคำพูดมาก่อน ดังนั้นหลิงหลานจึงยังคงให้เขาทำโดยใช้วิธีการของตัวเอง
เสียงเพลงไม่ตรงจังหวะสักประโยค ทำให้พวกฉีหลงฟังแล้วรู้สึกงุ่นง่านใจอยู่บ้าง พวกเขาขับไล่ความรู้สึกหงุดหงิดนี้ออกไปตามจิตใต้สำนึก จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ หายไป ทั่งทั้งร่างรู้สึก กว่างเปล่า ความคิดการตอบสนองเริ่มเชื่องช้า ทันใดนั้นสมองของพวกเขาก็เจ็บแปลบ ก่อนจะได้สติกลับมา ที่แท้หลิงหลานเห็นพวกเขาได้รับผลกระทบเหมือนกัน ก็เลยใช้การจู่โจมทางจิตเรียกสต ติของพวกเขา
จ้าวจวิ้นแทบจะไม่เคยใช้ความสามารถของพรสวรรค์ตัวเองเลย เขายังไม่ได้เรียนรู้ที่จะควบคุมมันตามใจนึก นี่ทำให้เสียงแห่งความเสื่อมโทรมของเขาไม่สามารถแยกมิตรศัตรู กลายเป็นตัวตนที ส่งผลกระทบไปทั่ว
หลิงหลานใช้พลังจิตอย่างระมัดระวัง ให้ความสามารถของเสียงแห่งความเสื่อมโทรมแผ่ขยายออกไปอย่างมีทิศทางและมีขอบเขตผ่านพลังจิตของเธอ จนแทบจะปกคลุมพื้นที่ใจกลางทั้งหมด
ทันใดนั้นหุ่นรบที่เดิมทีตรวจตราไปมาเป็นระยะๆ ก็เคลื่อนไหวเชื่องช้าลง จนสุดท้ายก็คงการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียว และก็ไม่ขยับอีก
“โอกาสดี ตอนนี้แหละ” หลิงหลานที่เดิมทีแบ่งสมาธิทำหลายอย่างเห็นแบบนั้นก็โบกมือฉับพลัน บ่งบอกให้พวกลูกทีมเคลื่อนไหว เธอลากจ้าวจวิ้นพุ่งออกมาจากหลังพุ่มไม้เป็นคนแรก ก่อนจ จะแตะพื้นไม่กี่ทีก็พุ่งเข้าไปในเต็นท์หลังหนึ่ง
พวกฉีหลงพุ่งตามเข้ามา ทุกคนโชคดีไม่เลว เต็นท์ที่หลิงหลานเลือกเป็นเต็นท์ที่จัดวางเสบียง ด้านในมีคนรับผิดชอบแจกจ่ายเสบียงแค่คนเดียวเท่านั้น เวลานี้เขากำลังหลับตาพิงกล่องใบ บหนึ่งเพราะความสามารถของจ้าวจวิ้น
หลิงหลานซัดเข็มยาสลบขนาดเล็กเข้าไปทำให้อีกฝ่ายหมดสติ นับตั้งแต่ที่ค้นพบความโหดเหี้ยมและความสะดวกของเข็มยาสลบขนาดเล็ก ทุกคนในทีมหลิงหลานล้วนจัดเตรียมมันไว้อย่างมากพอใน กระเป๋า นอกจากนี้หลี่ซื่ออวี๋หมกมุ่นกับการทำเข็มยาสลบมาก สรุปคือไม่มีทางขาดอาวุธประเภทนี้เลย
แน่นอนว่าหลิงหลานจงใจเลือกเต็นท์หลังนี้ ที่นี่มีเต็นท์เกือบสิบกว่าหลัง และมีเพียงในเต็นท์หลังนี้เท่านั้นที่มีคนอยู่แค่คนเดียว อีกทั้งด้านในมีกล่องนับไม่ถ้วน ซึ่งบางอันเป ป็นสถานที่ซ่อนตัวได้
เวลานี้จ้าวจวิ้นถึงค่อยพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ ร้องเพลงเป็นเรื่องทรมานคนจริงๆ เขาฝืนกลั้นหายใจแล้วร้องออกมาในลมหายใจเฮือกเดียวเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุด
เสียงเพลงของจ้าวจวิ้นหยุดลง ผู้ควบคุมหุ่นรบด้านนอกคล้ายกับตื่นขึ้นมาก็ไม่ปาน พวกเขาทำการเคลื่อนไหวตามเดิมต่อไป เนื่องจากพวกหลิงหลานว่องไวมาก ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น น เวลาที่ล่าช้าไปนิดเดียวนี้ทำให้พวกเขามองข้ามไป
ตอนนี้เอง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาที่เต็นท์หลังนี้พอที พอได้ยินเสียง หลิงหลานก็ทำสัญญาณมือ ในหมู่ทั้งหกคน คนที่มีร่างกายใกล้เคียงกับผู้รับผิดชอบแจกจ่ายเสบียงคนนั้นมากท ที่สุดก็คือเซี่ยอี๋ เขาถอดชุดเครื่องแบบของผู้รับผิดชอบคนนั้นลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วสวมใส่มัน ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันพุ่งไปที่ด้านหลัง ฉีหลงหิ้วผู้รับผิดชอบที่โดนถอดชุดเครื่อ องแบบคนนั้นขึ้นมาแล้วพุ่งไปซ่อนตัวอยู่ที่ด้านหลังกล่องในมุมหนึ่ง
หลายวินาทีให้หลัง ม่านประตูหน้าเต็นท์ก็ถูกเลิกขึ้น ก่อนจะมีคนเข้ามาเจ็ดแปดคนทันที ซึ่งหนึ่งในนั้นบ่นพึมพำว่า “อากาศวันนี้เปลี่ยนแปลงจนคาดเดาไม่ได้จริงๆ เมื่อกี้ยังร้อนจะ ะตายชักอยู่เลย พอมาตอนนี้ก็หนาวจนทนไม่ไหวแล้ว”
“เข้าวันที่สามแล้วนะ นายยังปรับตัวไม่ได้อีกเหรอ?” เพื่อนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“นายก็รู้ว่าฉันมาจากดาวจื้อเยี่ยน ไม่ว่าร้อนแค่ไหนฉันก็ทนได้ แต่พอหนาว ร่างกายฉันก็จะปฏิเสธขึ้นมาเอง” คนผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน
“นั่นก็ใช่ เอาจริงๆ ถ้านายบอกแต่แรก เมื่อกี้ก็น่าจะอยู่ในเขตพักผ่อนไม่ต้องออกมา พวกเรามาหยิบเสบียงพวกนั้นเองได้เหมือนกัน” เพื่อนของเขาเอ่ยอย่างเป็นห่วงมาก
“ไม่เป็นไร ยิ่งไม่ขยับก็ยิ่งหนาว ไม่สู้ขยับตัวสักหน่อยดีกว่า สบายขึ้นเยอะเลย” คนผู้นั้นกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
เวลานี้เซี่ยอี๋ก้มหน้าพิงกล่องใบหนึ่ง ราวกับเหนื่อยล้าสุดขีดจนผล็อยหลับไป
คนที่นำทีมเห็นแบบนั้นก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจสุดขีด “โจวจี้อวิ๋นคนนี้ใช้เส้นสายได้ทำงานสบายๆ แบบนี้แล้วยังจะมาขี้เกียจอีก”
คนที่อยู่ข้างๆ กล่าวพร้อมกับแฝงไปด้วยความอิจฉานิดหน่อยว่า “ใครใช้ให้เขาเป็นคนของตระกูลโจวละ คนจากตระกูลชั้นหนึ่ง ไม่ว่ายังไงผู้บัญชาการก็ต้องไว้หน้าบ้าง”
คำพูดของเขาทำให้แววตาคนอื่นๆ เผยความรู้สึกอิจฉาริษยา โรงเรียนทหารชายที่สองทำข้อตกลงกับตระกูลชั้นหนึ่งสองตระกูลไว้ ถึงแม้มันจะเพิ่มกำลังรบให้โรงเรียนทหารชายที่สองมากมาย แต่ ว่าอภิสิทธิ์ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
คนนำทีมฝืนข่มกลั้นความไม่พอใจ ก่อนจะเดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วก้มตัวลงใช้มือผลักหัวไหล่ของเซี่ยอี๋ และตะโกนว่า “โจวจี้อวิ๋น ตื่นๆ” ไม่ใช่ทุกคนในตระกูลโจวที่มีความสามารถโดดเด่ นเหนือใคร ยกตัวอย่างเช่นคนตรงหน้านี้ เขาเป็นสวะจนไม่อาจเป็นสวะได้อีก เขาเข้าใกล้ตัวขนาดนี้ก็ยังสามารถนอนหลับสนิทไม่รู้สึกตัวได้ อืดอาดมากจริงๆ
ความคิดนี้เพิ่งจะแล่นวาบ เขาก็รู้สึกว่าเบื้องหน้ามีแสงสีเงินแวบขึ้นมา แทงตรงลำคอเบาๆ พริบตาเดียวเขาก็หมดสติ
เซี่ยอี๋ใช้มือขวายันหน้าอกหมอนั่นไว้ ป้องหันไม่ให้เขาล้มลงมา ส่วนมือซ้ายก็ทำท่าทางไม่พอใจ ก่อนจะปัดมือของอีกฝ่ายที่ผลักไหล่ของตัวเองออกฉับพลัน ปากก็เอ่ยพึมพำว่า “ใค ครน่ะ?”
หลายคนที่อยู่ด้านหลังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเลย เวลานี้เอง เซี่ยอี๋พลันกุมไหล่ของฝ่ายตรงข้ามไว้ เอ่ยกัดฟันกล่าวว่า “แกอีกแล้ว!” หลังจากนั้นก็พลิกตัวกดอีกฝ่ายลงพื้น ก่อนจะช ชูมือขวาขึ้นมาเตรียมพร้อมอัดคน
เนื่องจากเซี๋ยอี๋บังสายตาของคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังไว้ พวกเขาเลยไม่สังเกตเห็นว่าเพื่อนของพวกเขาหมดสติไปแล้ว พอเห็นเซี่ยอี๋กำลังจะทำร้ายคนก็รีบรุดหน้าเข้ามาห้ามไว้…
ความสนใจของพวกเขาถูกเซี่ยอี๋ดึงดูดไปจนหมด พอเห็นแบบนี้ พวกหลิงหลานห้าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่อื่นๆ ก็ซัดเข็มยาสลบคนละเล่ม หลิงหลานซัดติดต่อกันสามเล่ม ล้มคนเหล่านี้ได้ ในพริบตา
พอเห็นเพื่อนจัดการคนเหล่านั้นได้หมดแล้ว เซี่ยอี๋ถึงค่อยลุกขึ้นมา หลิงหลานทำสัญญาณมือให้เปลี่ยนชุด พวกลูกทีมก็รีบหาชุดเครื่องแบบที่พอดีกับร่างกายของตัวเองที่สุดมาเปลี่ย ยนทันที
ทุกคนเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว ถึงแม้หลิงหลานค่อนข้างผอมบาง ต่อให้เลือกชุดเครื่องแบบขนาดผอมตัวเล็กแล้ว ก็ยังดูหลวมนิดหน่อย แต่หลิงหลานไม่รู้สึกว่าแบบนี้ไม่เหมาะอะไร เพราะว่า ายังมีคนที่ไม่เหมาะยิ่งกว่า ลั่วล่างเป็นคนที่สวมชุดขึ้นมาแล้วไม่พอดีตัวมากที่สุด นี่ทำให้เขาทำหน้า 囧 ทันที สีหน้าเหมือนกับโดนรังแก ทำให้คนอื่นๆ หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ไ ได้
หลิงหลานจนปัญญามาก ไม่รู้ว่าต้องขอบคุณที่มีตัวตนของลั่วล่างอยู่ หรือว่าต้องเจ็บแค้นตัวตนของเขาดีที่ช่วยเธอปกปิด ขณะเดียวกันก็เตือนเธอว่าร่างกายเธอไม่มีความอ่อนช้อยงดงา ามเหมือนเด็กผู้หญิงเท่าไหร่เลยจริงๆ
สุดท้ายทุกคนเลยตัดสินใจให้ลั่วล่างเดินอยู่ตรงกลางพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็นว่าชุดของเขาไม่พอดี ทุกคนหยิบของด้านในติดมือมานิดหน่อย ก่อนจะเดินโผงผางไปที่เต ต็นท์อื่น โดยที่ยังคงพูดคุยกันเองอย่างสบายอารมณ์ฉากที่เป็นธรรมชาติสุดขีดนี้ทำให้พวกผู้ควบคุมหุ่นรบที่เฝ้าตรวจตราทั่วทั้งพื้นที่มองผ่านๆ แค่แวบเดียวเท่านั้น วินาทีถัดมาก็เบน นสายตาไปที่อื่น
พวกผู้ควบคุมหุ่นรบไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนลักลอกเข้ามาได้สำเร็จภายใต้การตรวจตราหลายทางทั่วทั้งพื้นที่ของพวกเขา และยิ่งไม่คาดคิดว่าคนเหล่านี้จะใจกล้าขนาดนี้ ถึงกับปลอมตัวแทน นที่คนอื่นอย่างโจ่งแจ้งภายใต้จมูกของพวกเขา
ทุกครั้งที่หลิงหลานเดินผ่านเต็นท์ก็จะใช้พลังจิตสำรวจดูรอบหนึ่ง หลังจากที่พบว่าไม่ใช่เต็นท์วางเครื่องส่งสัญญาณวิทยุ เธอก็เปลี่ยนเป็นเต็นท์อื่นอย่างสงบเยือกเย็น เธอเดินไปแบบนี ตลอดทางจนในที่สุดก็พบเป้าหมายแล้ว หลิงหลานดีใจมาก ขณะที่กำลังจะพาลูกทีมเดินไปทางนั้น ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ ทันใดนั้นเองเต็นท์ด้านข้างพลันเลิกม่านประตูขึ้น ก่อนจะมีค คนชะโงกหัวออกมา พอเห็นหลังของพวกเขาก็ตะโกนเสียงดังว่า “พวกนายไปเต็นท์ของผู้บัญชาการทำไม? พวกเรากำลังรอพวกนายหยิบวัตถุดิบมาทำอาหารอยู่เลยนะ”
หลิงหลานกระตุกมือที่ห้อยลงต่ำเบาๆ เข็มฉีดยาสลบขนาดเล็กถูกซัดออกไปอย่างเงียบงัน ฉีหลงที่อยู่รั้งท้ายสุดกระโดดมาที่หน้าประตูอย่างรู้ใจ แล้วกอดร่างของอีกฝ่ายที่ล้มลงได้ พอดี จากนั้นเขาก็ตะโกนว่า “นายตะโกนทำไม ทางฝั่งเสบียงเกิดเรื่อง เรากลัวว่าจะรั่วไหลก็เลยอยากเข้าไปรายงานเงียบๆ ถ้าเกิดนายอยากรู้ก็ตามพวกเรามาด้วยกัน…”
“…ถ้าไม่ใช่เพราะโจวจี้อวิ๋นคนนั้น…” ฉีหลงจงใจกดเสียงต่ำ เปิดเผยส่วนนี้อย่างชัดเจนท่ามกลางเสียงพึมพำ บทสนทนาของคนพวกนั้นที่ได้ยินตอนอยู่ในเขตเสบียงเมื่อสักครู่นี้ เหมือน นกับว่าโจวจี้อวิ๋คนนั้นไม่เป็นที่ต้อนรับในทีมมากนัก
อย่างที่คิดไว้เลย เดิมทีคนอื่นๆ ในเต็นท์ได้ยินเสียงตะโกนของหมอนี่ก็มองเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ตอนนี้ได้ยินคำพูดคลุมเครือของฉีหลงก็เข้าใจแล้ว คาดว่าโจวจี้อวิ๋นคนนั้นค คงจะล่วงเกินใครอีกแล้ว ทว่าเมื่อก่อนยังมีคนยอมอดทน ตอนนี้ผู้บัญชาการไปแล้ว ไม่มีผู้บัญชาการคอยปราบปราม เลยมีคนไม่อยากอดทนอีกต่อไป
คนเหล่านี้เก็บสายตากลับมาทันที แต่ว่าพวกเขาเงี่ยหูสูงมาก พยายามฟังบทสนทนาของพวกฉีหลงให้ชัดๆ อยากรู้ว่าพวกเขาคิดจะแก้แค้นโจวจี้อวิ๋นอย่างกันแน่
เมื่อคนอื่นๆ เบนสายตาออกไป ฉีหลงก็หิ้วคนผู้นั้นออกมาจากหน้าประตู แล้วถือโอกาสปล่อยม่านประตูลง บดบังสายตาของคนด้านใน
—————-