I'M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ - ตอนที่ 89 ภาพฝาผนังปริศนา!
เมื่อหลิงหลานลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ถูกมิติการเรียนรู้ฝืนดึงจิตสำนึกเข้าไป เธอก็พบว่าเธอไม่ได้อยู่ในมิติของอาจารย์คนไหนเลย และก็ไม่ได้อยู่ในห้องโถงมิติการเรียนรู้ของเสี่ยวซื่อด้วย หากแต่อยู่ในเส้นทางที่มืดและขมุกขมัวสุดขีด
หลิงหลานอดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอเปล่ารู้สึกไม่คุ้นตากับเส้นทาง มีการทดสอบแสนโรคจิตของอาจารย์หมายเลขห้าอยู่ครั้งหนึ่งที่ปรากฏฉากที่คล้ายคลึงแบบนี้ แน่นอนว่าประสบการณ์ครั้งนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าน่าพิสมัยเลย ดังนั้นหลิงหลานจึงไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้เอามากๆ
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานก็รู้ดีเช่นกัน ไม่ว่าเธอจะชอบหรือไม่ชอบ เธอก็ต้องอยู่ที่นี่อยู่ดี มิติการเรียนรู้ไม่มีช่องทางให้เจรจาต่อรอง
หลิงหลานรออยู่พักใหญ่ ก็ไม่เห็นมีอาจารย์ปรากฏตัว หัวคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นกว่าเดิม นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“เฮ้ มีใครอยู่ไหม? อาจารย์หมายเลขหนึ่ง? อาจารย์หมายเลขห้า? อาจารย์หมายเลขเก้า?” หลิงหลานตะโกน เธอไม่อยากเสียเวลารอคอยแบบนี้ ควรรู้ไว้ว่าที่โลกภายนอก ฉีหลงยังคงรอประลองกับเธออยู่ เธอไม่อยากผิดสัญญา
สิ่งที่ตอบหลิงหลานมีเพียงเสียงสะท้อนที่ค่อยๆ ดังห่างไกลออกไปภายในเส้นทาง ไม่มีใครตอบหลิงหลานเลย หลิงหลานครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ยื่นมือขึ้นมานวดหว่างคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงจนปัญญาว่า “เสี่ยวซื่อ เลิกเล่นได้แล้ว รีบออกมาเร็วเข้า”
เดิมทีเธอคิดว่านี่เป็นการล้อเล่นของเสี่ยวซื่อ แต่น่าเสียดาย สิ่งที่ตอบหลิงหลานยังคงเป็นความเงียบงัน หลิงหลานงุนงง หรือว่าเธอคาดเดาผิดไป?
หลิงหลานขมวดคิ้วแน่น สายตากวาดมองดูรอบๆ เส้นทางด้วยความหวังว่าจะพบคำใบ้อะไรบ้าง ถ้าเป็นการทดสอบ มิติการเรียนรู้ย่อมต้องบอกอะไรบางอย่างแน่นอน
แสงสว่างของเส้นทางไม่ได้สว่างมากนัก เธอมองเห็นได้แค่ในระยะประมาณสิบเมตรเท่านั้น รอบตัวเธอคือความมืดที่ปกคลุมแน่นหนา ราวกับหลุมดำที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งอย่าง ความเงียบงันทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
หลิงหลานก้าวไปข้างหน้าช้าๆ หลายก้าว ทัศนวิสัยก็เปลี่ยนเป็นดำมืดมากขึ้น หลิงหลานหรี่ตาน้อยๆ ให้ตัวเองปรับตัวเข้ากับแสงสว่างที่เกือบจะมืดสนิท หลิงหลานคิดว่าต่อไปมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นความมืดมิด ไม่คาดคิดเลยว่าภาพสายตาตรงหน้าจะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็พบว่ากำแพงทางขวามือของเธอทุกๆ สองเมตรจะมีแท่นเล็กๆ อันหนึ่ง ซึ่งด้านบนวางตะเกียงน้ำมันเล็กๆ เอาไว้ แสงสว่างที่ส่องออกมาเบาบางมอบความสว่างให้แก่พื้นที่รอบ ๆ ได้หลายเมตร
“ขี้เหนียวชะมัด ทำให้ใหญ่ขึ้นหน่อยไม่ได้หรือไง? สว่างขึ้นอีกนิดน่ะ?” หลิงหลานไม่พอใจเล็กน้อย ในฐานะผู้หญิง เธอเกลียดความมืดมาก
เสียงพึมพำของหลิงหลานเพิ่งหลุดออกมา ใบหน้าเธอก็อึ้งไป เนื่องจากเธอสังเกตเห็นว่ารอบตัวเธอเปลี่ยนเป็นสีดำที่ทะมึนอีกครั้ง ไม่มีแสงสว่างอยู่เลยสักนิด
“ดูเหมือนว่า เส้นทางนี้จะเป็นทรงโค้งสินะ” มีเพียงแบบนี้ถึงจะสามารถปิดกั้นทัศนวิสัยของเธอ ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นแสงจากตะเกียงน้ำมันดวงถัดไป
หลิงหลานเดินต่อไปข้างหน้า เมื่อเธอเข้าไปในจุดที่แสงสว่างมืดมากที่สุดอีกครั้ง ขอบตาเธอก็เห็นอะไรบางอย่างทำให้เธออดร้อง ‘เอ๊ะ’ ขึ้นมาไม่ได้ เธอรู้สึกว่าบนกำแพงในนั้นไม่เหมือนกับที่เธอเห็นเมื่อสักครู่นี้ พื้นผิวเรียบๆ หากแต่มีร่องสูงต่ำราวกับว่ามีอะไรบางอย่าง
หรือว่าบนกำแพงมีความลับอะไรอยู่? หรือว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการทดสอบ? หลิงหลานรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นในใจ เธอถอยกรูดมาตรงตะเกียงน้ำมัน ทะยานขึ้นไปครั้งเดียวก็หยิบตะเกียงน้ำมันลงมา
“ดูเหมือนว่าการที่สามารถเอาตะเกียงเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ลงมาได้จะมีเหตุผลอยู่สินะ นึกไม่ถึงเลยว่าฉันจะมองข้ามเรื่องนี้ไป โชคดีที่สายตาของฉันน่าตกตะลึง ทำให้ฉันเห็นสิ่งที่คนปกติมองไม่เห็น สุดท้ายก็ไม่ได้มองข้ามไป” ถึงแม้ว่าหลิงหลานดีใจอย่างยิ่ง แต่ในใจกลับระแวดระวังมากยิ่งขึ้น เธอรู้สึกได้ว่าการทดสอบของมิติเรียนรู้หนนี้ไม่ง่ายเลย ไม่มีคำแนะนำจากอาจารย์ และก็ไม่มีคำแนะนำจากระบบ เธอถึงขนาดสงสัยว่า ถ้าหากเธอหาจุดสำคัญที่ซ่อนอยู่ในนั้นไม่พบ มีความเป็นไปได้สูงว่าเธอจะเดินวนอยู่ในเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆ ก็เป็นได้ จนกระทั่งหามันเจอถึงค่อยหยุดลง หรืออาจจะหาไม่เจอตลอดกาล จนกระทั่งตายอยู่ข้างใน…
หลิงหลานส่ายศีรษะแรงๆ เตือนตัวเองว่าเลิกขู่ตัวเองได้แล้ว เธอหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมาแล้วเดินขึ้นหน้าโดยอาศัยกำแพง ในที่สุดเธอก็รู้สึกได้กำแพงที่ขรุขระแสดงถึงรูปลักษณ์เดิมของมัน นี่เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่ดูราวกับมีชีวิต
หลิงหลานยกตะเกียงน้ำมันขึ้นสูง ยืมแสงไฟช่วยให้ภาพฝาผนังทั้งผืนนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ
หลิงหลานรู้สึกได้เพียงจิตสังหารพุ่งเข้ามาซึ่งๆ หน้า หลิงหลานสูดลมหายใจเย็นยะเยือก บนภาพมีทุ่งซากศพ ร่างกายแขนขาแหลกเละ ยังคงสามารถแยกส่วนใบหน้าร่างกายอวัยวะทั้งห้าได้ สีหน้าที่บรรจงวาดอย่างมีชีวิตชีวา ดูหวาดกลัว ความหวาดกลัวที่เกิดจากความสิ้นหวังถึงขีดสุด
และใจกลางกองซากศพนี้ มีชายคนหนึ่งยืนสูงตระหง่าน เขากำลังมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับชื่นชม และก็เหมือนกับว่าเขากำลังสนุกกับงานเลี้ยงนองเลือดตรงหน้า ในขณะเดียวกัน ตอนนี้ในมือของเขากำลังคว้าศีรษะของทารกที่ยังอยู่ในผ้าอ้อม นิ้วของเขาฝังเข้าไป ทำให้เลือดสดๆ หลายต่อหลายสายปกคลุมใบหน้าของทารกคนนั้นไว้…
หลิงหลานรู้สึกได้เพียงไอเย็นทิ่มแทงหัวใจเธอโดยตรง เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงอารมณ์ชั่วร้ายของนักฆ่าในภาพผู้นั้น ไม่ใช่ความบ้าคลั่งหรือความบิดเบี้ยว หากแต่เป็นความเยือกเย็นสุดขีด เขากำลังสนุกกับทุกอย่าง การสังหารผู้คนเป็นแค่เกมๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความเป็นมนุษย์อยู่เลย
นี่ยังถูกจัดให้เป็นมนุษย์อีกหรือ? หลิงหลานข่มกลั้นความรู้สึกไม่สบายใจแล้วเดินหน้าต่อ พอผ่านไปได้อีกสิบกว่าเมตร ภาพฝาผนังอีกภาพก็ปรากฏขึ้น มันแตกต่างจากรูปก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง คราวนี้ บนภาพเต็มไปด้วยเหล่ามนุษย์ที่มีชีวิตอยู่กันอย่างแน่นหนา พวกเขาหมอบอยู่กับพื้นอย่างเป็นระเบียบ ในนั้นยังมีคนไม่น้อยกำลังเงยหน้าขึ้นมองไปจุดที่สูงสักแห่ง ถึงแม้ว่าใบหน้าที่ดูเลือนรางจะมีสีหน้าแตกต่างกันไป ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือแววตาของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาอย่างบ้าคลั่ง และจุดสนใจของพวกเขาต่างก็คือจุดสูงสุดของภาพฝาผนัง มนุษย์คนหนึ่งที่คล้ายกับเทพ กำลังถือไม้คฑา มองลงมาที่สาวกของเขาทั้งหมดที่อยู่ข้างใต้เท้าของเขาด้วยรอยยิ้มราวกับสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลิงหลานที่เดิมทีควรจะรู้สึกได้ถึงความงดงามอบอุ่นของแสงอาทิตย์กลับรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบแบบเดียวกัน เธอคิดมาตลอดว่ารอยยิ้มของเทพองค์นั้นแฝงความเย้ยหยันและดูถูกเอาไว้ ราวกับว่าสิ่งที่มองเห็นในสายตาเขา เป็นเพียงมดมากมายเท่านั้น
หลิงหลานขมวดคิ้วแน่นมากขึ้น ภาพฝาผนังเหล่านี้ต้องการจะบอกเธอว่าอะไรกันแน่? หลิงหลานรู้ดีว่ามิติการเรียนรู้จะไม่สร้างภาพไร้ประโยชน์ออกมา ถ้าพวกมันไม่มีความหมายอะไร กำแพงสองฝั่งของเส้นทางก็ควรจะราบเรียบเกลี้ยงเกลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มันซ่อนอยู่ลึกขนาดนี้
หลิงหลานไม่ใช่คนที่หมกมุ่นกับตัวเอง ในเมื่อตอนนี้คิดไม่ออก ถ้าอย่างนั้นมุ่งหน้าหาคำตอบต่อไป
ต่อจากนั้น ภาพฝาผนังก็ปรากฏเพิ่มขึ้นอีกทีละรูป นำพาหลิงหลานเข้าสู่โลกปีศาจ โลกแฟนตาซี อาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ รวมไปถึงอาณาจักรของอสูรร้าย… โลกมหัศจรรย์ต่างๆ ปรากฎขึ้นต่อหน้าหลิงหลานทีละแห่ง ทำให้หลิงหลานตกตะลึงไปพร้อมกับความสับสนอย่างหนัก ภาพฝาผนังที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากมายขนาดนี้สื่อถึงอะไรกันแน่?
หลิงหลานก็เดินมองภาพฝาผนังทีละรูปอย่างผิวเผิน ผ่านไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ในตอนที่ภาพฝาผนังนับไม่ถ้วนทำให้หลิงหลานมองแล้วหัวหมุนตาลาย ก็มีภาพฝาผนังปรากฏขึ้นมาใหม่อีกภาพ
คราวนี้ฝีเท้าของหลิงหลานหยุดชะงัก ส่งเสียงอุทานดังลั่นด้วยความสงสัย เนื่องจากภาพฝาผนังรูปนี้แตกต่างจากพวกภาพฝาผนังทั้งหมดที่เธอเพิ่งจะเห็นมาเมื่อสักครู่นี้ไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่เรื่องราวของเทพปีศาจอีกต่อไป หากแต่เป็นวัฏจักรชีวิตของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ใช่แล้ว มันเป็นภาพฝาผนังยาวที่แบ่งออกเป็นหกส่วน ถึงแม้ว่าภาพของแผ่นกรุทั้งหกจะแตกต่างกัน ทว่ามันกลับพรรณนาถึงตัวละครหลักคนเดียวกัน
ในแผ่นภาพที่หนึ่ง เขามีรอยยิ้มมั่นใจ แววตาของเขามีความตื่นเต้นและก็กังวล เขาสะพายกระบี่ยาวอาวุธของตัวเอง เดินออกจากโลกของเขา ในรูปนั้น ด้านหลังของตัวละครหลักคือทุ่งรวงข้าวสีทอง มันคือฤดูเก็บเกี่ยว เป็นธารดอกท้อ[1]
ในแผ่นภาพที่สอง เขามาถึงโลกที่เต็มไปด้วยการนองเลือด เขามองเห็นขุมนรก ผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งกำลังปล้นสะดมหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาที่ยังเยาว์วัยและมีนิสัยรักความยุติธรรมก็โกรธเกรี้ยว ชักกระบี่เล่มใหญ่ออกจากทางด้านหลัง ต่อสู้กับพวกโจรร้าย
ภาพที่สามซึ่งตามมาติดๆ ด้านหลังของเขามีคนหนุ่มสาวนับไม่ถ้วนชูอาวุธต่างๆ ตามเขาไปต่อสู้กลับด้วยกัน ในที่สุดก็สังหารโจรเหล่านั้นจนหมด จากนั้นเนื่องจากหมู่บ้านถูกทำลายลงไปแล้ว เหล่าผู้รอดชีวิตที่นั่นก็ยินดีเดินทางไปกับเขาด้วยกัน
ในแผ่นภาพที่สี่ ตลอดทางพวกเขาช่วยเหลือผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือแบบเดียวกัน หยิบอาวุธขึ้นมาปกป้องตัวเองและปกป้องผู้อื่น ณ จุดนี้ ผู้คนที่รายล้อมรองตัวเขาก็เพิ่มมากขึ้น
ในแผ่นภาพที่ห้าก็เปลี่ยนเป็นคนจากสองฝ่ายเข่นฆ่ากันเอง ส่วนเขาก็ยืนอยู่ตรงกลางฝ่ายหนึ่ง กระบี่เล่มใหญ่ถูกชูขึ้นสูงชี้ไปทางศัตรู ตะโกนเสียงดังลั่นพลางบุกโจมตี ทหารกล้าจำนวนมหาศาลที่ติดตามบุกขึ้นหน้าด้วยความกล้าหาญ พุ่งเข้าไปเข่นฆ่าศัตรู
ส่วนแผ่นสุดท้าย เขาก็นั่งบนบัลลังก์มังกรที่แสดงอำนาจของกษัตริย์ ใบหน้าเขายิ้มแย้ม ทหารผู้กล้าที่ติดตามมาอยู่ข้างกายกำลังยกแขนขึ้นสูงกู่ร้องเสียงดัง ความปรีดาและความตื่นเต้นประดับอยู่ทั่วใบหน้าของพวกเขา พวกเขารบชนะศัตรูที่คุกคามพวกเขาทั้งหมดได้สำเร็จ สร้างดินแดนในอุดมคติในสายตาของพวกเขาขึ้นมา…
“สร้างเนื้อสร้างตัวเหรอ?” ในใจหลิงหลานรู้สึกสงสัยแปลกๆ อยู่บ้าง ถึงยังไงเรื่องที่บรรยายในภาพฝาผนังภาพก่อนๆ ต่างก็เป็นเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับทวยเทพปีศาจ จู่ๆ มาเป็นประวัติการต่อสู้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทำเอารับไม่ได้อยู่บ้างจริงๆ หลิงหลานหยุดอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น เมื่อเธอดูภาพฝาผนังนี้เสร็จแล้วก็เลือกเดินต่อไปข้างหน้า
เธอเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงกะทันหัน ราวกับนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นก็รีบถอยหลังหลายก้าว กลับไปยังภาพแผ่นกรุแผ่นแรกที่เธอเห็นตั้งแต่ต้น แล้วเธอก็ข้ามไปยังแผ่นภาพที่หกตามมาติดๆ จากนั้นใบหน้าที่สงบนิ่งแต่เดิมของหลิงหลานก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“รูปนี้อยากจะบอกเราเกี่ยวกับช่วงวิถีความเสื่อมทรามของจิตใจมนุษย์คนหนึ่งเหรอ? ได้รับอำนาจแล้ว แต่ก็สูญเสียตัวตนที่แท้จริงที่สุดไป? มันคุ้มหรือไม่คุ้มกันแน่? หรือว่ายังมีความหมายลึกซึ้งอะไรอีก?” คิ้วของหลิงหลานขมวดเป็นปมแน่นยิ่งกว่าเดิม รอยยิ้มของตัวเอกในแผ่นภาพที่หนึ่งดูจริงใจ กระตือรือร้น และก็อบอุ่น แต่ในแผ่นภาพที่หก รอยยิ้มแบบเดียวกันเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มเสแสร้งผิวเผิน ถึงขนาดที่เย็นชา
หลิงหลานจ้องมองรอยยิ้มของตัวเอกในแผ่นภาพที่หกด้วยความจริงจัง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกและใจคอไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีหลิงหลานอาจจะจ้องนานไปหน่อย เธอถึงได้รู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าตัวเอกยิ่งลึกล้ำมากขึ้นไปทุกที และในขณะเดียวกัน ความเย็นเยียบจากส่วนลึกของดวงตาเขาคู่นั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ถึงขนาดที่หลิงหลานสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเบาบาง
ใจหลิงหลานใจกระตุกขึ้นทันที เธอเพิ่งคิดจะกระโดดหนีออกจากภาพฝาผนังนี้ ก็พบว่าร่างกายของตัวเองไม่สามารถขยับได้แล้ว
เชี่ย! เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? ทำไมเธอถึงขยับไม่ได้แล้ว?
ตอนนี้เอง หลิงหลานสังเกตเห็นว่าภายในภาพฝาผนัง ดวงตาของตัวเอกที่เดิมทีเป็นสีขาวเทาก็ปรากฏริ้วสีดำประหลาด ก่อนที่มันจะแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็เปลี่ยนภาพฝาผนังทั้งผืนกลายเป็นวังวนสีดำอันน่ากลัว จากนั้นหลิงหลานที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ก็ถูกดูดเข้าไปโดยไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดเดียว
……………………………….
[1] อุปมาถึง ดินแดนในฝัน โลกในอุดมคติ