Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 33 สังหารศัตรูถวาย ข้าเป็นคนแรก
ปีแรกของรัชศกเส้าไท่ บรรยากาศปีใหม่พลันมลาย
เพราะปรารถนาให้ฝนฝ้าตกต้องตามฤดูกาลปีใหม่บรรยากาศใหม่ ปีก่อนฮ่องเต้กับขุนนางทั้งหลายจึงหารือกันอย่างจริงจังหนึ่งเดือนออกราชโองการเปลี่ยนชื่อรัชศกเป็นเส้าไท่ ใครก็คิดไม่ถึงว่าวันแรกหลังเปลี่ยนรัชศกครั้งนี้ก็ได้ต้อนรับชาวจินลอบจู่โจมด่านจวินจื่อ
อิงอู่ชินอ๋องทั่วป๋าไท่ของชาวจินนำกำลังพลสามหมื่นจากด่านจวินจื่อมาตามแม่น้ำฮูถัวรุกตรงเข้ามาในเขตเหอเจียน พร้อมกันนั้นต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูก็นำทหารสามหมื่นกว่านาย บุกเข้าหมู่บ้านฉางเฟิงจากค่ายจางเจียที่ป้าโจวเป็นกองหนุน
และในที่ไกลกว่านั้น ทหารจินหลายหมื่นกำลังข้ามด่านกำแพงหมื่นลี้ที่เป่าโจวมา
ชั่วพริบตา ไฟสัญญาณที่ติ้งโจว ฉีโจว เหอเจียนจุดขึ้นรอบด้านประหนึ่งนรกบนดิน
เหอเป่ย ตงเป่ยสองมณฑลกำลังทหารเคลื่อนพลอย่างรีบเร่ง กรมกลาโหมถ่ายทอดคำสั่งให้ผู้บัญชาการทหารของที่ต่างๆ นำทหารเข้าช่วยเหลืออีกครั้ง
เมืองหลวงระวังแน่นหนา
เดือนหนึ่งบรรยากาศปีใหม่สักนิดก็ไม่มี บนถนนมีม้าเร็วควบเร็วรี่ขี่ผ่านไปเป็นระยะๆ
บนถนนแม้ยังมีคนไม่น้อยเดินไปมา แต่ไม่คึกคักครึกครื้นเบียดเสียดกันแบบปีใหม่เช่นนั้น ม้าเร็วไม่ต้องใช้แส้หรือด่าทอก็โล่งตลอดทาง
“ทำไมรบกันอีกแล้วเล่า?”
“ไม่ใช่เจรจาสงบศึกแล้วหรือ?”
“ก็บอกตั้งนานแล้วว่าชาวจินเชื่อไม่ได้”
“คราวนี้แย่แล้ว เฉิงกั๋วกงหนีไปแล้ว ชิงเหอปั๋วสู้กับชาวจินได้หรือไม่น่ะ?”
“พวกเจ้าเก็บของแล้วหรือยัง? หนีไม่หนี?”
“ไม่เป็นไรกระมัง? ไม่ใช่บอกว่าขวางไว้ได้แล้วหรือ?”
นี่คือประเด็นสนทนาที่ผู้คนบนถนนพูดคุยยามพบหน้ากัน กังวลวิตกแต่ยังไม่ตระหนกลนลาน น่าจะเป็นเพราะปีที่แล้วเพิ่งผ่านสงครามไปอย่างตื่นตระหนกแต่ไร้อันตราย
ประชาชนทั้งหลายจึงยังสงบได้อยู่บ้าง ค่อนครึ่งเพราะไม่รู้สถานการณ์การบอย่างละเอียด แต่สำหรับฮ่องเต้แล้วนอนไม่หลับมาหลายวันนักแล้ว
“…ชาวจินบอกว่าทหารกับชาวบ้านของพวกเราฝั่งนี้ปล้นวัวแพะของชาวบ้านพวกเขาไป…”
“…นี่เหลวไหลทั้งเพ…”
“…ไม่ใช่นะ บอกกันว่าถูกราชสำนักเร่งให้ส่งบรรณาการ…”
“…บ้าบอ ใครเร่งให้พวกเขาจ่ายกัน….พูดขึ้นมาบรรณาการก็ยังไม่ได้ให้นี่…”
“…ชาวจินเดิมก็เจ้าเล่ห์เชื่อไม่ได้ ตอนนั้นก็ไม่ควรเจรจาสงบศึก…”
“…นี่ต้องลองถามใต้เท้าหวงแล้ว ชาวจินอธิบายอะไรกับเขา…”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะทีหนึ่งดังป้าบ ในท้องพระโรงเสียงทะเลาะเอะอะเงียบลงทันที
“ข้าไม่อยากรู้ว่าพวกเขากลับคำ! ข้าไม่อยากได้ยินด้วยว่าความผิดใคร!” พระองค์ตวาด “ตอนนี้ข้าแค่อยากรู้ว่าขวางได้หรือไม่?”
ในตำหนักเงียบงันไปชั่วครู่
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ทัพใหญ่ที่แดนเหนือแบ่งเป็นสามทางดักโจมตีทหารจินแล้ว นอกจากนี้ยังมีผู้บัญชาการทหารของซานตง ซานซีเข้ามาช่วย เร่งเดินทางมาถึงมณฑลเหอเป่ยสองทาง ต้องฆ่าล้างโจรจินได้แน่”
ขุนนามกรมกลาโหมทำอันใดไม่ได้ได้แต่ก้าวออกมาพูด
แต่ฮ่องเต้ผู้ที่ขุนนางราชสำนักทั้งหลายพูดอะไรก็ฟังสิ่งนั้นมาตลอดเวลานี้กลับยิ้มหยัน
“เจ้าพูดมากมายปานนี้ ยังไม่ใช่บอกว่าขวางไม่อยู่หรือ?” พระองค์ตวาด พิโรธทั้งยังโศกเศร้า “พวกเจ้าตัวไร้ประโยชน์เหล่านี้ที่แท้ทำอะไรกันอยู่ฮะ?”
ขุนนางกรมกลาโหมผู้นั้นเงยศีรษะขึ้น
“ฝ่าบาท นี่ล้วนเป็นเพราะชิงเหอปั๋วโยกย้ายการวางการป้องกัน ทำให้ขวัญกำลังใจทหารไม่มั่นคง แม่ทัพทหารไม่คุ้น ทำให้ชาวจินฉวยโอกาส” เขากัดฟันเอ่ย
“ใต้เท้าหลิว นี่คือท่านอยากโยนความผิดให้ผู้อื่น ไม่กลัวไร้คำพูด” ในตอนนั้นก็มีขุนนางคนอื่นก้าวออกมาโต้อย่างโกรธแค้น
ฮ่องเต้มองขุนนางกรมกลาโหมคนนี้อย่างเย็นชาเช่นกัน
ขวัญกำลังใจทหารไม่มั่นคง แม่ทัพทหารไม่คุ้นชิน ทำให้ชาวจินฉวยโอกาส?
สองข้อนี้ไม่พอกระมัง ที่จริงยังมีสาเหตุอีกข้อหนึ่งกระมัง?
เฉิงกั๋วกงจูซานถูกถอดอำนาจทางทหาร นี่ถึงเป็นคำที่พวกเขาในใจต้องการเอ่ยสินะ?
สีพระพักตร์ฮ่องเต้อับอายโกรธเกรี้ยวผสานกัน
นี่ไม่ใช่ความผิดของพระองค์ นี่เป็นความผิดของพวกเจ้า นี่เป็นความผิดของชิงเหอปั๋ว
“บอกชิงเหอปั๋ว ข้าต้องการให้เขามอบคำอธิบายให้ข้า” พระองค์ตรัสเสียงเย็นชา
เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ หลังทะเลาะกันพักหนึ่งขุนนางทั้งหลายก็เลิกประชุมโดยไม่ได้ข้อสรุปอันใด ร้อนรนรอคอยข่าวสารจากแม่ทัพทหารที่ส่งไปต่อ
สีหน้าของหวงเฉิงก็ไม่น่าดูยิ่งเช่นกัน
“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นชาวจินจึงบุกเข้ามา?” เขาเอ่ยถาม
“ใต้เท้า ปิดบังไม่พูดมาตลอด แรกสุดน่าจะมีสายลับเปิดประตูด่านจวินจื่อให้ชาวจินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ทหารที่ประจำการอยู่ที่ด่านจวินจื่อไม่ทันป้องกันถูกสังหารหมดสิ้น หากไม่ใช่ทหารไม่รู้ว่าคนไหนใช้ตนเองจุดไฟสัญญาณ เมืองเหอเจียนก็คงได้ข่าวสายไปแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
หวงเฉิงด่าคำหนึ่ง แต่ก็เหมือนคิดอะไรได้อีก
“อยู่ดีๆ จะมีสายลับได้อย่างไรเล่า?” เขาเอ่ย พลันหันหน้ามาถาม “ตอนนี้จูซานหนีไปถึงที่ใดแล้ว?”
ขุนนางทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง คล้ายเข้าใจอะไรขึ้นมา
ไม่ผิด เรื่องมาถึงวันนี้จำต้อง ขุนนางฝ่ายพลเรือนและทหารทั้งราชสำนักล้วนชี้หัวหอกมายังการเจรจาสงบศึก มายังการลงโทษเฉิงกั๋วกง และคนที่ชี้นำทุกสิ่งนี้ก็คือฮ่องเต้กับหวงเฉิง ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางยอมรับผิด ถ้าเช่นนั้นคนที่โชคร้ายย่อมมีเพียงหวงเฉิงแล้ว หวงเฉิงล้ม พวกเขาย่อมไม่มีจุดจบที่ดีเช่นกัน
เวลานี้จำต้องมีแพะรับบาปคนหนึ่ง
และเฉิงกั๋วกงที่แบกความผิดโทษฐานคิดกบฏหลบหนีก็เหมาะสมยิ่งกว่าสิ่งใด
“เรื่องนี้กระหม่อมจะให้ชิงเหอปั๋วตรวจสอบ” ขุนนางคนหนึ่งทำหน้าจริงจังเอ่ย
เห็นขุนนางทั้งหลายรับคำสั่งไป หวงเฉิงคิ้วก็คลายออกอยู่บ้างนิดหนึ่ง เดินมาถึงหน้ารถม้ามองเด็กรับใช้ที่เข้ามารับ
“ไปติดต่อคนของอวี้ฉือไห่หน่อยซิ” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าต้องการคำอธิบาย!”
เด็กรับใช้ขานรับพลางพยุงหวงเฉิงนั่งบนรถม้า
……………………………………….
……………………………………….
บนทุ่งร้างที่หิมะกับน้ำแข็งจับ เสียงแตรดังขึ้น พร้อมกันนั้นกีบเท้าม้าดังกุบกับ ทหารจินกองแล้วกองเล่าคล้ายผุดขึ้นมาจากใต้ทุ่งร้าง รวมพลเป็นผืนมุ่งตรงไปยังเมืองแห่งหนึ่งด้านหน้า
เสียงกีบเท้าม้า เสียงสายลมหวีดหวิด ธงแดงขาวหลังร่างประหนึ่งมหาสมุทร
มากมายถี่ยิบมองไปทีหนึ่งมีถึงหลายพันคน ล้วนเป็นทหารชั้นดีสวมเกราะหนัก พาบรรยากาศน่าสะพรึงมืดฟ้ามัวดินมา
เมืองด้านหน้าคล้ายวังเวงเงียบสงัด เดินหน้าเข้าใกล้ก็เห็นศพคนตายนับไม่ถ้วนร่วงกระจายเต็มพื้น บนกำแพงก็ยังทิ้งร่องรอยการปีนป่ายอยู่ เห็นชัดยิ่งว่ามันถูกโจมตีมาหลายครั้งแล้ว
กำแพงเมืองไม่สูงใหญ่แล้วยังมีบางส่วนชำรุด พร้อมกับที่กีบเท้าสั่นสะเทือน กำแพงเมืองทั้งหมดก็ประหนึ่งผู้เฒ่าถอนหายใจ
ทหารจินยิ่งมายิ่งใกล้ เวลานี้เองเมืองที่ปิดสนิทอยู่ด้านหน้าพลันเปิดออก ทหารม้ากองแล้วกองเล่าวิ่งออกมา
สถานการณ์นี้ทำให้ทหารจินตกใจสะดุ้งโหยง
โจมตีเมืองนานปานนี้ เพิ่งเป็นครั้งแรกที่เห็นทหารโจวเป็นฝ่ายออกจากเมืองมารับศึก
บ้าไปแล้วรึ?
นี่ยังไม่หมด ทหารโจวที่พุ่งออกมายังแปรแถวเผยรถเกราะคันแล้วคันเล่าด้านหลัง
ไม่เคยได้ยินว่าใช้รถเกราะมาขวางทหารม้านะ…
ทหารจินทั้งหลายคิดขึ้นมา ความคิดเพิ่งแล่นผ่านก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวแหลม ยังไม่ทันตอบสนองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หอกยาวประหนึ่งฝนก็พาแสงไฟมา
ทหารม้าที่เผชิญหน้าอยู่พริบตาถูกเสียบทะลุ ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เป็นพรวน พร้อมกันนั้นก็มีกระสุนหินบินมาพร้อมกับแสงไฟที่ลุกขึ้นรอบด้าน ด้านหน้าเมืองทั้งหมดพริบตาประหนึ่งนรกบนดิน
เสียงกรีดร้องดังเข้าหู ควันและเปลวไฟเข้าสู่สายตา ทำให้ทหารจินในค่ายใหญ่ด้านหลังสีหน้าสะพรึง
“ซู่หนิงที่นี่กองทัพที่ไหนประจำการ?” ในค่ายจินเสียงตะโกนดังขึ้น “ทำไมโจมตีต่อเนื่องสามหนแล้วยังโจมตีไม่ได้ นอกจากนี้ยังกล้ารับศึก”
พร้อมกับที่เอ่ยถาม ทหารม้าหลายพันของชาวจินก็ถูกโจมตีล่าถอยมา คนที่โชคดีเหลือรอดพากันหนีกลับมา ส่วนด้านหลังพวกเขาเป็นทหารม้าของชาวโจวที่แปรกระบวนทัพระหว่างที่เคลื่อนกำลังบีบเข้าใกล้
ทหารม้ามีหอกยาวธงทิวเรียงราย ธงใหญ่ผืนหนึ่งในนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“กองทหารชิงซาน!” แม่ทัพจินคนหนึ่งหน้าถอดสีร้องตะโกน
ชื่อนี้เข้าหูปุบกองทหารที่เดิมทียังรักษาความเคร่งขรึมฉับพลันวุ่นวายวูบหนึ่ง ม้าก็คล้ายฟังคำนี้เข้าใจ ส่งเสียงกรีดร้องกระทืบพื้นไม่สงบ
นี่ทำให้แม่ทัพจินในนั้นที่คุมอยู่อับอายโกรธเกรี้ยวอยู่บ้าง
“กองทหารชิงซานกองหนึ่งเท่านั้น จะมีสักกี่คน?” เขาตวาดเอ่ย “พวกเรามีคนมากมายเช่นนี้ ด้านหลังไม่ไกลยังมีทัพใหญ่ของอิงอู่ชินอ๋องเสริมอีก”
ใช่แล้ว คำนี้ทำให้กระบวนทัพที่วุ่นวายค่อยๆ สงบลง แต่นาทีต่อมาก็เห็นเหนือเมืองตรงหน้าดอกไม้ไฟดอกแล้วดอกเล่าแย้มบานพร้อมกับเสียงหวีดหวิวแหลม แดง ส้ม เหลือง เขียวนานา
นี่คืออะไรอีก?
แม่ทัพจินอึ้งอยู่บ้าง เวลานี้แล้ว ทหารโจวเหล่านี้ยังฉลองปีใหม่กันอยู่อีกหรือ?
“ใต้เท้า ใต้เท้าไม่ดีแล้วขอรับ รอบด้านมีทหารโจวมา” มีทหารสอดแนมรีบแจ้งข่าว
รอบด้าน?
แม่ทัพเจียงบนรถมองไปรอบด้าน เห็นในทุ่งรอบด้านควันขโมง ธงทิวตั้งเรียงราย กองทัพมากมายถี่ยิบมุ่งมายังด้านนี้อย่างที่ว่า
ซู่หนิงด้านนี้มีกองทหารประจำการอยู่ไม่น้อย แต่กองทหารประจำการเหล่านี้น้อยนักจะช่วยทำสงคราม ไม่ต้องพูดถึงยามเมืองแห่งหนึ่งถูกล้อมโจมตีแล้วเป็นฝ่ายออกจากเมืองมาช่วยเหลือ
ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น?
เสียงกลองศึกดังมาจากเมืองด้านหน้า
และนี่ไม่ใช่เพียงกลองศึกของการประจันศึก แม่ทัพจินยืนอยู่บนที่สูงมองเห็นชัดเจน พร้อมกับกลองศึก ทหารโจวที่แห่มารอบด้านก็เริ่มต้นแปรกระบวนทัพ
แม้โกลาหลอยู่บ้าง ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ก็จวนเจียนตั้งกระบวนทัพที่พาไอเย็นเยียบมาด้วยได้
สภาพเช่นนี้จะล้อมสังหารพวกเขาหรือ?
เรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขามักทำเสมอ
แม่ทัพจินทั้งสะพรึงทั้งโกรธแค้น อยู่บนแท่นสูงชูดาบใหญ่ในมือขึ้น
“ประจันศึก”
แตรดังรอบด้าน เสียงกลองศึกปะทุ เข่นฆ่าสะเทือนฟ้า
……………………………………….
……………………………………….
การเข่นฆ่าที่ซู่หนิง ทหารทั้งหลายที่อยู่ไกลถึงด่านเป่ยวั่งไม่เห็นด้วยตาตนเอง แต่คนนับไม่ถ้วนสนใจ
คบไฟส่องป้อมปราการด่านทั้งหมดประหนึ่งกลางวัน แทบแบ่งแยกกลางวันหรือกลางคืนไม่ชัด
ชิงเหอปั๋วยืนอยู่หน้าแผนที่รวมถึงแผนผังจำลอง แม่ทัพทั้งหลายข้างกายบ้างเงียบงันไม่พูด บ้างเดินไปมา ไม่กล้าเอ่ยวาจาเสียงดัง บ้างสนทนากันเสียงเบาบ้างเข้าออกมือเบาเท้าเบา
ด้านนอกเสียงฝีเท้าเร่งรีบเสียงหนึ่งลอยมา
“ข่าวด่วน ข่าวด่วน” พลทหารถ่ายทอดคำสั่งตะเบ็งเสียงตะโกน พุ่งพรวดเข้ามาคุกเข่าบนพื้น
ชิงเหอปั๋วประหนึ่งถูกน้ำกะละมังหนึ่งสาดตื่นสายตาคมกริบมองไป
“ที่ไหน?” เขาตวาด
“ด่านซู่หนิงขอรับ” พลทหารถ่ายทอดคำสั่งตะโกน
ในห้องเสียงตกตะลึงยินดีเบาๆ ฉับพลันดังระงม กระทั่งหมัดของชิงเหอปั๋วยังออกแรงกำ
“รู้อยู่แล้วเชียวว่ากองทหารชิงซานป้องกันอยู่” มีแม่ทัพเอ่ยขึ้น
คิ้วที่ขมวดแน่นของชิงเหอปั๋วคลายออก ได้ยินประโยคนี้สีหน้าก็อารมณ์สับสนปนเปอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเสียสมาธิ
“ซู่หนิงกันได้แล้ว สถานการณ์ของพวกเราก็จะบรรเทาลงแล้ว” ชิงเหอปั๋วเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นต่อไปก็ควรเป็นพวกเราโจมตีแล้ว”
เขาพูดพลางยืนหน้าแผนผังจำลอง แม่ทัพทั้งหลายก็รีบล้อมเข้ามาด้วย
แสงอรุณทอดเข้ามาในกระโจมค่าย ปฏิกิริยาของคบไฟทำให้คนง่วงงุนอยู่บ้าง นายทหารทั้งหลายไล่ดับทีละดวงอย่างระวัง
……………………………………….
……………………………………….
ธงหลากสีสะบัดปลิว แตรดังขึ้น นี่คือคำสั่งหยุดไล่ตามโจมตี กองทหารที่รุกคืบหยุดลงแล้ว
พร้อมกับที่กองทัพหยุดลง เสียงโห่ร้องยินดีระลอกแล้วระลอกเล่าดังขึ้นบนพื้นดินที่แสงอรุณแรกปรากฏ
แสงอรุณของฤดูหนาวเย็นเยียบ บนหน้านายทหารแต่ละคนทั้งแดงทั้งขาว บนร่างก็เต็มไปด้วยคราบเลือด แต่พวกเขาล้วนแววตาสุกใสโห่ร้องคึกคัก
มีความยินดีที่มีชีวิตรอดหลังเภทภัย แล้วยิ่งมีความตื่นเต้นที่ศึกใหญ่ได้ชัยชนะ
เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง นายทหารทั้งหลายมองดูธงสีที่เหวี่ยงสะบัด ฉับพลันยืนตัวตรงจัดเท้า แปรกระบวนทัพโดยไม่รู้ตัว เริ่มเก็บอาวุธของข้าศึกกับพี่น้องทั้งหลายที่เสียสละ
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพวกเราถึงกับล้อมโจมตีทหารจิน นอกจากนี้ยังตีพวกเขาแตกกระเจิงอีก” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
“ใช่แล้ว พูดความจริงข้าไม่อยากออกรบเลยจรงิๆ” แม่ทัพอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
พวกเขาคุยกันเสียงเบา มีเสียงกีบเท้าม้ารัวพร้อมกับเสียงตะโกนของทหารทั้งหลาย ทั้งสองคนเงยหน้ามองไป เห็นกำลังคนกลุ่มหนึ่งที่คนนำหน้าเป็นสตรีคนหนึ่งมา
สตรีคนนี่สวมชุดออกศึกพร้อมกับหมวกใบหนา บนแก้มมีรอยแผลเลือนรางแถบหนึ่งอยู่ แต่ในสนามรบไม่มีใครสนใจเรื่องนี้
จ้าวฮั่นชิงหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา คันศรบนแผ่นหลังยังมีคราบเลือดติดอยู่ ก้มมองพวกเขาลงมาจากที่สูง
แม่ทัพสองคนสบตากัน ยกมือให้นางนิดหนึ่งอย่างเคารพ
ตำแหน่งของพวกเขาสูงกว่าจ้าวฮั่นชิงมาก เป็นฝ่ายคำนับก่อนเช่นนี้ก็แสดงความเคารพมากนักแล้ว
“ข้าเคยบอกแล้วว่าหากทุกคนฟังข้า ข้าจะไม่ให้พวกเขาไปรนหาที่ตาย” จ้าวฮั่นชิงไม่มองพวกเขาอีก แต่มองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงดัง “แต่ครั้งนี้ ยังมีทหารกองหนึ่งไม่ฟังคำสั่งที่ให้ออกจากเมือง ในเมื่อเขาไม่ฟังคำสั่งของข้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่นับเขาเป็นสหาย”
นี่คือเด็กสาวโมโหหรือ? แม่ทัพทั้งสองคนสบตากันทีหนึ่ง
ตรรกะเหมือนไม่ค่อยถูกต้อง ทุกคนไม่น่าจะฟังคำสั่งเจ้านะ? ชิงเหอปั๋วบอกว่าให้เจ้ามาช่วยทุกคนฝึกทหาร แต่ไม่ได้ให้เจ้ามาเป็นผู้บัญชาการนา ทำไมกลายเป็นล้วนต้องฟังคำสั่งเจ้าแล้วเล่า?
“ไม่ผิดนี่ เดินทัพทำสงครามต้องการกระบวนทัพ นางสั่งสอนพวกเรา ถึงเวลาแปรกระบวนทัพก็ไม่ใช่ฟังกลองศึกของนางหรือ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
ก็นะ นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ กระบวนทัพที่รักษาชีวิตทั้งยังทำสงครามชนะได้ ทุกคนอย่างไรก็ต้องฟัง
“…พวกเราต้องป้องกันด่านซู่หนิงเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นต่อไปข้าจะจัดสรรรถปืนใหญ่คันหนึ่งกับรถยิงศรคันหนึ่งให้แต่ละกองทัพของพวกเจ้า…”
เสียงใสกังวานของเด็กสาวสะท้อนก้อง
แม่ทัพทั้งสองฉับพลันฉุกคิดได้ ไหนเลยยังจะสนอะไรว่านางควรไม่ควรโมโหเป็นเด็กน้อยไม่นับคนที่ไม่เชื่อฟังเป็นสหาย
รถปืนใหญ่กับรถยิงศรนี่ร้ายกาจเท่าไรทุกคนล้วนเห็นกับตาแล้ว หากได้แบ่งมาสักคันย่อมเป็นพยัคฆ์ติดปีกอย่างแท้จริง
สงครามเป็นสิ่งที่เปลืองทหารที่สุด ไม่มีแม่ทัพคนไหนยินดีเห็นทหารของตนสูญเสียสาหัส ดังนั้นจึงพยายามที่สุดที่จะติดอาวุธยุทโธปกรณ์
กองทหารชิงซานนี่ถึงกับยอมสละศาสตราเทพอาวุธร้ายกาจเช่นนี้แบ่งให้กับพวกเขา
นี่เห็นเป็นแขนขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
บนสนามรบความเป็นความตายคาบเกี่ยวกัน ยังมีสิ่งใดให้พูดอีก
เสียงโห่ร้องยินดีรอบด้านดังอื้ออึงขึ้น
จ้าวฮั่นชิงดึงม้าย่ำเท้าอยู่กับที่ สายตากวาดผ่านผู้คน
“ร่วมเป็นร่วมตาย! ไม่กลัวไม่ถอย!” นางชูคันศร ตะโกนเสียงดัง
“ร่วมเป็นร่วมตาย! ไม่กลัวไม่ถอย!”
เสียงร้องม้วนตลบท่วมฟ้ากลบผืนดิน
หลี่กั๋วรุ่ยอดไม่ได้ทั้งร่างขนลุก
เอาล่ะ ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป กองทหารชิงซานแห่งด่านซู่หนิงเป็นพี่ใหญ่แล้ว