Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 32 เกราะเหล็กเย็นเยียบที่ด่านชายแดน
สีหน้าเขานิ่งสนิท น้ำเสียงไม่ยอมให้ตั้งคำถามเหมือนวันนั้นที่จับนางได้เช่นนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
คุณหนูจวินกัดเนื้อที่ส่งมาถึงในปากพลางมองเขา
เนื้อกับน้ำแกงไม่เหมือนกัน จำต้องเคี้ยวถึงจะดี
นางใช้ฟันกัดลงไปทีละนิดๆ ช้าๆ
มือของลู่อวิ๋นฉีที่ริมฝีปากของนางปล่อยออก ลูบศีรษะนางเบาๆ
คุณหนูจวินกลืนเนื้อลงไป
“เจ้าพูดผิดแล้ว” นางเอ่ย “สิ่งที่ทำร้ายคนไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นคน”
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง คุณหนูจวินกลับไม่มองเขา ผละสายตาออกอย่างเฉยเมย
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวหั่นเนื้อแพะช้าๆ ต่อ ในห้องเงียบสงัดบางครั้งมีน้ำมันร้อนหยดลงบนไฟถ่านส่งเสียงชี่ดังออกมา
ท่ามกลางเสียงประทัดรัว ปีใหม่ปีหนึ่งมาเยือนแล้ว
โคมไฟในเมืองหลวงส่องสว่างประหนึ่งแดนเซียนบนโลกมนุษย์ ในพระราชวังฮ่องเต้กับไทเฮาก็นั่งล้อมวงเช่นกัน มองเหล่าสนมกับเด็กๆ ในตำหนักหัวเราะโวยวายกันสนุกสนาน ประชาชนทั้งหลายไม่ว่ายากจนร่ำรวยก็นั่งสุขสันต์พร้อมทั้งครอบครัว ตั้งแต่เหนือจรดใต้ครึกครื้นรุ่งเรืองไปหมด
กระทั่งด่านจวินจื่อ ณ เมืองเหอเจียนที่ค่อนข้างห่างไกลก็โอบล้อมด้วยเสียงประทัดดังเป็นช่วงๆ หมู่บ้านและอำเภอที่ห่างไกลไฟโคมประหนึ่งดวงดาวดารดาษ มองไปเพิ่มความอบอุ่นให้คนในหน้าหนาวนี้อยู่บ้าง
แต่ไม่นานสายลมคลั่งหอบใหญ่ก็พัดหิมะเต็มฟ้าโปรยปรายร่อนระบำ ต่อให้หลบอยู่ในบ้านก็คล้ายสัมผัสความร้อนไม่ได้สักนิด
แต่แม้เป็นเช่นนี้บ้านดินข้างใต้ป้อมปราการก็มีคนเบียดกันอยู่เจ็ดแปดคน ท่ามกลางนายทหารที่สวมชุดทหารเก่าทั้งหลายยังมีบุรุษวัยกลางคนอวบอ้วนผิวขาวสวมเสื้อหนังตัวใหญ่คนหนึ่งด้วย
แม้ในห้องนับว่าเขาใส่เสื้อผ้าหนาที่สุด เขายังแทบจะยื่นมือเท้าเข้าไปในถาดไฟ คล้ายมีเพียงความเจ็บปวดของไฟที่แผดเผาถึงทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นได้
“อากาศที่นี่ของพวกเจ้าทำไมหนาวเช่นนี้เล่า” เขาเอ่ยเสียงสั่นอยู่บ้าง ถึงขั้นที่สำเนียงแดนเหนือซึ่งเดิมทีก็ไม่คุ้นเพิ่งร่ำเรียนเป็นปิดสำเนียงแดนใต้อันชัดเจนไว้ไม่มิดอีกต่อไป
นายทหารหลายคนหัวเราะขึ้นมา
“ก็หนาวเช่นนี้เสมอนะ” คนหนึ่งในนั้นเอ่ย ส่งไหสุราใบหนึ่งให้เขา “ข้าว่านายท่านผู้ร่ำรวยคนนี้อย่างท่านคงไม่เคยลำบากเช่นนี้ล่ะสิ?”
บุรุษวัยกลางคนส่ายศีรษะรัว รับสุราที่นายทหารส่งมาดื่มคำหนึ่ง ฉับพลันสำลักไอติดๆ กัน น้ำหูน้ำตาไหลเป็นสาย
ความอเนจอนาถนี่ทำให้นายทหารทั้งหลายในห้องประสานเสียงหัวเราะอีกครั้ง แต่ทุกคนยังคงส่งชาร้อนชามหนึ่งไปให้เขาอีกอย่างรวดเร็วยิ่ง
“อย่าคิดว่านี่พวกเราแกล้งท่านเล่า อยู่ที่นี่ก็ต้องดื่มสุราชนิดนี้” ทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งที่เงียบงันไม่เอ่ยวาจามาตลอดเอ่ยขึ้น “ราตรีของฤดูหนาวเดินทางหรือสอดแนมเฝ้าระวัง หากไม่มีสุราคำนี้ เอนหลังหลับตาลงนิดหนึ่งก็ลืมตาไม่ขึ้นอีกต่อไปแล้ว”
บุรุษวัยกลางคนสีหน้าซาบซึ้งทั้งยังนับถือ
“นายทหารทั้งหลายของหัวหน้าหมู่ต่งลำบากจริงๆ ” เขาเอ่ยขึ้น “ผู้แซ่ฟู่นับถือจากใจจริง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาที่นี่จึงไม่รู้ ครั้งนี้มาถึงแดนเหนือเดินทางรอบหนึ่ง ต่อให้ยามไม่ทำสงครามนี่ก็ยากลำบากพอแล้ว”
เขาพูดพลางชูไหสุราที่เมื่อครู่ส่งมาขึ้น
“มา มา ข้าคารวะทุกท่านหนึ่งจอก”
พูดจบพลันแหงนศีรษะดื่มคำโตคำหนึ่ง
ครั้งนี้แม้ไม่ได้อเนจอนาถเช่นนั้นอย่างครั้งก่อน แต่ก็หน้าแดงในพริบตา น้ำตากลิ้งอยู่ในดวงตา
พ่อค้าร่ำรวยที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยคนหนึ่งเกรงใจพวกเขาเช่นนี้ได้ นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่ล้วนยากปิดบังความเบิกบานใจเอ่ยขอบคุณชูไหสุราในมือขึ้น
บรรยากาศในห้องครื้นเครง ขับไล่ความหนาวเย็นไป
แต่หัวหน้าหมู่ต่งไม่ได้ดื่ม สีหน้าติดจะทะมึนอยู่บ้างมองบุรุษผู้นี้
“ข้าไม่รู้ว่าท่านหัวหน้ากองทำไมยอมให้พวกเจ้ารั้งอยู่ที่นี่พักค้างคืน” เขาเอ่ยขึ้น “ตามกฎที่เป็นมาของพวกเรา ต่อให้พวกเจ้าแข็งตายอยู่บนถนน ก็ไม่อาจเหยียบเข้าด่านแห่งนี้ได้สักก้าว”
คำพูดนี้เอ่ยออกมาโดยไม่เกรงใจอย่างแท้จริง แต่พ่อค้าคนนี้นิสัยดียิ่ง ไม่ได้อับอายโกรธเกรี้ยว
“ใช่แล้ว พวกเราก็รู้ว่าไม่ถูกกฎระเบียบ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ล้วนโทษพวกเราไม่คุ้นกับสถานที่ เดินสะเปะสะปะ เสียเวลาเดินทาง หากไม่ใช่ท่านหัวหน้ากองกับหัวหน้าหมู่รักประชาชนดั่งบุตร พวกเราคงไม่รอดแน่แล้ว”
หัวหน้าหมู่ต่งยกมือห้าม
“เฮ้อ ไม่ต้องชมข้า ข้าย่อมไม่กล้ารับว่ารักประชาชนดั่งบุตรอันใด” เขาเอ่ย “ข้าเป็นเพียงผู้ที่รักจะรักษากฎระเบียบเท่านั้น”
เขามองพ่อค้าคนนี้
“สถานที่พักของพวกเจ้าข้าจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปสักก้าวก็ไม่อนุญาตให้เหยียบออกมา หากพบว่าท่านหรือผู้ติดตามของท่านเดินส่งเดชปุบ พวกเราจะไม่ถามเหตุผลสังหารเดี๋ยวนั้น”
พ่อค้าพยักหน้าหงึกๆ
“ทราบแล้ว ทราบแล้ว” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านวางใจ วางใจ พวกเราก็ไม่กล้าเดินส่งเดชเช่นกัน หากถูกลมพัดไปถึงด้านนั้นของชาวจินก็แย่แล้ว”
มีนายทหารแย้มริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา แต่ก็รีบหุบอีกหน
“เจ้าวางใจ ขอเพียงประตูป้อมปราการแห่งนี้ของพวกเราไม่เปิด ต่อให้ลมแรงอีกเท่าใด ก็ไม่มีผู้ใดไปถึงเขตของชาวจินได้ เช่นเดียวกันชาวจินก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” หัวหน้าหมู่ต่งเอ่ยพลางโบกมือให้พ่อค้า “เอาล่ะ ดึกแล้ว พวกเราที่นี่ก็ไม่มีการละเล่นสนุกอันใด นายท่านฟู่รีบไปพักผ่อนเถิด”
พ่อค้าขานทราบแล้วติดกันหลายคำ จากนั้นประสานมือคำนับนายทหารทั้งหลายในห้อง
“ถ้าเช่นนั้นทุกคนสุขสันต์วันปีใหม่นะขอรับ” เขาเอ่ย
นายทหารทั้งหลายยิ้มพลางคำนับคืน มองพ่อค้าเดินออกไปพร้อมกับนายทหารคนหนึ่งที่ไปเป็นเพื่อน
แทนที่จะบอกว่าไปเป็นเพื่อน ที่จริงเป็นการเฝ้าคุมเสียมากกว่า ดูเขาเดินออกไป
“พ่อค้าคนนี้ก็จริงๆ เชียว หาเงินมากปานนั้นมีประโยชน์อันใด ถ้าปีใหม่นี่ต้องทรมาน” นายทหารทั้งหลายยิ้มพลางวิพากษ์วิจารณ์
หัวหน้าหมู่ต่งดื่มสุราคำหนึ่ง
“ดังนั้นตอนนั้นท่านกั๋วกงจึงบอกว่าพ่อค้านี่ดูถูกไม่ได้ นั่นก็เป็นผู้ที่เหี้ยมที่สุดเช่นกัน” เขาเอ่ย
เอ่ยถึงท่านกั๋วกง นายทหารทั้งหลายที่นั่งอยู่ล้วนสีหน้าหม่นหมองไปชั่วครู่
หัวหน้าหมู่ต่งลุกขึ้นยืน
“กลางคืนล้วนตื่นตัวระวังหน่อย พวกเราไม่แบ่งว่าปีใหม่ไม่ปีใหม่” เขาเอ่ย “ท่านกั๋วกงกล่าวไว้ พวกเราผู้เป็นทหารเหล่านี้ ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ทุกวันก็คือปีใหม่”
นายทหารทั้งหลายล้วนลุกขึ้นยืนพรึบพรับขานรับพร้อมเพรียง
……………………………………….
……………………………………….
ราตรียิ่งมืดมิดขึ้นทุกที หิมะหยุดแต่สายลมบ้าคลั่งยังคงเดิม ทำให้เสียงประทัดไกลออกไปเลือนราง
เสียงฝีเท้าของนายทหารทั้งหลายกลายเป็นแทบไม่ได้ยิน มีเพียงคบไฟที่ส่องประสานกันจึงทำให้ทุกคนมองเห็นอีกฝ่าย
“หลับฝันดี”
นายทหารทั้งหลายที่มารับเวรต่อเอ่ยกับนายทหารทั้งหลายที่สิ้นสุดการลาดตระเวน
นี่คือคำอวยพรที่เรียบง่ายที่สุดแล้วก็ล้ำค่าที่สุดเช่นกัน
สองฝ่ายสวนกันจากนั้นก็แยกไป คบไฟแถวหนึ่งไปทางบ้านพักในป้อมปราการ แถวหนึ่งขึ้นไปบนป้อมปราการ
ท่ามกลางสายลมคลั่งจับจ้องทุ่งกว้างดำสนิทผืนหนึ่งอย่างระวังระไว
นี่คือชีวิตอันแห้งแล้งที่ซ้ำไปมาวันแล้ววันเล่าของพวกเขา แต่แม้ในยามดึกดื่นที่ง่วงที่สุด สายลมแทบจะพัดบาดหนังตา พวกเขาก็ลืมตาไม่กะพริบตาตั้งแต่ต้นจนจบ
ฝีเท้าเหยียบผ่านบนประตูเมือง คนที่ยืนอยู่ด้านล่างคล้ายสัมผัสได้ถึงดินทรายที่ร่วงลงมา
นี่คือนายทหารถือโคมไฟคนหนึ่ง คนที่เหลือขึ้นกำแพงเมืองไปแล้ว ส่วนเขารั้งอยู่ตรวจดูประตูเมืองเล็กน้อย
ที่จริงไม่ต้องดู ประตูหนาหนัก มีดาลประตูถึงสามชั้น ต่อให้ข้างนอกใช้ท่อนไม้สองท่อนก็กระแทกไม่เปิด
แต่ดินทรายของประตูเมืองไม่แน่นหรือ?
นายทหารเงยศีรษะขึ้นมองข้างบนโดยไม่รู้ตัว เพิ่งเงยศีรษะขึ้น ข้างหูพลันได้ยินเสียงพรวดทีหนึ่ง
นี่คือเสียงลูกศรแทงเข้าร่าง
ก่อนหน้าศรแทงเข้าร่างยังมีเสียงแหวกอากาศ แต่คืนนี้ลมแรงเกินไปแล้ว เสียงแหวกอากาศจึงไม่ได้ยิน
นายทหารความคิดสุดท้ายนี้แล่นผ่าน คนก็ล้มตึงลงไปแล้ว โคมไฟตกแตก ศรดอกหนึ่งในลำคอใต้แสงไฟที่ลุกโหมบนน้ำมันโคมสาดส่องผลิบุปผาสีเลือดดอกหนึ่ง จากนั้นพลันดับสลาย
โคมไฟที่ปักอยู่บนช่องประตูก็ถูกยิงร่วง มีเงาร่างเจ็ดแปดร่างโถมเข้ามาท่ามกลางราตรี คบเพลิงถูกผ้าคลุมปิด แสงสว่างที่หลงเหลือส่องบุรุษวัยกลางอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งที่ห่อตัวอยู่ในเสื้อหนังสัตว์
บนหน้าของเขาติดจะกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดใบหน้าก็เหี้ยมเกรียมนิดๆ ยกเท้าเหยียบบนคบเพลิง สองสามทีช่องประตูเมืองพลันตกสู่ความมืดมิด
เสียงกึกเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ท่ามกลางสายลมราตรี ตามติดมาด้วยเสียงฝีเท้าแผ่วเบา ในราตรีมืดมิดคล้ายหนอนยักษ์ตัวหนึ่งคืบคลาน
คบเพลิงจากบนกำแพงเมืองส่องลงมา
“เดี๋ยว” นาทีนั้นที่คนบนกำแพงเมืองจะเดินลงมา นายทหารที่เป็นหัวหน้าพลันหยุดฝีเท้า มองประตูเมืองที่มืดสนิท “โคมที่ประตูเมืองทำไมดับไป?”
“ถูกลมพัดดับกระมัง?” มีคนเอ่ยขึ้น
นี่ก็เป็นเรื่องที่มีเป็นปกติ
นายทหารที่เป็นหัวหน้าส่ายศีรษะ มือชักดาบข้างเอวออกมา
นายทหารคนอื่นแม้รู้สึกว่าไม่จำเป็นอยู่บ้าง แต่ก็ยังเคลื่อนไหวตามเขาทันที
“ซานจิน?” นายทหารที่เป็นหัวหน้าตะโกนเรียก “ซานจิน?”
ไม่มีคนตอบรับ ความเงียบทำให้หัวใจคนเต้นระทึก
นายทหารที่เป็นหัวหน้าหยุดฝีเท้า ฉับพลันยกมือโยนคบไฟไปด้านหน้า
ท่ามกลางราตรีเสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับแสงสว่างของคบเพลิง นายทหารก็เห็นบนพื้นไม่ไกลคนผู้หนึ่งกระโดดลุกขึ้น
คบเพลิงตกลงบนศีรษะเขาพอดี เส้นผมดกที่ไม่สวมหมวกเกราะพริบตาถูกจุดติดไฟ ส่องใบหน้าบิดเบี้ยวน่าหวาดกลัวของเขา
ใบหน้าของนายทหารที่เป็นหัวหน้าพริบตาบิดเบี้ยวเช่นกัน
“จิน…” เขาอ้าปากตะโกน
แต่ศรดอกหนึ่งพลันปักลงบนหน้าผากของเขาพาเขาล้มตึงลงไปแล้ว รอบด้านเสียงฟึบๆ ดังขึ้น ศรนับไม่ถ้วนประหนึ่งสายฝนตัดผ่านสายลมคลั่ง
เสียงกรีดร้องพริบตาถูกสายลมกลบหาย คบเพลิงร่วงตกพื้นจุดคนให้ลุกติดไฟ ส่องประตูเมืองทั้งหมดให้สว่างขึ้นมา แล้วก็ส่องคนมากมายยุบยับเบื้องหน้ามันด้วย
ในมือพวกเขากำศร บนร่างสะพายดาบยาว ข้างเอวห้อยขวานสั้นไว้ ดวงหน้าซีดขาวดวงตาดุร้ายเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ประหนึ่งสัตว์ร้ายลงเขามองไปด้านหน้า
……………………………………….
……………………………………….
ในเวลาเดียวกันนี้ปีใหม่ก็มาถึง เสียงประทัดดังระงมบนแผ่นดินกว้างใหญ่ ชาวหมู่บ้านของหมู่บ้านห่างไกลที่ข้ามคืนปีใหม่อยู่ท่ามกลางเสียงประทัดที่สะเทือนหูแทบดับคล้ายได้ยินเสียงแตรกรีดแหลม โหยหวนทั้งยังเร่งร้อนแหวกท้องฟ้ายามราตรี
พวกเขามองมาด้านนี้โดยไม่รู้ตัว เห็นเปลวเพลิงกองโตคล้ายลุกไหม้อยู่ที่ขอบฟ้า เผาท้องฟ้ายามราตรีครึ่งหนึ่งแดงฉาน
แสงเปลวเพลิงลุกขึ้นรอบด้าน ควันสัญญาณลอยขโมง
……………………………………….
……………………………………….
กั้นด้วยแม่น้ำฮูถัว บนแผ่นดินทิศเหนือแสงดาวจุดหนึ่งสว่างขึ้นก่อน จากนั้นพลันประหนึ่งทุ่งร้างถูกจุดติดไฟ ขยายลามพรวดพราดจนผืนดินทั้งหมดล้วนสว่างขึ้นมา
ยืนอยู่สูงบนรถมองออกไป ที่ลุ่มแม่น้ำฮูถัวทั้งหมดกำลังพลพร้อมรบกระจายอยู่ทั่ว
“เวลามาถึงแล้ว”
สายลมคลั่งพัดหมวกคลุมหน้าออกเผยใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง อวี้ฉือไห่ที่เคยปรากฏตัวที่เมืองหลวงนั่นเอง เวลานี้บนหน้าเขาไม่มีความถ่อมตัวต้อยต่ำสักนิด มีเพียงความหยิ่งโยสรวมถึงความบ้าคลั่ง
“บุรุษทั้งหลาย ผืนดินอันรุ่งเรืองของชาวโจวเปิดประตูใหญ่ต้อนรับพวกเราแล้ว”
เขายกมือชี้ไปทางทิศใต้
“ไปเถิด”
หมื่นอาชาร้องพร้อมเพรียง ย่ำบนผืนดินประหนึ่งอสนีบาต เหยียบแม่น้ำน้ำแข็งทะลุ ถาโถมมาประหนึ่งเมฆา