Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 36 ทหารโจวของเจ้า แม่ทัพของข้า
ค่ำคืนมืดมิด บนผืนดินเงียบกริบ บนท้องฟ้ายามราตรียิ่งไม่มีแสงดาวสักจุด
ที่นี่เดิมทีเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ หมู่บ้านตั้งเรียงรายท้องนากว้างใหญ่ แต่เพราะชาวจินรุกราน ชาวบ้านทั้งหลายจึงล้วนหนีภัยไป เดิมทียามสงบลงคิดว่าปีนี้คงเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิดีๆ ได้ ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้อีกครั้งแล้ว
บนผืนดินเสียงฝีเท้าดังขึ้น คล้ายมีคนวิ่งอย่างบ้าคลั่ง เสียงชัดเจนขึ้นทุกที พร้อมกับเสียงหกล้มครางเจ็บปวดเป็นระยะ
เดินทางกลางคืนไม่จุดคบไฟ เห็นได้ว่าไม่กล้าพบคน
ค่ำคืนมืดมิดที่ไม่มีแสงดาวคล้ายไม่อาจจำแนกทิศทาง ก้าวเท้านี้โซซัดโซเซเดินไปข้างหน้า จนกระทั่งเสียงแหวกอากาศแหลมเสียงหนึ่งดังมา
ฟึบ ศรดอกหนึ่งปักลงบนพื้น ตรงหน้าก้าวเท้าพอดี
บนทุ่งกว้างดึกดื่นเที่ยงคืนแห่งนี้ถึงกับมีคนยิงศร? น่ากลัวจริงๆ
คนที่วิ่งอยู่ส่งเสียงร้อง
“ผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าจงแห่งกองทหารอันซู่ใช่ไหม? ข้าคือทหารสอดแนมของชิงเหอปั๋ว”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายมีเงาคนเลือนรางเคลื่อนไหว
ชั่วครู่ให้หลัง คนเจ็ดคนก็คุ้มกันบุรุษที่ทั้งร่างอาบเลือดคนหนึ่งเข้ามาในสถานที่ตั้งค่าย
นี่เป็นค่ายที่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง กองไฟวางไว้ทั่ว ธงใหญ่สะบัดพรึบพรับ พาเสียงเอะอะและไอเย็นเยียบมาด้วย
ส่วนในกระโจมหลักของค่ายก็กำลังเอะอะไปหมด
แม่ทัพสิบกว่าคนล้อมอยู่ด้วยกันสีหน้าตื่นตระหนกโต้เถียงอะไรกันอยู่
“รายงาน คนของท่านปั๋ว…”
ไม่รอนายทหารรายงานจบ บุรุษที่ถูกพยุงเข้ามาก็แหกปากโพล่งด่าเสียงดังแล้ว
“มารดามัน พวกเจ้ายังทำอะไรอยู่ที่นี่อีก?”
“รอทหารกองหนุนของพวกเจ้ามาสามวันแล้ว”
“ยังคิดว่าพวกเจ้าถูกชาวจินดักสังหารไปแล้วแน่ะ”
“ที่แท้พวกเจ้าถึงกับตั้งค่ายอยู่ที่นี่!”
“พวกเจ้าไม่เห็นสัญญาณไฟเคลื่อนทหารของท่านปั๋วอยู่ในสายตาแล้วใช่ไหม?”
“ชักช้าจะต้องตัดหัวนะ!
ฐานะของทหารสอดแนมคนนี้สูงไม่เท่าคนหนึ่งคนใดที่นี่ แต่เวลานี้กลับกระทืบเท้าด่า ส่วนแม่ทัพทั้งหลายที่นั่นแต่ละคนๆ สีหน้าปั้นยากไม่แย้งสักครึ่งประโยค
“กำลังจะส่งคนไปพบท่านปั๋วอยู่พอดี” ใต้เท้าจงที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเงียบงันไม่พูดมาตลอดอ้าปากขึ้น สีหน้าเขาไม่น่าดูยิ่งนัก “มีทหารสามทางหนีทัพไปแล้ว”
……………………………………….
……………………………………….
“หนีทัพ?”
ชิงเหอปั๋วผู้นั่งอยู่บนเสากลมที่เสียหายล้มโค่นต้นหนึ่งหันหน้ามามองนายทหารที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
เขารู้จักความทุกข์ของสงคราม ไม่ใช่นายทหารทุกคนล้วนกล้าหาญอย่างยิ่ง ศึกใหญ่ทุกครั้งล้วนมีคนหนี เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งตนมีทหารหลบหนีมากสุดคือตอนนั้นเคลื่อนพลทหารสี่พัน ท้ายที่สุดมาถึงสนามรบจวนเจียนพอถึงสามพันคน คนที่เหลือล้วนไม่ทราบไปไหนแล้ว
ทหารที่หนีไปเหล่านี้ จับได้ก็คือจับได้ จับไม่ได้ก็แล้วกันไป ไหนเลยจะมีกำลังคนและเรี่ยวแรงมากมายปานนั้นไปตามจับ
“หนีไปเท่าไร?” เขาเอ่ยถาม
นายทหารคนนั้นเงยศีรษะสีหน้าซีดขาว
“ทัพตะวันออกหนึ่งหมื่นขอรับ” เขาเอ่ยขึ้น
ชิงเหอปั๋วสีหน้าตะลึง แม่ทัพสองด้านยิ่งด่าออกมาทันที
“บัดซบ นี่เรียกนายทหารหนีทัพรึ?” พวกเขาตะโกนเอ่ย
นี่มันทั้งกองทัพหนีไปแล้วชัดๆ นี่คือปฏิเสธที่จะช่วย
“ทัพตะวันออก” ชิงเหอปั๋วเอ่ยขึ้น มองนายทหารคนนั้น “ถ้าเช่นนั้นอีกสองทางล่ะ?”
นายทหารก้มศีรษะลง
“ทัพตะวันตกขาดไปสองหมื่น” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ “ทัพใต้ขาดไปสองหมื่นขอรับ”
แม่ทัพทั้งหลายสองข้างยกเท้าเตะกรวดบนพื้นไปด้านข้าง
“สามทัพทหารกองหนุนทั้งหมดสิบหมื่น นี่ขาดไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
“ยังจะหนุนอะไรอีก!”
“นี่มาหาที่ตายแล้ว!”
ใช่แล้ว ดังนั้นทหารกองหนุนทั้งหมดถึงหยุด ไม่มีใครกล้าไปลอบโจมตีชาวจินตามคำสั่งของชิงเหอปั๋ว
พวกเขาตรากตรำทนรอคอยมาสิบกว่าวันกลับได้ผลลัพธ์นี้ แม่ทัพทั้งหมดหน้าเขียวแล้ว
“ทหารแดนเหนือนี่กลายเป็นคนขี้ขลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
ชิงเหอปั๋วสีหน้านิ่งสงบ แล้วยังหัวเราะ
“ไม่ คนเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนขี้ขลาด” เขาเอ่ย “เพียงแต่มีคำสั่งอื่นให้เชื่อฟังเท่านั้น”
อื่น?
แม่ทัพทั้งหลายที่เหลือฉับพลันฉุกคิดขึ้นได้
“เฉิงกั๋วกง!”
ไม่ผิดใจกล้าสั่งทหารแดนเหนือเช่นนี้ มีเพียงเฉิงกั๋วกง
“น่าชังจริงๆ!”
“เฉิงกั๋วกงนี่ต้องการจะส่งพวกเราถึงที่ตาย!”
“ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
พวกเขาตะโกนอย่างโกรธแค้น แต่มีแม่ทัพอดไม่ได้เตือนทุกคนเบาเสียงหน่อย ไม่ให้ข่าวนี้แพร่ออกไป
วันนี้แม่ทัพและทหารทั้งหลายแม้ตกอยู่กลางวงล้อมของขาวจินก็ยังคงกำลังใจฮึกเหิม เหตุผลข้อใหญ่ยิ่งก็เพราะมีทหารกองหนุนกำลังจะมาถึง
หากให้พวกเขารู้ว่าทหารกองหนุนขาดไปครึ่งหนึ่ง เกรงว่ากำลังใจคงร่วงลงมาก
“ยังมีทหารกองหนุนที่ด่านซู่หนิงนะ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“อย่าลืมด่านซู่หนิงก็มีคนสนิทของเฉิงกั๋วกง” แม่ทัพคนอื่นเอ่ยอย่างโมโห
นี่ย่อมหมายถึงกองทหารชิงซาน
“นั่นก็แค่ไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน” แม่ทัพคนนั้นเอ่ย “ที่เหลือล้วนเป็นกำลังคนของพวกเรา นับดูแล้วก็มีห้าหมื่น”
หากเป็นเช่นนี้ วางแผนให้สมควรก็สู้ได้สักตั้งเหมือนกัน
สีหน้าแม่ทัพทั้งหลายผ่อนคลายลงบ้าง แต่นาทีต่อมาก็มีคนหน้าถมึงทึงอีกครั้ง
“ไม่ถูกต้อง ทหารประจำการที่ด่านซู่หนิงเวลานี้ก็น่าจะมาถึงแล้ว” เขาเอ่ยแล้วมองไปทางทหารยาม “เห็นบ้างไหม?”
ทหารยามเงยหน้าขึ้นสีหน้าซีดขาวส่ายศีรษะ
ความคิดไม่ดีประการหนึ่งผุดขึ้นมา
หัวใจของแม่ทัพทั้งหลายฉับพลันจมดิ่งลง ชิงเหอปั๋วก็ค่อยๆ หน้าถอดสีเล็กน้อยเช่นกัน
……………………………………….
……………………………………….
บนถนนใหญ่ทหารม้ามากมายถี่ยิบคล้ายไม่มีที่สิ้นสุดกำลังควบทะยาน
ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าควบทะยาน ธงใหญ่เปิดทาง ด้านหลังกองทัพหลักคุ้มกัน หลังจากนั้นจึงเป็นทหารม้า หลังจากนั้นตามติดด้วยรถสัมภาระคันแล้วคันเล่า
ไม่เหมือนกับกำลังพลอื่นยามเคลื่อนพล รถสัมภาระที่นี่ตำแหน่งอยู่ที่ด้านหน้า คล้ายบรรทุกสิ่งของมาจนเต็ม บนถนนกดรอยลึกเส้นแล้วเส้นเล่าออกมา
หลังจากนั้นอีกจึงเป็นพลทหารเดินเวิ่งเหยาะๆ หมู่เกราะและธงทิวเป็นแถวเป็นระเบียบ แต่ละก้าวยกเท้าลงเท้าล้วนเป็นระเบียบพร้อมเพรียง มองไปแข็งแกร่งน่าขนลุก
ส่วนทหารม้าที่อยู่ด้านหลัง แม้เรียงแถวเคลื่อนที่ด้วยรูปแบบธรรมดา แต่ดูไปแล้วอย่างไรก็ขาดอำนาจอยู่บ้าง อาจเพราะรถสัมภาระน้อยสักหน่อย หรืออาจเพราะกำลังพลเคลื่อนที่ไม่เป็นระเบียบพอ แต่โดยรวมแล้ว ในสภาพที่ขบวนแถวด้านหน้านำอยู่ ทหารทั้งหลายแต่ละคนๆ ท่าทางไม่อ่อนแอ สวมหมวกสวมเกราะฝีเท้าไม่เคยเกียจคร้านชักช้า
ทหารม้าหลายนายควบเร็วรี่มาด้านหลัง เห็นเครื่องแต่งกายที่คนบนม้าสวมใส่ นายทหารที่เดินเท้าอยู่ก็อดไม่ได้เหล่ตา มองแม่ทัพของตนตรงไปยังด้านหน้าที่ธงใหญ่ของกองทหารชิงซานปลิวสะบัดอยู่
“คุณหนูจ้าว!”
“คุณหนูจ้าว! หยุดก่อน!”
แม่ทัพหลายคนพากันร้องตะโกน เสียงรีบร้อน สีหน้าเข้มเล็กน้อย
จ้าวฮั่นชิงไม่ได้รั้งม้า พวกเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งก็มองไปทางพวกเขา
“เดินทัพไม่อาจหยุดตามใจกลางทาง” นางเอ่ย
ยังตามใจอีก!
“คุณหนูจ้าว ทิศทางนี่ไม่ถูกต้องนะ” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงแหบ
“ถูกต้องแล้ว พวกเราไม่ใช่จะไปผูอิ๋นหรือ?” แม่ทัพอีกคนหนึ่งรีบร้อนเอ่ยตาม “นี่ทำไมเดินทางลงใต้แล้วเล่า?”
จ้าวฮั่นชิงมองพวกเขา
“ไม่ไปผูอิ๋น” นางเอ่ย “ต้องลงใต้”
แม่ทัพหลายคนเบิกตาโต
“ทำไม?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงพร้อมเพรียง “สัญญาณไฟเคลื่อนทหารของท่านปั๋วต้องการให้พวกเราไปผูอิ๋นนะ”
“อ้อ ข้ารู้สึกว่าลงใต้ถึงจะถูก” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยเด็ดขาดฉับไว
นางรู้สึก?
แม่ทัพหลายคนอึ้งงัน มองเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนนี้ แล้วมองพวกเขากันเอง
พวกเขาล้วนอายุสี่สิบกว่าปี อยู่ในสนามรบฆ่าฟันมาครึ่งชีวิตแล้ว
พวกเขาทำไมไม่รู้สึก?
ไม่ไม่ ที่สำคัญคือนี่นางกำลังขัดคำสั่งเคลื่อนทหารของท่านปั๋ว
“นี่จะเป็นการขัดขืนได้อย่างไรเล่า ไม่ใช่มีประโยคที่ว่าแม่ทัพออกรบไม่รอรับคำสั่งหรือ?” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย
เหมือนจะไม่ใช่ไม่รอรับคำสั่งกระมัง?
แม่ทัพทั้งหลายตะลึง
“บนสนามรบสถานการณ์เปลี่ยนไม่หยุด ท่านปั๋วด้านนั้นถูกล้อมไว้สังเกตไม่รอบด้านพอ” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยต่อ “ข้าย่อมต้องปรับไปตามสถานการณ์ ข้าพาแม่ทัพทหารทั้งหลายไปสังหารศัตรู ไม่ไช่ไปตายเปล่า”
เหมือน ก็มีเหตุผลนี้เหมือนกัน แม่ทัพทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง
แต่…
“แน่นอน พวกท่านมีสิทธิเลือก” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย “เชื่อการตัดสินใจของข้าติดตามข้า หรือเชื่อฟังคำสั่งเคลื่อนทหารของท่านปั๋ว ข้าไม่บังคับพวกท่าน”
การตัดสินใจของนาง เชื่อหรือไม่เชื่อ?
แม่ทัพทั้งหลายสีหน้าสับสนอยู่บ้าง
นางพาแม่ทัพทหารทั้งหลายไปสังหารศัตรู ไม่ใช่ไปตาย
รบกับชาวจินสองครั้งก่อนก็ยืนยันจุดนี้แล้ว การเคลื่อนทัพวางทัพของกองทหารชิงซานของพวกนางทำให้ทุกคนได้ประโยชน์มากมายจริงๆ
แน่นอนยังมีรถสัมภาระที่สำคัญที่สุดพวกนั้น
แม่ทัพหลายคนมองไปด้านหลังอย่างไม่ทันรู้ตัว
เห็นชัดยิ่ง ทหารประจำรถเหล่านี้ย่อมติดตามซ้ายขวากองทหารชิงซานด้วย
แม่ทัพหลายคนถอยออกไปทะยานม้ามุ่งไปด้านหลัง จิตใจหนักอึ้ง
“ไม่เช่นนั้น ส่งทหารสอดแนมไปบอกกับท่านปั๋วสักหน่อย ดูสิว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร” แม่ทัพคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น
นี่ผ่านไปหลายวันนักแล้ว ใช้ทหารสอดแนมไปส่งข่าวอีก หนึ่งมาหนึ่งไปก็ต้องเสียเวลาประมาณหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงระหว่างทางยังมีชาวจินขัดขวาง จะส่งไปถึงหรือไม่ก็ยังเป็นปัญหาหนึ่ง
คำนี้เห็นชัดว่าคือบอกจะติดตามกองหทารชิงซานไปแล้ว
ด้านหนึ่งคือคำสั่งท่านปั๋ว ด้านหนึ่งคือความเป็นความตาย ไม่ ไม่ พวกเขาย่อมไม่ได้หวาดกลัวความเป็นความตาย แต่ไม่อาจตายอย่างไร้ความหมาย ตายก็ต้องตายอย่างมีค่าถึงจะถูก
ทำสงครามชนะได้แล้วยังคลี่คลายวงล้อมของท่านปั๋วได้ นี่ถึงเป็นความชอบที่แท้จริง
แม่ทัพหลายคนสบตากัน
ทำอย่างไร?
……………………………………….
……………………………………….
หลังร่างเห็นควันคลุ้งอยู่ไกลๆ นั่นคือการเคลื่อนไหวยามกำลังพลจากไป
“ไปสองทัพแล้ว” ทหารสอดแนมคนหนึ่งเร่งมาบอก
หลี่กั๋วรุ่ยอดไม่ได้ปาดเหงื่อ
ห้าทัพจากไปเพียงสองทัพ นี่คือหลอกไว้ได้มากกว่าครึ่ง เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จยิ่งแล้ว
คิดไม่ถึงกองทหารชิงซานที่เดิมทีจะถูกหลอกใช้ลดทอนกำลัง ท้ายที่สุดถึงกับไม่ถูกสละทิ้ง ตรงกันข้ามยังหลอกตกกำลังพลมากกว่าครึ่งของด่านซู่หนิงมาได้แล้ว
นี่เป็นเรื่องที่ฝันก็คิดไม่ถึงจริงๆ
หากชิงเหอปั๋วรู้เข้าคงโกรธจนกระอักเลือดกระมัง?
หลี่กั๋วรุ่ยรู้สึกว่าน่าขำอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้เห็นชัดว่าไม่ใช่เรื่องขำ
“คุณหนูจ้าว” เขาอดไม่ได้ก้าวเข้าไปเอ่ยเสียงเบา “ที่แท้ท่านรับคำสั่งของใครหรือ? เวลาเดียวกับที่คำสั่งเคลื่อนทหารของท่านปั๋วส่งมาถึงมือท่าน ข้าเห็น ท่านยังได้รับแถบกระดาษน้อยแถบหนึ่ง”
ตอนที่รบฆ่าฟันกับศัตรูชาวจิน เด็กสาวคนนี้วางทัพไม่มีปัญหา แต่เคลื่อนทหารสั่งแม่ทัพเดินทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งวางการป้องกันระยะไกล เขาไม่เชื่อหรอกว่าเด็กสาวคนนี้ทำได้ถึงขั้นปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์อันใด
จ้าวฮั่นชิงขานอ้อคำหนึ่ง
“อาหลี่กั๋ว ท่านก็ไม่ใช่คนอื่น ข้าไม่ปิดบังท่าน” นางเอ่ย “เป็นเฉิงกั๋วกง”
อย่างที่คิด!
หลี่กั๋วรุ่ยสีหน้าสับสน
“ท่านไม่ใช่บอกว่ากองทหารชิงซานไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงหรือ?” เขาเอ่ย “ทำไมเชื่อฟังคำของเขาแล้วเล่า?”
ดังนั้นก่อนหน้านี้คำพูดพวกนั้นล้วนเป็นแม่นางน้อยหลอกคนหรือ?
“ไม่ใช่นะ” จ้าวฮั่นชิงมองเขา สีหน้าตรงไปตรงมา “ข้าไม่ได้ฟังคำของเขา ข้าฟังคำของพี่สาวข้า”
อะไรนะ?
หลี่กั๋วรุ่ยตามไม่ทันอยู่บ้าง
จ้าวฮั่นชิงยิ้มให้เขาทีหนึ่ง
“พี่สาวข้าบอกว่าคำพูดของเฉิงกั๋วกงน่ะถูกต้อง” นางเอ่ย
ดังนั้นนางจึงเลือกคำสั่งลับที่เฉิงกั๋วกงส่งมา ทิ้งการไปช่วยชิงเหอปั๋ว เดินทางลงใต้หรือ?
แต่ ลงใต้ จะไปที่ไหนเล่า?
หลี่กั๋วรุ่ยอดไม่ได้มองไปด้านหน้า
กำลังพลสามสี่หมื่นนี่เดินไปๆ คงจะไม่เดินไปเมืองหลวงหรอกนะ?
หลี่กั๋วรุ่ยตัวสั่นทีหนึ่ง
เฉิงกั๋วกง ท่านคิดจะทำอันใด?
……………………………………….
……………………………………….
“เฉิงกั๋วกง เจ้าก็แค่อยากทำให้ข้าตายเท่านั้น”
ชิงเหอปั๋วยืนอยู่บนก้อนหินที่กลิ้งร่วงลงมาจากบนป้อมปราการก้อนหนึ่ง ทอดสายตามองไป เทียบกับก่อนหน้านี้ที่นี่ยิ่งปรักหักพังมากแล้ว
กำแพงเมืองก็ยิ่งแลดูชำรุด เห็นชัดยิ่งว่าผ่านสงครามบนกำแพงเมืองมาแล้ว
เมื่อผ่านการรบบนกำแพงเมืองแล้ว ย่อมหมายความว่าทัพศัตรูประชิดอยู่ใต้เท้าแล้ว ต่อไปก็จะเป็นศึกประหัตประหาร โหดร้ายและยากลำบาก
“ท่านปั๋ว!” แม่ทัพรอบด้านสีหน้าโกรธแค้น “เฉิงกั๋วกงกบฏจริงๆ ด้วย!”
ท่ามกลางความโกรธแค้นนี้มีความเศร้าสลดอยู่บ้าง
ครั้งนี้ดูท่าคงต้องถูกชาวจินล้อมตายอยู่ที่นี่แล้ว
“ยังไม่ถึงเวลาจะบอกว่าล้อมตาย” ชิงเหอปั๋วหยุดดาบใหญ่ในมือ บนหน้าที่ซีดขาวกลับแผ่ความเหี้ยมเกรียม “สิบกว่าปีก่อนเขาใส่ร้ายข้าไม่อาจทำให้ถึงที่ตายได้ วันนี้เวลานี้เขาก็อย่าได้คิดสมหวัง”
พูดจบก็ยกมือเหวี่ยงดาบ
“มาสิ เตรียมทำศึก ประจันหน้าศัตรู”