Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 29 ค้อมศีรษะรับคำสั่ง
กองทหารชิงซานเป็นกองทหารที่เฉิงกั๋วกงผลักดันให้กลายเป็นกองทหาร แน่นอนต้องนับเป็นคนในสังกัดของเฉิงกั๋วกงแน่นอน
“กองทหารชิงซานนี่ร้ายกาจจริงๆ” ชิงเหอปั๋วยิ้ม เหมือนคิดอะไรได้เอ่ยขึ้น “โจรกลุ่มหนึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นทหารสมใจ”
ชิงเหอปั๋วเคยบอกกับพวกเขาแล้ว กองทหารชิงซานกองนี้ยี่สิบกว่าปีก่อนเป็นกองทหารอาสาของแดนเหนือ ถือกำเนิดมาจากหมู่โจรสารพัดมารวมกัน ตอนนั้นก็แค่ไม่มีทางเลือกจึงใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า ใช้พวกเขาตามโอกาสก็เท่านั้น ไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นเรื่องสำคัญ คิดไม่ถึงนานปีเช่นนี้กลับโผล่ออกมาอีกหน
“ถ้าเช่นนั้นท่านปั๋วก่อนหน้านี้เคยติดต่อกับพวกเขา ในนั้นยังมีคนรู้จักไหมขอรับ?” แม่ทัพคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายเอ่ย หากมีคนรู้จัก บางทีอาจดึงมาเป็นคนของพวกเขาได้…
ชิงเหอปั๋วยิ้มดูแคลน
“ข้าไม่เคยติดต่อกับพวกเขา ล้วนเป็นเจี่ยงเจ๋อตาเฒ่าหนังเหนียวนั่นทำคนเดียว” เขาเอ่ย “กลัวแต่ผู้อื่นจะแย่งคุณงามความชอบของเขา ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร เขาเท้าเหยียบความตายปุบ คุณงามความชอบไม่ใช่ก็เป็นของพวกเราที่มีชีวิตอยู่เหล่านี้หรือ”
ตอนนั้นกลุ่มทหารที่แดนเหนือซับซ้อน เปลืองสมองเปลืองแรงไม่แพ้สู้รบกับชาวจิน อดีตไม่อาจเอ่ยถึงอีก แม่ทัพทั้งหลายยิ้มประจบพยักหน้า
“ท่านปั๋วย่อมไม่ต้องดึงใครเป็นพวก” พวกเขาเอ่ย “ผู้มีความสามารถที่รู้จักสถานการณ์จึงจะเป็นยอดวีรบุรุษที่แท้จริง ถึงควรใช้งาน”
“ไม่ว่าพวกเขาก่อนหน้านี้ร้ายกาจจริงหรือร้ายกาจปลอม ตอนนี้กองทหารชิงซานกองนี้หนึ่งต้านสิบได้จริงๆ” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเบี่ยงประเด็นเอ่ย “ผู้น้อยเคยเห็นพวกเขารบกับชาวจินกับตา ดุร้ายร้ายกาจจริงๆ”
“ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ดุร้ายบางทีอาจไม่ใช่คน เป็นอาวุธของพวกเขา” ชิงเหอปั๋วลูบเคราเอ่ยขึ้น
กองทหารชิงซานมาถึงที่นี่แล้ว เพราะได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานาน แม่ทัพทั้งหลายเหล่านี้ล้วนไปดูด้วยตาตนเองมาแล้ว รวมถึงรถยิงกระสุนกับกระสุนหินประหลาดเหล่านั้นด้วย กองทหารชิงซานก็ไม่ปิดบังเช่นกัน ฟังคำสั่งแล้วยังสาธิตให้ชิงเหอปั๋วดูอีก
สถานการณ์ตอนนั้นแม้เทียบไม่ได้กับผลลัพธ์ในสนามรบจริงๆ แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนตื่นตะลึง
“อาวุธเหล่านี้ทำอย่างไรพวกเขาบอกว่าไม่ทราบ บอกเพียงว่าจวินจิ่วหลิงคนนั้นถึงทำเป็น” แม่ทัพคนหนึ่งขมวดคิ้ว “พวกเขาใช้เป็นเท่านั้น”
ชิงเหอปั๋วไม่เห็นด้วย
“ขอเพียงเป็นเครื่องใช้ ย่อมไม่มีคนเป็นคนเดียวคำพูดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นอาวุธ นั่นเป็นของที่ต้องใช้จำนวนมาก หากมีคนเป็นคนเดียวจริงๆ ยังนับว่าเป็นอาวุธอันใดอีก” เขาเอ่ย “ให้นายช่างของกองทัพแกะออกมาวิจัยสักหนึ่งปีครึ่ง ข้าไม่เชื่อว่าสร้างออกมาไม่ได้”
นั่นก็ใช่ แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้า
“ยังต้องให้พวกเขาสอนว่าใช้อาวุธเหล่านี้อย่างไรกับทหารมากกว่าเดิมด้วย” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสริม ถึงขั้นจินตนาการภาพทหารใต้สังกัดของตนติดอาวุธชนิดนี้แล้ว นั่นคงเหยียบราบทุกทิศ ความชอบในสงครามเลื่องลืออย่างแท้จริง สีหน้าเขาปิดความตื่นเต้นไม่อยู่
“ถ้าพูดเช่นนี้ กองทหารชิงซานยังไม่อาจแตะได้ชั่วคราว?” ชิงเหอปั๋วครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น
“ขอรับ ท่านปั๋ว ผู้น้อยก็ขบคิดถึงจุดนี้ถึงรู้สึกว่ายุ่งยากทำไม่ง่าย จึงมาขอคำชี้แนะ” แม่ทัพที่เอ่ยปัญหาออกมาคนแรกสุดเอ่ยขึ้น “มันเป็นกองกำลังของเฉิงกั๋วกง แต่ก็ร้ายกาจเกินไปแล้ว…”
ตามหลักแล้วยิ่งร้ายกาจยิ่งไม่ต้องขบคิดต้องกำจัดไปทันที แต่ดันร้ายกาจถึงขั้นที่พวกเขาตัดทิ้งไม่ลงแล้วก็ไม่อาจกำจัดได้ทำให้คนยุ่งยากใจจริงๆ
“นั่นมีสิ่งใดลำบากใจ ถ้าเช่นนั้นก็เก็บไว้ชั่วคราว” ชิงเหอปั๋วเอ่ยแล้วยิ้มนิดๆ อีกหน
“เลือกสถานที่สำคัญสักแห่งให้พวกเขาไป”
สถานที่สำคัญ? แม่ทัพทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง
“สถานที่ที่ยังต้องวางทหารไว้มากที่สุด” ชิงเหอปั๋วเอ่ยต่อ
แม่ทัพทั้งหลายยิ่งไม่เข้าใจแล้ว นั่นไยไม่ใช่ให้ความสำคัญยกย่องพวกเขา?
“ให้ความสำคัญสิ ให้ความสำคัญพวกเขา พวกเขาร้ายกาจเช่นนี้ย่อมสมควรให้ความสำคัญ นอกจากนี้พวกเขาก็ต้องประคับประคองสหายร่วมชาติ เดินทัพทำสงครามแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่วีรบุรุษคนเดียว ให้ทุกคนล้วนร้ายกาจ เช่นนี้ถึงรักษาชายแดนให้ดีได้” ชิงเหอปั๋วเอ่ย
แม่ทัพทั้งหลายพลันกระจ่าง ที่แท้ให้พวกเขาไปสอนทหารคนอื่น วางไว้ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดจะอ้าปากให้พวกเขาแบ่งปันอาวุธก็ย่อมสมเหตุสมผล ส่วนพวกเขาเพื่อความปลอดภัยของตนเองก็ย่อมหวังให้ทหารคนอื่นร้ายกาจขึ้นเช่นกัน นี่คือเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ไม่มีใครชี้ปัญหาได้
ส่วนสั่งสอนศิษย์เป็นแล้ว อาจารย์ควรจัดการอย่างไรก็ง่ายดายยิ่งแล้ว
“หากมีเรื่องขึ้น พวกเขาก็ต้านไว้ก่อนได้ด้วย” ชิงเหอปั๋วตบดาบประจำกายปลดออกโยนไว้ด้านข้าง สีหน้าผ่อนคลาย “ใช้ประโยชน์ให้คุ้มถึงไม่สิ้นเปลืองไหม”
“ท่านปั๋วขบคิดรอบคอบ ฉลาดเฉลียว” แม่ทัพทั้งหลายพากันลุกขึ้นยิ้มเอ่ย
……………………………………….
……………………………………….
ค่ายทหารยามค่ำคืนยังคงครึกครื้น
“ได้ยินหรือยัง?”
นายทหารอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งวิ่งก้าวสั้นๆ มาถึงหน้ากองไฟกองหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
“เหวยซุ่นชิ่งแม่ทัพของกองซุ่มโจมตีก็ถูกจับไปด้วยแล้ว”
นายทหารไม่น้อยที่นั่งล้อมอยู่หน้ากองไฟได้ยินพลันฮือฮาเบาๆ
“อีกคนแล้ว…”
“นี่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ…”
“มีจบสิ ขอแค่กำจัดกำลังคนของเฉิงกั๋วกงได้เกลี้ยงก็จบแล้ว…”
“นี่ไม่มีเหตุผลสักข้อบอกจะจับก็จับแล้วหรือ?”
“แม่ทัพกองซุ่มโจมตีคนเดียวต้องการเหตุผลอะไร ขนาดเฉิงกั๋วกงบอกจะจับก็จับเลยเหมือนกัน”
“ชู่ชู่อย่าพูดถึงเรื่องนี้”
หลังเสียงชู่เบาๆ ครู่หนึ่ง เสียงซุบซิบก็หยุดลง แต่สีหน้าของผู้คนกลับปั้นยากยิ่งนักอีกหน
เฉิงกั๋วกงคนผู้เคยถูกทุกคนพูดถึงอย่างเป็นเกียรติผู้นี้ ตอนนี้กระทั่งพูดถึงก็ไม่กล้าพูดแล้ว
อาศัยอะไร!
นายทหารคนหนึ่งอดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ ยกกำปั้นทุบบนพื้น ทิ้งหลุมหลุมหนึ่งไว้
“พอแล้ว ระวังหน่อย อย่าถูกคนเห็นเข้า” นายทหารที่อายุมากหน่อยคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น ยังคงมองไปรอบด้านอย่างระวัง
“กลัวอะไร ต่อให้พวกเราไม่ได้พูดอะไร” นายทหารอีกคนหนึ่งหน้าแดง ลำคอตั้งตรง “ผู้อื่นก็คิดว่าพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงอยู่ดี”
ใช่แล้ว พวกเขาเป็นกองทหารใหม่ที่เฉิงกั๋วกงตั้งขึ้น นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่สีหน้าเศร้าหมอง ส่วนหลี่กั๋วรุ่ยที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เหม่อลอยอยู่บ้าง
โชคชะตาพลิกผันยากคาดเดาจริงๆ
ใครจะคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ ก้าวเท้าแรกมีหน้ามีตาไม่หมดสิ้นอนาคตดั่งแพรไหม ก้าวขาหลังกลับเหยียบเข้าไปในกองป่านหยาบ จริงดังที่ประโยคนั้นว่าในลาภซ่อนเคราะห์
“ดูท่าพวกเราก็ยากหนีแล้ว” เขาเอ่ยพลางหันหน้ามองคนด้านข้าง “ไม่รู้ว่าจะไล่พวกเราไปที่ไหน”
บุรุษสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับไม่ได้ยินคำพูดของเขา กระทั่งไม่ได้สนใจการถกเถียงด้วยความวิตกของนายทหารทั้งหลายด้านนี้
หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งกำลังคุยกันเสียงเบา ไม่รู้คุยอะไรยังหัวเราะออกมาอีก
หลี่กั๋วรุ่ยจนปัญญาอยู่บ้าง ชาติกำเนิดเป็นโจรก็ไม่ดีตรงนี้ รู้จักแต่รบราฆ่าฟัน อย่างไรก็ไม่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในกองทัพ
“ข้าว่าต่อไปจะทำอย่างไร?” เขาไม่อาจเอ่ยย้ำอีกครั้ง
หยางจิ่งตอนนี้ถึงมองมาหาเขา
“ควรทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นสิ” เขาเอ่ย
“หากวางพวกเราไปป้องกันสถานที่ซึ่งมีก็ได้ไม่มีก็ได้บางแห่ง…” หลี่กั๋วรุ่ยขมวดคิ้วเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปสิ พวกเราเป็นทหารย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งเคลื่อนพล” หยางจิ่งเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
หลี่กั๋วรุ่ยกะพริบตา
“ข้าพูดถึงที่พวกเขามองพวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงแล้วกดขี่ข่มเหง…” เขากดเสียงเบาเอ่ย
“พวกเราเป็นคนของเฉิงกั๋วกงได้อย่างไร” หยางจิ่งขมวดคิ้วเอ่ย “พวกเราเป็นทหารหลวง เป็นทหารของต้าโจว ไม่ใช่คนของใคร”
หลี่กั๋วรุ่ยกลอกตาทีหนึ่ง จะพูดอะไรก็หยุดไป มองไปทิศทางหนึ่งสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“มาแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “มาเร็วจริงๆ คราวนี้ไม่รู้จะถูกส่งไปสถานที่ใด”
แต่เมื่อคนที่มาประกาศสถานที่ซึ่งพวกเขาต้องไป หลี่กั๋วรุ่ยพลันตกใจสะดุ้งโหยง
“ค่ายซู่หนิง” เขาเอ่ย “ใต้เท้าอู๋ข้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง?”
คนที่มาคือแม่ทัพหนวดเฟิ้มแซ่อู๋คนหนึ่ง ได้ยินคำพูดพลันถลึงตา
“ทำไม? พวกเจ้าไม่ยินดีหรือ?” เขาเอ่ยอย่างไม่พอใจ เน้นเสียงติดจะมีนัยยะอยู่บ้างอีก “พวกเราทหารย่อมไม่อาจถกกันว่าเป็นคนของใคร ที่ไหนต้องการก็ต้องไปที่นั่น”
หลี่กั๋วรุ่ยรีบส่ายศีรษะ
ค่ายซู่หนิงย่อมไปสิ นั่นเป็นถึงด่านปราการสำคัญแห่งหนึ่ง ที่ผ่านมาเป็นสถานที่ซึ่งนายทหารต้องแย่งกัน เมืองกว้างใหญ่ทหารประจำการมากมาย
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่กองทหารซุ่นอันยังผลัดไม่ถึงไปที่นี่เลย คิดไม่ถึงตอนนี้ชิงเหอปั๋วถึงกับส่งพวกเขาไป นี่เป็นสถานที่ซึ่งคนสนิทเท่านั้นถึงจะได้ไปเชียวนะ
ชิงเหอปั๋วนี่เป็นอะไรไปแล้ว?
แต่เขายินดีไม่ยินดีก็ไม่ใช่คนตัดสินใจ หลี่กั๋วรุ่ยมองไปทางหยางจิ่งกับเซี่ยหย่ง
หยางจิ่งกับเซี่ยงหย่งกลับหันหน้ามองไปทางกระโจมหลังหนึ่งตะโกนคำหนึ่งว่าฮั่นชิง
แม่ทัพอู๋เลิกคิ้ว มองเห็นสตรีเยาว์วัยคนหนึ่งเดินออกมา
สตรีปรากฏตัวในค่ายทหารยากพบนักจริงๆ แต่กองทหารชิงซานเป็นข้อยกเว้น ไม่เพียงมีสตรีสิบกว่าคนตั้งเป็นกองสตรี ในกองทหารชิงซานยังมีสตรีคนหนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจด้วย
แต่ไร้หนทาง รถยิงกระสุนที่ร้ายกาจเหล่านั้นก็เป็นคนของกองสตรีเหล่านี้ควบคุม นอกจากนี้เด็กสาวที่ชื่อจ้าวฮั่นชิงคนนี้ก็ขี่ม้ายิงธนูร้ายกาจอย่างที่สุดด้วย
“เรื่องอันใด?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยถาม
ไม่รอใต้เท้าอู๋เอ่ยวาจา เซี่ยหย่งพลันแจ้งเรื่องราวกับนาง
“คุณหนูจ้าว นี่เป็นเรื่องสำคัญของการวางกำลังป้องกัน ไม่อาจทำเป็นเด็กเล่น ท่าน…” ใต้เท้าอู๋อดกลั้นอารมณ์เสริมอย่างอดทน พวกสตรีเหล่านี้ใช้อารมณ์เก่งที่สุด
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ จ้าวฮั่นชิงพลันขัดเขา
“คำสั่งของใคร?” นางเอ่ยถาม
ดูสิดูสิมาแล้วไหม แม่ทัพอู๋ในใจหัวเราะหยัน กองทหารชิงซานนี่ก็แยบยลพอตัวจริงๆ ถึงเวลาให้เด็กสาวคนนี้โวยวายไม่เชื่อฟังคำสั่ง ใครจะทำอันใดพวกเขาได้อีก
“ชิงเหอปั๋ว” เขากัดฟันเอ่ย “คุณหนูจ้าว ข้าทราบว่าพวกท่านเป็นคนที่เฉิงกั๋วกงผลักดันขึ้นมา แต่ในฐานะ…”
คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ จ้าวฮั่นชิงก็พยักหน้า
“ทราบแล้ว” นางเอ่ย
ทราบแล้ว? ใต้เท้าอู๋สำลักไปแล้ว เขาไม่ได้ฟังผิดกระมัง