Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 28 เหตุผลเต็มปากเต็มคำ
ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง
การโยกย้ายทหารครั้งใหญ่ที่แดนเหนือครั้งนี้เพราะชิงเหอปั๋วต้องการล้างบางผลัดเปลี่ยนเป็นแม่ทัพในสังกัดของของตน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ แต่คิดไม่ถึงว่าชิงเหอปั๋วจะพูดออกมาตรงไปตรงมาเช่นนี้
แม่ทัพทั้งหลายชั่วขณะไม่ทราบว่าควรตอบสนองอย่างไร
ชิงเหอปั๋วสีหน้านิ่งสงบ
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนี้? เพราะฝ่าบาทมีบัญชาให้จับกุมเฉิงกั๋วกง” เขาเอ่ย “เฉิงกั๋วกงคิดกบฏหวั่นเกรงโทษหลบหนีพวกเจ้าล้วนรู้ ถ้าเช่นนั้นเฉิงกั๋วกงหนีมาถึงแดนเหนือแล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่?”
คนในห้องบางคนรู้บางคนไม่รู้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงม ชิงเหอปั๋วยกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาเงียบ
“แม่ทัพเหวย เฉิงกั๋วกงทำไมต้องหนีมาถึงแดนเหนือ?” เขาเอ่ย สายตาจับบนร่างแม่ทัพเหวย
แม่ทัพเหวยหน้าแดงอยากพูดอะไรก็ไม่รู้จะพูดอะไร
“เพราะเฉิงกั๋วกงรู้ว่าแดนเหนือนี่เป็นแผ่นดินของเขา” ชิงเหอปั๋วเอ่ย “ก็เพราะมีพวกเจ้าคนเหล่านี้อยู่ เขาจึงเชื่อว่าตนเองจะได้รับการปกป้อง”
แม่ทัพเหวยคล้ายอับอายแล้วก็คล้ายโกรธเกรี้ยว
“ไม่ ท่านปั๋ว พวกเราคือทหารของต้าโจว หากเฉิงกั๋วกงมีความผิด พวกเราไม่มีทางปกป้อง” เขาเอ่ยขึ้น “ท่านสงสัยพวกเราเช่นนี้ไม่ได้ แดนเหนือนี่แม่ทัพทหารมากมายเช่นนี้ล้วนเคยเป็นลูกน้องของเฉิงกั๋วกง แต่แดนเหนือไม่ใช่ของเขา พวกเราล้วนเป็นของต้าโจว…”
คำพูดของเขาเอ่ยยังไม่ทันจบ ชิงเหอปั๋วพลันหัวเราะขัดเขา
“ข้ากำลังสงสัยพวกเจ้าหรือ?” เขาเอ่ย มือค้ำเอวตบดาบประจำกายเสียงดังเคร้งๆ “เจ้าไม่ได้ยินคำที่ข้าพูดหรือ?”
คำใด?
ทุกคนมองเขา
“เฉิงกั๋วกงหนีมาถึงแดนเหนือแล้ว” ชิงเหอปั๋วเอ่ย ใบหน้าที่เดิมทีนิ่งสงบฉับพลันคิ้วขาวเลิกตั้ง ดาบประจำกายในมือชักออกมาฟาดฟันลงบนแผนผังจำลอง
โต๊ะแผนผังจำลองใหญ่โตส่งเสียงดังโครมถูกเขาฟันแยกล้มกับพื้น
เสียงดังกังวานท่ามกลางราตรีเสียดแทงหูเป็นพิเศษ ด้านในด้านนอกกลับล้วนเงียบกริบ
“เขามาถึงแดนเหนือได้อย่างไร?”
เสียงโกรธแค้นของชิงเหอปั๋วดังขึ้น
“จากเมืองหลวงมาถึงด่านหม่าเลวี่ยไกลเท่าไร? มีทหารประจำการเท่าไร? มีด่านเท่าไร?”
“เขาถึงกับตรงดิ่งเข้ามาโดยไม่มีใครรู้?”
ดาบในมือเขาชี้ไปหาแม่ทัพเหวย
“เจ้าพูดสิ เขาทำได้อย่างไร?”
แม่ทัพเหวยสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวขาว เหงื่อชั้นหนึ่งผุดออกมา นี่ไม่ใช่หวาดกลัวเพราะถูกปลายดาบเย็นเยียบชี้ปลายจมูก
“ผู้น้อย..” เขาอ้าปากเสียงแหบ
ชิงเหอปั๋วเก็บดาบกลับไปแล้วหมุนร่างหันหน้าไปสีหน้าเย็นชา
“หากไม่มีใครให้การปกป้อง เขาบินก็บินข้ามมาไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น
แม่ทัพทั้งหลายได้สติกลับมา พากันพยักหน้าทันที
“ไม่ผิด ก็เป็นเช่นนี้”
“ข้าก็คิดอยู่นานแล้วว่าด่านเหล่านี้พึ่งไม่ได้”
พวกเขาเอ่ยขึ้นอย่างโกรธแค้น ขณะเอ่ยถอยคำนี้ล้วนสีหน้าถากถางมองแม่ทัพเหวย
“แม่ทัพเหวย เจ้ายังมีสิ่งใดพูดอีก?” ยังมีคนหัวเราะหยันเอ่ย แล้วเหล่ตาประเมินเขา “ไม่แน่ครั้งนี้ที่แม่ทัพเหวยมาตั้งคำถามท่านปั๋ว ก็อาจเพราะถูกคนไหว้วานมานะ ที่บอกว่าโยกย้ายไม่สะดวก ไม่สะดวกกับใครบางคนกระมัง?”
แม่ทัพเหวยหน้าแดงขึ้นอีก
“ข้าไม่กล้ารับประกันว่ามีคนเช่นนี้หรือไม่” เขาเอ่ย “แต่ข้าไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด แม้เฉิงกั๋วกงมีความผิดคิดกบฏหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ในเมื่อท่านปั๋วกับราชสำนักล้วนออกคำสั่งให้จับกุม หากข้าทราบร่องรอยของเฉิงกั๋วกงย่อมจับเขาไว้ตามคำสั่งแน่นอน”
ชิงเหอปั๋วขานอ้อ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี แม่ทัพเหวยพาคนไปจับกุมเถอะ” เขาเอ่ยนิ่งๆ “ราชสำนักเร่งมาด่วนนัก”
คราวนี้กระทั่งกองทหารหย่งจิ้งก็ไม่ต้องไปแล้ว พวกแม่ทัพคนอื่นสีหน้าเยาะเย้ย แม่ทัพเหวยสีหน้ายิ่งไม่น่าดู
“ท่านปั๋ว ความสงสัยของท่านไม่มีปัญหา แต่ผู้น้อยคิดว่ายามนี้เวลานี้ยังไม่เหมาะทำเช่นนี้ ขอท่านปั๋วเห็นแก่ภาพรวม เชื่อแม่ทัพทั้งหลายในแดนเหนือ ต่อให้โยกย้ายวางการป้องกัน ก็ขอโปรดค่อยเป็นค่อยไป เวลานี้ทำเช่นนี้สั่นคลอนขวัญกำลังใจทหาร…” เขากัดฟันเอ่ย
ชิงเหอปั๋วหันหน้ามามองเขาจากนั้นก็ยิ้ม
“ดูท่าเฉิงกั๋วกงจะดีกับพวกเจ้าพอตัวจริงๆ” เขาเอ่ย “แต่ละคนๆ ปากคอเราะรายโต้แย้งตั้งคำถามเบื้องบนเป็นวรรคเป็นเวร”
แม่ทัพทั้งหลายยิ่งโกรธเกรี้ยวด้วยแล้ว
“เหวยซุ่นชิ่ง มารดามัน เจ้าเข้าใจอันใด เจ้ากี้เจ้าการให้มันน้อยๆ หน่อย” ทุกคนเอ่ยด่า “เจ้ารู้มากกว่าท่านปั๋วหรือ?”
แม่ทัพเหวยกัดฟันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“หากท่านปั๋วรู้มากนัก ตอนนั้นทำไมเกิดทหารก่อความวุ่นวายได้เล่า?” เขาเอ่ยเสียงดัง
คำนี้ออกมาปุบ สีหน้าชิงเหอปั๋วฉับพลันเปลี่ยนไป
จุดพลิกผันของชะตาชีวิตชิงเหอปั๋วอยู่ที่ศึกใหญ่แม่น้ำหม่าเจีย เขาผู้รบไม่เคยปราชัยมาตลอดพบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุด และทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะชาวจินร้ายกาจ แต่เพราะในกองทัพเกิดการลุกฮือของทหาร
ก็เพราะการลุกฮือของทหารครั้งนี้ เขาจึงเกือบทุกฮ่องเต้บัญชาให้ตัดศีรษะ ยังดีคนมากมายช่วยร้องขอจึงรักษาชีวิตไว้ได้ แต่นับจากนั้นก็เสียอำนาจทหารในแดนเหนือแล้วจากไปอย่างเงียบงัน
นี่เป็นอดีตที่ชิงเหอปั๋วไม่อนุญาตให้ผู้ใดเอ่ยถึง ยิ่งไม่เคยถูกผู้ใดชี้จมูกตั้งคำถามเช่นนี้มาก่อน พวกแม่ทัพคนอื่นตาโตอ้าปากค้าง
“ดีมาก” ชิงเหอปั๋วมองแม่ทัพเหวยแล้วพยักหน้า ยกมือชี้ เสียงนิ่งสงบ “ใครมานี่ซิ จับตัวไป”
“ท่านปั๋ว ท่านกีดกันคนที่ไม่ใช่พวกเดียวกันจัดการคนของเฉิงกั๋วกงข้าไม่มีความเห็น ข้าก็รู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ยากเลี่ยง ข้าเพียงหวังให้ท่านคิดเพื่อภาพรวม ต้องรู้ว่าชาวจินยังจับจ้องมาดร้ายอยู่ข้างนอก…” แม่ทัพเหวยตะโกน
แม่ทัพทั้งหลายที่เหลือได้สติกลับมา ไม่รอชิงเหอปั๋วสั่งพลันแห่เข้ามา กดแม่ทัพเหวนไว้ไม่ให้เขาพูดต่อไป
“ก็เพราะชาวจินจับจ้องมาดร้าย ถึงยิ่งต้องให้ข้างในสงบ ไม่เช่นนั้นเฉิงกั๋วกงกบฏผู้นี้สมคบกับชาวจินขึ้นมา นั่นถึงอันตรายที่สุด” ชิงเหอปั๋วเอ่ยเสียงเย็นชา “พาออกไป สืบว่าเขาถูกผู้ใดบงการ มุ่งหมายอันใด ถึงขัดขวางการวางกำลังป้องกันของข้า”
แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงพร้อมเพรียงลากแม่ทัพเหวยออกไปข้างนอก
“ท่านปั๋ว ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง…ไม่อาจทำลายขวัญกำลังใจของทหาร…ทำเช่นนี้ก็ไม่มีข้อดีกับท่านเช่นกัน…” แม่ทัพเหวยดิ้นรนพลางตะโกน แต่เสียงเจ็บปวดครั้งหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็วจากนั้นเสียงของเขาก็พลันเงียบหายไป
เสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นพักหนึ่งในเรือนจากนั้นความสงบก็ฟื้นคืนอีกครั้ง
นายทหารที่ยืนอยู่นอกโถงที่ว่าการสีหน้ายังคงเคร่งขรึมคล้ายสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น ขุนนางพลเรือนที่ไปมาสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยเงียบกริบประหนึ่งจักจั่นหน้าหนาวก้มศีรษะรีบร้อนจากไป
ด้านในโถงที่ว่าการก็เงียบกริบเช่นกัน แผนผังจำลองบนพื้นร่วงกระจาย ชิงเหอปั๋วยืนอยู่ท่ามกลางข้าวของระเกะระกะสีหน้ายิ่งสนิท
“ท่านปั๋ว” แม่ทัพคนหนึ่งก้าวเข้ามาหยั่งเชิง “เหวยซุ่นชิ่งคนนี้จูซานเลื่อนขั้นมากับมือ ตอนนั้นเคยก่อเรื่องเกี่ยวกับเบี้ยหวัดจะต้องประหาร เขาต้อง…”
ชิงเหอปั๋วยกมือห้าม
“ไม่ต้องพูดเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา” เขาเอ่ยพลางประสานมือไปทางเมืองหลวง “ตอนนี้สิ่งเร่งด่วนที่สุดคือไม่ผิดต่อบัญชาของฮ่องเต้จับจูซานให้ได้ จูซานยังจับไม่ได้วันหนึ่ง แดนเหนือก็ไม่อาจสงบได้วันหนึ่ง”
แม่ทัพทั้งหลายขานรับเสียงพร้อมเพรียง เรียกนายทหารเข้ามาตั้งแผนผังจำลองใหม่อีกครั้งทันที แต่คืนนี้คงไม่อาจใช้ได้แล้วแน่นอน ชิงเหอปั๋วให้ทุกคนแยกย้ายไป เหลือเพียงแม่ทัพไม่กี่คนอยู่ข้างกาย ตนเองก็เดินไปโถงด้านข้างเตรียมพักผ่อน
“ท่านปั๋ว การโยกย้ายส่วนใหญ่ล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาใด” แม่ทัพคนหนึ่งมองแผนผังการวางกำลังป้องกันในมือ “มีเพียงกองทหารกองหนึ่งไม่รู้จะจัดการอย่างไร…”
ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้วเล็กน้อย แม่ทัพคนหนึ่งด้านข้างรีบเอ่ยปากก่อน
“เจ้าสี่ คำนี้เจ้ายังจะพูด คำสั่งทหารประหนึ่งเขาล้ม ยังจัดการไม่ง่ายอีกหรือ?” เขาตำหนิ
แม่ทัพที่ถูกเรียกว่าเจ้าสี่ยิ้มประจบนิดหนึ่ง
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เขาเอ่ย “เพียงแต่กำลังพลกองนี้ยุ่งยากอยู่บ้าง”
“ยุ่งยาก?” ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้ว “ยุ่งยากอย่างไร?”
“กองทหารชิงซานขอรับ” แม่ทัพเอ่ยขึ้น
กองทหารชิงซานนี่เอง ชื่อนี้เอ่ยอออกมา ทุกคนด้านในรวมถึงชิงเหอปั๋วล้วนสีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง
โคมไฟในโถงด้านข้างจุดสว่างเพียงไม่กี่ดวง เทียบกับในโถงที่ว่าการอ่อนโยนกว่ากันอยู่บ้าง คนก็น้อยกว่ามากนัก มีเพียงสี่ห้าคนนั่งล้อมวงอยู่ บรรยากาศเย็นเยียบน้อยลงมีความสงบของราตรีเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง
แต่คำพูดที่พวกเขาเอ่ยไม่สงบอ่อนโยนเลย
“กองทหารชิงซานนี่จำต้องกำจัด” แม่ทัพคนหนึ่งทำหน้าโหดเหี้ยมเอ่ยขึ้น