Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ตอนที่ 40 วันวานฉายซ้ำอีกหน
“เจ้าคิดว่าเจ้าทำเช่นนี้จะทำคุณไถ่โทษได้หรือ?”
ชิงเหอปั๋วมือไพล่หลังมองเฉิงกั๋วกง สีหน้านิ่งเฉยเอ่ยขึ้น
“เจ้าเคลื่อนทหารแดนเหนือไปทำให้พวกเราตกอยู่ในวิกฤติ นิ่งดูดายแม่ทัพและทหารทั้งหลายสู้ดุเดือดกับชาวจิน รอสองฝ่ายเสียหายใกล้หมดเรี่ยวแรง หลังจากนั้นค่อยเสด็จลงมาจากฟ้า นี่ก็คือวิธีได้ชื่อวีรบุรุษมาของเจ้าหรือจูซาน?”
เสียงโห่ร้องยินดีอย่างบ้าคลั่งก่อนหน้านี้สลายไปแล้ว หน้าประตูเมืองยืนประจันหน้ากันสองฝั่ง แม่ทัพทหารที่บาดเจ็บเหลือรอดของชิงเหอปั๋วด้านนี้มองทหารกองหนุนที่ช่วยพวกเขาให้รอดก็ไม่ได้มีความซาบซึ้ง มีเพียงความคับแค้น
ชิงเหอปั๋วเอ่ยประโยคนี้ออกมาพลันมีคนก้าวออกมายืนข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ท่านปั๋ว ไม่ใช่เช่นนั้น” แม่ทัพหนวดคนนั้นได้รับบาดเจ็บแล้ว แขนยังไม่ได้พันแผล เลือดย้อมร่างกายไปครึ่งซีก “ท่านกั๋วกงเคลื่อนพลพวกเราไป ไม่ใช่เพื่อสร้างควยามลำบากให้พวกท่าน แต่เพราะรู้แผนการร้ายของชาวจินที่วางกับดักทหารกองหนุนไว้แล้ว ดังนั้นจึงให้พวกเรานำทหารไปเขาซงซานปล้นเสบียงของชาวจินก่อน”
แม่ทัพที่ถูกคิดว่าหลบหนีไม่ฟังคำสั่งเคลื่อนพลพวกนั้นที่เหลือก็ล้วนก้าวออกมาพากันพยักหน้าด้วย
“…ท่านกั๋วกงให้ข้าดักโจมตีทหารกองหนุนชาวจินที่เป่ยอี้”
“…ที่ข้าทำเรียบง่าย ชิงเสบียงอาวุธหกทิศ รับผิดชอบกระหนาบโจมตีโจรจินจากด้านข้าง”
ส่วนทหารกองหนุนคนสนิทของชิงเหอปั๋วที่เหลือก็ก้าวออกมาด้วย
“ท่านปั๋ว พวกเราถูกชาวจินขวางอยู่ด้านนอก รุกถอยไม่ได้ เฉิงกั๋วกงช่วยพวกเราไว้”
“ท่านปั๋ว ผู้น้อยไร้ความสามารถ ขลาดกลัวศึกไม่กล้ารุกคืบหน้า นำทหารถอยสามสิบลี้ เฉิงกั๋วกงตำหนิผู้น้อยออกคำสั่งนำทหารมุ่งมา”
ได้ยินคำอธิบายเหล่านี้ แม่ทัพทหารด้านนี้ของชิงเหอปั๋วพลันกระจ่าง ที่แท้ไม่ใช่นิ่งดูดาย แต่มีแผนการอื่น
ชิงเหอปั๋วยังคงสีหน้าเย็นชา
“เจ้ารู้แผนร้ายของชาวจิน” เขาเอ่ยแล้วมองเฉิงกั๋วกง “ถ้าเช่นนั้นที่ข้าติดกับดักของชาวจินนี่ เจ้าก็รู้ตั้งนานแล้วสิ?”
สีหน้าของแม่ทัพทหารทั้งหลายปั้นยากขึ้นมาอีกครั้ง
หากรู้ล่วงหน้าแต่ไม่เตือนพวกเขา เพราะไม่ถูกกับชิงเหอปั๋วหรือเพื่อแก้แค้นเขา แล้วจงใจมองพวกเขาเข้ามาลึกในวงล้อม สูญเสียสหายร่วมชาติมากปานนี้ ถ้าเช่นนั้นการกระทำนี่ไยไม่ใช่ช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว?
เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว ครั้งนี้ห้ามแม่ทัพทั้งหลายข้างกายเอ่ยปาก
“ที่ข้าบอกว่าข้าล่วงรู้แผนร้ายของชาวจิน คือข้ารู้จักสันดานเจ้าเล่ห์ของทหารจินดี ไม่ใช่บอกว่าข้ารู้แผนการที่พวกเขาวางไว้” เขาเอ่ยพลางมองชิงเหอปั๋วแล้วพลันพยักหน้านิดหนึ่ง “แต่เรื่องที่ท่านจะติดกับข้ารู้ล่วงหน้าจริงๆ”
นี่หมายความว่าอย่างไร?
“เพราะท่านดันทุรังเอาความคิดตนเป็นใหญ่เสมอ กล้าหาญไร้แผนการ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย
ชิงเหอปั๋วโกรธจนดวงตามืดไปวูบหนึ่ง หวิดจะเป็นลมไป
แม่ทัพทั้งหลายด้านข้างได้ยินก็กระอักกระอ่วนนักเช่นกัน
แม้สองคนโกรธแค้นกันมาแต่ก่อน แต่ชิงเหอปั๋วคราวนี้ยับเยินเช่นนี้แล้ว วาจาเกรงใจสักนิดไม่ได้รึ?
ชิงเหอปั๋วอายุปูนนี้ทั้งยังตรากตรำทำศึกมานานเช่นนี้ อย่าท้ายที่สุดไม่ได้ตายในมือชาวจิน กลับถูกเฉิงกั๋วกงทำให้โมโหตายเสีย
“ได้ ได้” ชิงเหอปั๋วเรียกกำลังใจกลับมา กัดฟันมองเฉิงกั๋วกง “ต่อให้ข้าโง่ เจ้าร้ายกาจ เจ้าสิ่งใดล้วนมองทะลุปรุโปร่ง เจ้าทำไมไม่เตือน? ข้าตายไม่เป็นไร เจ้าทนดูแม่ทัพทหารมากเช่นนี้ไปตายเปล่าได้หรือ?”
เฉิงกั๋วกงมองเขา
“ข้าเตือน ท่านเชื่อหรือ?” เขาเอ่ย
ชิงเหอปั๋วชะงักวูบหนึ่ง
เขา ย่อมไม่เชื่อ….
“หากคำพูดของข้า ทุกคนล้วนเชื่อ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อแล้วมองชิงเหอปั๋ว “ตอนนี้ท่านก็คงไม่อยู่ตรงนี้”
ที่ชิงเหอปั๋วมาแดนเหนือ พูดว่ามาแทนเฉิงกั๋วกงที่กลับเมืองหลวงชั่วคราว แต่หลังกลับเมืองหลวงเฉิงกั๋วกงกลับถูกฮ่องเต้รั้งไว้ แล้วต่อมาก็ถูกคนมากมายนักกล่าวทา ท้ายที่สุดยิ่งถูกคนสนิทร้องเรียนโทษหนักคิดกบฏ ไม่อาจไม่หนีตาย
ส่วนชิงเหอปั๋วถึงมีโอกาสกลายเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแดนเหนือ
หากเฉิงกั๋วกงบอกว่าตนเองไม่มีความผิดแล้วราชสำนักเชื่อ เวลานี้นาทีนี้เขาก็ควรอยู่ที่แดนเหนือเป็นแม่ทัพใหญ่ต่อ ส่วนชิงเหอปั๋วย่อมจะจากไป
ชิงเหอปั๋วสีหน้าแข็งทื่อ
“เจ้าคิดกบฏหรือไม่คิดกบฏไม่ใช่เรื่องที่ต้องพูดตอนนี้ แล้วก็ไม่ต้องพูดกับข้า” เขาเอ่ย “เรื่องที่ครั้งนี้ข้าติดกับ เจ้าต้องให้คำอธิบาย”
เฉิงกั๋วกงพยักหน้า
“ใช่ เรื่องของข้าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่เรื่องของเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเช่นกัน” เขาเอ่ย สีหน้าเคร่งขรึม “ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชาวจินบุกไปถึงเมืองหลวงแล้วหรือยัง”
อะไรนะ?
ชาวจินบุกไปถึงเมืองหลวง?
ชิงเหอปั๋วรวมถึงแม่ทัพทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นสีหน้าตะลึง
นี่พูดเหลวไหลอะไร ชาวจินจะบุกไปถึงเมืองหลวงได้อย่างไร?
………………………………………..
แสงตะวันสว่างจ้า หมอกยามเช้าสลายไป แต่หอสังเกตการณ์สูงลิ่วลมแรงกว่าเย็นกว่า ความเย็นยะเยือกนี่ทำให้สติคนตึงเครียดอยู่บ้าง
เสียงสูดซู้ดๆ ดังมาจากด้านหลังร่าง นายทหารคนหนึ่งที่กำหอกยาวมองรอบด้านอย่างระวังอยู่หันหลังกลับ เห็นนายทหารหัวกลมๆ คนหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนพื้นถือชามใบโตกินหมี่
หมี่น้ำน้ำมันหมูผัดผักกาดขาวชามหนึ่งถืออยู่ในมือ ควันร้อนกระจายไปตามลม ในมือที่ถือชามของนายทหารยังกำต้นหอมยักษ์ไว้ต้นหนึ่ง กินหมี่คำหนึ่ง กัดต้นหอมยักษ์คำหนึ่ง ปากยังฮัมเพลงไปด้วย
“กินข้าวก็หุบปากของเจ้าเสีย” นายทหารยกเท้าถีบก้นเขาพลางเอ่ยด่า
นายทหารที่กินหมี่ไม่รอเขาถีบโดนก็นั่งยองๆ กระโดดไปด้านข้างก้าวหนึ่ง น้ำแกงในชามสักนิดก็ไม่กระเซ็นออกมาอย่างหาได้ยาก
“ตาเฒ่าหยางทำให้ใต้เท้าหวง ใต้เท้าหวงอารมณ์ไม่ดีไม่กิน เรื่องดีเช่นนี้พันปียากจะพบ ย่อมไม่กล้าปล่อยให้เสียเปล่าแล้ว” เขาเอ่ยงึมงำ พลางยกตะเกียบขึ้นสาวเส้นหมี่เข้าปาก แล้วก็ท่าทางสละไม่ลงอยู่บ้างมองนายทหารคนนี้ “พี่สี่หานท่านจะชิมด้วยไหม?”
พี่สี่หานสบถคำหนึ่ง
“ยังกินอีก ยังกินอีก ดูเจ้าสิ กินจนอ้วนเหมือนหมูแล้ว ถึงเวลาโจรจินมา เจ้าวิ่งก็วิ่งไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงสังหารศัตรูแล้ว” เขาเอ่ย
ทหารผู้น้อยที่กินหมี่อยู่หัวเราะฮ่ะฮ่ะ กัดต้นหอมยักษ์คำนหึ่งสูดเส้นหมี่คำโต คล้ายกลืนลงไปทั้งหมด
“พี่สี่ ชาวจินล้วนอยู่ที่แดนเหนือรบกับชิงเหอปั๋วอยู่แน่ะ พวกเราอยู่ตั้งมณฑลจิงตง” เขายืดคอพยักเพยิดไปทางใต้ “ข้ามแม่น้ำเส้นนี้ก็จะถึงเมืองหลวงแล้ว ชาวจินมาที่นี่ไม่ได้หรอก”
พี่สี่หานหนีบหอกยาวไว้ที่รักแร้ ซุกมือนั่งยองลงมาหลบสายลมด้วย
“พูดไปแล้ว คราวนี้ทหารกองหนุนที่เคลื่อนพลไปก็ไม่น้อย นอกจากนี้เสบียงกับทรัพยากรที่ดึงไปก็มากกว่าเดิม” เขาเอ่ยขึ้น “ใต้เท้าของพวกเราอารมณ์ไม่ดีก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
“ใต้เท้าเขาก็ปวดใจส่งเดช รอทำศึกชนะ ท่านปั๋วอารมณ์ดี เขาไปขอสิ่งใดจะขอไม่ได้เล่า” ทหารผู้น้อยที่กินหมี่เคี้ยวต้นหอมยักษ์ดังกึกกึกเอ่ย “ขาดของกินอาวุธไปหน่อยกลัวอันใด ชาวจินจะบุกมาถึงพวกเราที่นี่ได้หรือ?”
ไม่รู้ทำไม พี่สี่หานได้ยินเขาเอ่ยถึงชาวจินสองครั้ง ในใจไม่สบายใจอย่างประหลาด
“กินหมี่ของเจ้าไปไม่ต้องพูด…” เขาขมวดคิ้วเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน หรี่ตามองไปทางทุ่งกว้างอย่างคุ้นชิน ทันใดนั้นก็อ้าปากกว้าง “…ควัน…ควัน…”
นายทหารที่กินหมี่ใช้แขนเสื้อเช็ดใต้จมูก เงยศีรษะขึ้น
“หมาป่า[1]? ดินแดนแถบนี้ของพวกเรามีหมาป่าที่ไหนเล่า?” เขาเอ่ยขึ้น แต่นาทีต่อมาชามในมือของเขาก็ร่วงเคร้งลงพื้น น้ำแกงเส้นหมี่สาดร่วง เสียงกลายเป็นสั่นระริก “ควันสัญญาณ…”
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทุ่งกว้าง ไกลออกไปมีควันสัญญาณสายหนึ่งลอยขึ้นมา พร้อมกับที่สายลมคลั่งโบกพัดก็กระจายออกกว้างประหนึ่งกรงเล็บอสูรของสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งกางออก
ไม่ใช่เพียงสายเดียว ไกลออกไปอีก ซีเป่ย ตงเป่ยล้วนมีควันสัญญาณลอยขึ้นตามต่อกัน ชั่วขณะท้องฟ้าครึ่งหนึ่งประหนึ่งเมฆดำปกคลุม
นายทหารสองคนที่ยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์สูงสิบกว่าเมตรขนหัวลุก
มณฑลจิงตง ไม่ได้จุดควันสัญญาณไปทั่วนานนักแล้ว
“ครั้งก่อนตอนควันสัญญาณจุดไปทั่วก็คือตอนที่ชาวจินบุกมาถึงไคเฟิงเมืองหลวงเก่า…เวลานั้นข้ายังไม่เกิดเลย” นายทหารอ้วนเอ่ยพึมพำ วาจาออกจากปากเขาพลันตัวสั่น สีหน้าซีดขาวหันหน้ามองไปทิศใต้ด้านหลังร่าง
ครั้งนั้น…
เมืองหลวง…
…………………………………
[1] คำแรกของคำว่าควันสัญญาณเป็นคำเดียวกับคำว่าหมาป่า